ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 192
ทหารยามตกตะลึง ยังคงพิงกำแพงค่ายเป็นเวลานานกว่าจะได้สติกลับคืนมาในที่สุด ปากพึมพำออกมาว่า “ศัตรู ศัตรู ?” ก่อนที่จะกรีดร้องราวกับเห็นผี “ศัตรู ! มีศัตรู ! ศัตรูกำลังปิดล้อมเมือง !”
เสียงตะโกนของเขาปลุกทหารที่เหลือ พวกเขาทั้งหมดลุกขึ้นจากพื้นและตะโกนด้วยความไม่พอใจ “จะตะโกนหาพระแสงอะไรกัน !!”
“มีศัตรู ! มีศัตรู !” ทหารยามพูดพร้อมกับชี้นิ้วออกไป
ทหารทุกคนมองออกไปตามปลายนิ้ว และเมื่อพวกเขาเห็นสถานการณ์อย่างชัดเจน ก็พากันตกตะลึงไปตาม ๆ กัน คนพวกนั้นมาที่นี่ได้อย่างไร ? ทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนทัพเลย ?
เหล่าทหารต่างตกตะลึงกับกองทัพขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนอยู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศ ทำเอาพวกเขามือไม้อ่อน จนเผลอปล่อยให้หอกหล่นลงกับพื้น
“เร็ว … รีบรายงานเรื่องนี้ให้ท่านแม่ทัพทราบ !” นายทหารคนแรกที่ได้สติกลับมารีบคว้าตัวทหารข้าง ๆ ตนแล้วกรีดร้องด้วยเสียงสั่นเครือ
นายทหารที่ถูกเขย่าตัวไม่แม้แต่จะตอบ เขาคลานเข้าไปในค่าย ก่อนจะวิ่งและร้องตะโกนออกไปว่า “ข้าศึกโจมตี ! ข้าศึกโจมตี !”
เมื่อคนที่เหลือทราบเรื่องกองทัพเฟิงที่ปรากฏตัวนอกเมืองอย่างกะทันหัน เหล่าผู้บังคับบัญชาและทหารต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป พวกเขาไม่มีแม้แต่ความตั้งใจที่จะต่อสู้ พากันไม่สนใจอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงอาหารที่นำมา กระทั่งชุดเกราะหรืออาวุธบางส่วนก็ยังถูกทิ้งเอาไว้ ก่อนจะพากันรีบวิ่งเข้าไปในเมืองแทน
ทหารนับแสนนายวิ่งกันวุ่นวายราวกับแมลงวันหัวขาด พวกเขาเบียดกันเข้ามาในเมือง ผ่านประตูเมืองเล็ก ๆ เข้าไป ทว่ามันคงจะดีกว่านี้ถ้าพวกเขาไม่เบียดกันเข้ามา ด้วยทำให้ทหารที่อยู่ข้างหลังไม่สามารถเข้ามาได้ จนทำให้คนรั้งท้ายกลุ่มนั้นระแวงอย่างมาก เอาแต่หันมองไปข้างหลังเป็นครั้งคราว กลัวว่าศัตรูจะฉวยโอกาสนี้ในการโจมตีพวกเขา
ทันใดนั้นทหารบางคนก็เหมือนจะคิดอะไรได้ ตัดสินใจใช้บันไดที่พวกเขานำมาด้วยปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองแทน
หากทหารถอยหนี นั่นก็แสดงว่าพวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้ นอกจากนี้กลุ่มของถังหยินก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเกินกว่าที่จะรับมือได้ทัน ทำให้ทหารที่ใจไม่คิดสู้เหล่านี้พากันหลบหนีเข้าไปในเมือง
ทหารนายหนึ่งวิ่งมาแต่ไกล มุ่งตรงไปยังจวนผู้ว่า ตรงเข้าไปรายงานให้เสี่ยวกุ่ยทราบ
จนตอนนี้เสี่ยวกุ่ยยังคงหลับสนิท และข้าง ๆ เขาก็มีสาวใช้ในจวนที่ร่างกายเปลือยเปล่านอนอยู่ ทว่าเมื่อได้ยินเสียงคนมาทุบประตูอย่างเร่งรีบ เสี่ยวกุ่ยก็จำต้องตื่นขึ้น ลุกเดินจากเตียง และตรงไปที่ประตูโดยไม่ได้สวมเสื้อผ้า “รายงานมา !”
ทหารคนนั้นมองไปที่ร่างของเสี่ยวกุ่ยที่เปลือยเปล่า และกลืนน้ำลายของเขา ก่อนจะรายงานออกไปทั้ง ๆ ที่เนื้อตัวยังสั่นเทาว่า “ท่านแม่ทัพ ตอนนี้เกิดเรื่องแล้วขอรับ ! มีศัตรูอยู่นอกเมือง พวกมันมีจำนวนมากมายมหาศาลเชียวขอรับ !”
“อะไรนะ ? ศัตรู ?” เมื่อเสี่ยวกุ่ยได้ยินดังนั้นเขาก็นิ่งงัน ก่อนกระชากคอเสื้อของทหารนายนั้นและถามอย่างเคร่งเครียดว่า “พวกมันมาจากที่ไหน”
“ข้าน้อยก็ไม่ทราบ พวกมันมากันรวดเร็วมาก พากันมาดักรอเราในตอนเช้ามืดขอรับ”
เสี่ยวกุ่ยผลักอีกฝ่ายออกไปโดยไม่รอให้พูดจบ ด้วยเขาไม่เชื่อคำรายงานนั้นแม้แต่เศษเสี้ยว เมืองชางซุยตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลกวนหนาน ในขณะที่ทางผ่านสวรรค์ซึ่งกองกำลังของถังหยินประจำการอยู่ทางตอนเหนือสุดของมณฑลกวนหนาน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่พวกมันจะเข้าโจมตีได้โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ? ต่อให้กองทัพกวนหนานจะไม่ต่อต้านเลยและอนุญาตให้กลุ่มของถังหยินผ่านไปได้ แต่อีกฝ่ายจะไม่สามารถเดินทางจากทางผ่านสวรรค์มายังชางซุยได้ในคืนเดียวเว้นแต่พวกเขาจะเป็นวิญญาณ
“ไร้สาระสิ้นดี ! ใครจะมาบุกโจมตีเอาเวลาเช่นนี้ ?” เสี่ยวกุ่ยตะโกนบอกทหารยามที่ประตู “เอาไอ้คนพูดจางี่เง่านี่ออกไปจากที่นี่ซะ !”
“ท่านแม่ทัพ นั่นไม่ยุติธรรมเลยนะขอรับ ! ข้าไม่ได้ปั้นเรื่องนะขอรับ มันเป็นความจริงนะขอรับ !” ทหารคนนั้นกลัวจนเหงื่อแตก น้ำหูน้ำตาไหลเปราะไปทั่วใบหน้าขณะที่เขาพยายามอธิบาย
ขณะที่เสี่ยวกุ่ยกำลังจะตำหนิ เขาก็พลันได้ยินเสียงตะโกนจากทุกทิศทางที่มาจากด้านนอกจวน เกิดอะไรขึ้น ? เขาย่นคิ้วด้วยความสงสัย หรือที่ทหารผู้นี้พูดจะเป็นความจริง มีทหารศัตรูอยู่นอกเมืองจริงหรือ ? เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาก็พลันเงยหน้าขึ้นและเดินเข้าไปหาทหารนายหนึ่ง “ขังเขาไว้ ส่วนเรื่องการตัดสินให้รอข้ากลับมา !”
“ขอรับ ! ท่านนายพล !” ทหารนายนั้นรับคำ ก่อนดึงผู้ส่งสารออกไป
เมื่อเสี่ยวกุ่ยกลับไปที่ห้อง ในหัวของเขาก็เต็มไปด้วยความคิดมากมาย จะมีศัตรูอยู่ใกล้เมืองชางซุยได้อย่างไรกัน ?
เมื่อแต่งตัวเสร็จ เสี่ยวกุ่ยก็ไม่รอช้า ขึ้นควบขี่ม้าศึกตรงไปที่ประตูเมือง และที่แห่งนั้นเอง เขาก็ได้พบกับความยุ่งเหยิง ด้วยทั้งทหารและชาวเมืองต่างพากันแตกตื่นอย่างไม่อาจควบคุม !
“บัดซบ !” เสี่ยวกุ่ยสบถทันที เขาต้องการรู้ว่าศัตรูกลุ่มไหนที่อยู่นอกเมือง !
ทว่าเมื่อเขามาถึงประตูเมือง เขาก็ต้องถูกนายทหารระดับสูงผู้หนึ่งหยุดเอาไว้จากด้านข้าง ก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวอย่างกังวล “แม่ทัพเสี่ยว มีบางอย่างเกิดขึ้น โปรดรีบขึ้นไปบนกำแพงเมืองเถอะ ภายนอกมีศัตรูอยู่มากมายนัก !”
“ฮึ่ม !” เสี่ยวกุ่ยสะบัดมือออกไปโดยไม่พูดอะไร แล้วจึงปีนขึ้นบันไดไปที่กำแพงเมืองอย่างกระวนกระวาย
ขณะนี้กำแพงเมืองกำลังอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ด้วยทหารนอกเมืองพากันปีนขึ้นบันไดเบียดกันไปมา จนสามารถได้ยินเสียงตะโกนร้องด้วยเจ็บปวดที่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน
เมื่อเห็นเช่นนั้น เสี่ยวกุ่ยก็โกรธและร้องว่า “อยู่ในความสงบ !”
แม้ว่าเสียงตะโกนของเขาจะดัง หากแต่ในขณะนี้ก็ไม่มีใครฟังคำสั่งของเขาอีกแล้ว ด้วยทหารพวกนี้ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อสู้ได้เลย ดังนั้นมีหรือที่พวกเขาจะรับฟังสิ่งใด นอกจากมองหาหนทางในการรักษาชีวิตของตนไว้ !
“ไอ้บัดซบ !” เสี่ยวกุ่ยดึงดาบของเขาและตะโกนว่า “พวกเจ้าถอยกลับออกไปเดี๋ยวนี้ ! ใครก็ตามที่กล้าเข้ามาในเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถูกสังหารในทันที” ก่อนที่จะพูดจบ เขาก็เหลือบไปเห็นกองทัพเทียนหยวนนอกเขตเมืองชางซุยจากปลายสายตาของเขา
ด้วยกองทัพเทียนหยวนถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ จึงทำให้มองจากระยะไกลสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน อีกทั้งภายในค่ายก็ยังมีธงปลิวสะไหว กับหอกที่ยกชูขึ้นราวกับต้นไม้ เพียงแค่มองไปก็สัมผัสได้ถึงรังสีความน่าเกรงขามที่ปะทุออกมาแล้ว
หัวใจของเสี่ยวกุ่ยสั่นสะท้านเมื่อเห็นทิวทัศน์ที่น่าเกรงขาม จะมีศัตรูมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร ? ถังหยินสามารถนำทหาร 4 แสนคนมาอยู่ใต้บัญชาได้อย่างนั้นเหรอ ?
อย่างไรก็ตาม กองทัพขนาดใหญ่เช่นนี้จะมาได้อย่างไรโดยที่ไม่มีใครสามารถจับสังเกตได้เลย ? เขาคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น หากแต่ตอนนี้ไม่มีเวลาไตร่ตรองแล้ว ดังนั้นเสี่ยวกุ่ยก็พลันตั้งสติ ก่อนจะหมุนดาบในมือและฟันออกไป 2 ครั้ง
ทหาร 2 คนที่พยายามปีนขึ้นไปบนกำแพงถูกฟันเข้าที่หน้าอก ทำให้พวกเขาร่วงหล่นจากกำแพงเมือง
การกระทำอย่างกะทันหันของเขาทำให้ทหารรอบข้างตกใจ สายตาของพวกเขาทั้งหมดที่จ้องมองไปยังแม่ทัพของตนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เสี่ยวกุ้ยเช็ดเลือดบนใบหน้าของเขาและตะโกนว่า “หากไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็ตามที่กล้าเข้ามาอีกก้าว จะถูกฆ่าอย่างไร้ความปรานี !” ดวงตาของเขาดุดันยิ่งขณะที่พูด “รออะไรอยู่เล่า ? ถ้าใครขัดคำสั่งของข้า ก็ฆ่ามันซะ ! ”
“ท่านแม่ทัพขอรับ ? คนที่ปีนขึ้นมาบนกำแพงล้วนเป็นคนของเราเองนะขอรับ” เมื่อเจอกับคำสั่งแบบนี้ มีหรือที่พวกเขาจะเต็มใจทำ ? จึงพากันค่อย ๆ ถอยห่างออกมาทีละคน
“ถ้าพวกเจ้าขัดคำสั่งข้า ก็เตรียมคอขาดกันได้เลย !” เสี่ยวกุ่ยดูเหมือนจะบ้าไปแล้ว ดวงตาของเขาแดงก่ำ จ้องมองไปยังทหารโดยรอบอย่างดุร้าย
ภายใต้แรงกดดันของเขา ทำให้ทหารบนกำแพงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดฟันและเข้าเข่นฆ่าเพื่อนร่วมรบของพวกเขาเอง
ตอนแรกพวกทหารยังไม่กล้าที่จะลงมือ แต่ภายใต้การกระตุ้นอย่างต่อเนื่องของเสี่ยวกุ่ย พวกเขาก็พากันหันอาวุธในมือของพวกเขาและฟาดฟัน ทิ่มแทงไปที่ทหารที่กำลังปีนเข้าเมือง
ทหารที่ตกลงมาจากกำแพงเมืองเป็นเหมือนเกี๊ยวที่ตกอยู่ในกระแสน้ำที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ด้านล่างกำแพงเมืองเต็มไปด้วยซากศพกองอยู่เหมือนกองเกี๊ยว เป็นภาพที่น่ากลัวยิ่ง
เมื่อเห็นว่าทหารที่ปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองถูกฆ่าทิ้งต่อหน้า พวกเขาก็ไม่กล้าปีนบันไดขึ้นไปอีก พากันชะงักงัน ด้วยทำตัวไม่ถูก
ในเวลานี้ เมื่อเสี่ยวกุ่ยเห็นว่าพวกทหารด้านนอกสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาก็ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก และตะโกนบอกคนที่อยู่ด้านล่างไปว่า “พวกเจ้าทุกคนจัดขบวนป้องกันเมือง ! แม้ว่าจะมีศัตรูมากมาย แต่พวกเจ้าก็ไม่ต้องกลัว พวกมันเป็นแค่พวกชั้นต่ำที่ถังหยินรวบรวมมาก็แค่นั้น ฆ่าพวกมันให้หมด !”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ทหารทุกคนก็ตกตะลึง แม้แต่แม้ทัพที่อยู่ด้านนอกที่ได้ยินก็ถึงกับกระอักเลือดออกมา
พวกเขาไม่ได้ตาบอด ดังนั้นมีหรือที่จะมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไร ? ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมถึงความเหนื่อยล้าสะสมนั่นอีก แบบนี้จะให้เอาอันใดไปสู้กัน ให้ออกไปตายละซิไม่ว่า !
“ท่านแม่ทัพเสี่ยว ! ขอให้พี่น้องเราเข้าเมืองเถิด ! แม้ว่าเราจะต้องตายในสนามรบก็จริง หากแต่พี่น้องของเราจะมาตายในลักษณะนี้ไม่ได้เด็ดขาด ! ” แม่ทัพที่อยู่ด้านล่างก้าวเดินออกมาจากฝูงชน หันมองไปที่เสี่ยวกุ่ยที่อยู่บนกำแพงเมืองด้วยน้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น
เมื่อเห็นเช่นนั้น เสี่ยวกุ่ยก็ยิ่งโกรธเข้าไปอีก เขาหันไปและโบกมือให้รองแม่ทัพที่อยู่ข้าง ๆ จากนั้นก็คว้าคันธนูที่อีกฝ่ายยื่นออกมา เล็งไปยังแม่ทัพที่ตะโกนอยู่ด้านล่างของเมือง
“ฟึ่บ !”
ลูกศรแทงทะลุลมราวกับสายฟ้า พุ่งเข้าที่หน้าอกขอนายทหารผู้นั้นจนเกิดเสียงดัง ทะลุทะลวงผ่านชุดเกราะ ทำให้คนผู้นั้นสิ้นลมก่อนที่จะได้กรีดร้องเสียอีก
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตายแล้วเขาก็ยังไม่พอใจ ยังคงยิงธนูระบายความโกรธและคำรามใส่ศพ “กล้าดียังไงที่มาตายไปต่อหน้าข้าโดยที่ยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองแบบนั้นวะ !”
ทหารที่อยู่ด้านล่างหน้าตาตื่น พวกเขาพากันก้าวถอยหลังไปอย่างขวัญเสีย สายตาจดจ้องไปยังแม่ทัพบนกำแพง พร้อมกับคิดในใจว่าชายคนนี้บ้าไปแล้ว !
ในเวลาเดียวกันนั้น ก็ได้มีการเคลื่อนไหวในกองทัพเทียนหยวนที่ล้อมรอบเมืองชางซุยไว้ เป็นเสียงกลองศึกที่ดังขึ้น และเสียงร้องตะโกนที่ถามออกมาอย่างต่อเนื่องว่า “เป็นชาวเฟิงด้วยกันแท้ ๆ เหตุใดจึงได้เข่นฆ่าพี่น้องร่วมแคว้นกัน ?”