ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 225
คืนนั้น ถังหยินก็ได้พาตัวประกันทั้ง 4 คนออกมา ก่อนพาตัวคนพวกนั้นขึ้นรถม้าส่งไปตามข้อตกลงที่ได้ทำเอาไว้
โดยไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง จางชูตะโกนลั่นรถ “ท่านถัง ข้าบอกท่านทุกอย่างไปแล้ว ท่านจะฆ่าข้าไม่ได้นะ !”
ถังหยินมองจางชูที่ยังคงตะโกนไม่หยุดจากข้างใน และมองคนที่เหลือทั้งสามที่ยังคงใจเย็นผิดกับเด็กหนุ่มคนนี้ ซึ่งมันก็ชัดเจนแล้วว่าจางชูนั้นเทียบไม่ได้เลยกับพวกเขา และแม้แต่ชนชั้นสูงของเฟิงเองก็ไม่ทำเช่นนี้ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะส่งพวกเจ้าไปที่ชอบ ๆ เอง !”
ได้ยินแบบนั้นเด็กหนุ่มก็สิ้นหวังจนเป็นในลมทันที
ถังหยินบอกให้คนขับพาออกไป “ไปได้แล้ว”
ขบวนรถนี้ไม่มีคนคุ้มกันมากนัก มีเพียงทหารที่ขับรถม้าเท่านั้น
ก่อนที่จะไปถึงค่ายพวกหนิง อีกฝ่ายก็ได้รับข่าวเรื่องการส่งตัวประกันแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงได้ส่งทหารม้าและจ้านอู่ตี้ออกมาตรวจดูด้วยการเปิดม่านออกด้วยดาบของเขา
จริง ๆ แล้วจ้านอู่ตี้จำหน้าตาพวกเขาไม่ได้หรอก เพราะคนพวกนี้เอาแต่อยู่ในสถาบันมาแทบจะตลอดเวลา และต่อให้พวกเขาเข้าร่วมกองทัพมา ตัวจ้านอู่ตี้ก็ยังจำไม่ได้อยู่ดี
ทว่าถึงแม้จ้านอู่ตี้จะจำไม่ได้ หากแต่พวกตัวประกันนั้นกลับจำหน้าเขาได้เป็นอย่างดี และเมื่อเห็นจ้านอู่ตี้ยืนอยู่หน้ารถ พวกเขาก็พากันตะลึงในพลัน “ท่านจ้าน ? ทำไมกันล่ะ ?”
แม่ทัพหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร เขาเอาแต่เดินมองรอบรถม้าแล้วหันไปสั่งทหารของตนให้เข้ามาดูเพื่อยืนยันตัวตนของพวกตัวประกัน
เมื่อเห็นว่าพวกทหารพยักหน้าให้ จ้านอู่ตี้ก็โล่งอก “เอาล่ะพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว ข้ามาเพื่อพาพวกเจ้ากลับไปยังค่ายของพวกเรา”
สายตาของเขาเหลือบไปเห็นคนที่สลบอยู่ “เจ้านี่ใคร ?”
“เขาคือจางชู แต่เขาบาดเจ็บหนักจนสลบไปแล้ว”
จ้านอู่ตี้ขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นบาดแผลที่ไม่ใช่เล็ก ๆ บนร่างของอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปสังเกตรอบตัวรถม้าอีกรอบ แล้วจึงบอกให้ทหารเฟิงลงจากรถไป
ทหารเฟิงผู้นั้นยืนขึ้นด้วยอาการตัวสั่นเทาก่อนหันมาถาม “แล้วรถม้าล่ะ ?”
จ้านอู่ตี้รีบตอบกลับทันที “ทิ้งไว้ที่นี่ซะ ถ้าเจ้าพูดอีกล่ะก็ข้าจะตัดหัวเจ้า !”
เมื่อทหารเฟิงได้ยินแบบนั้น เขาก็ไม่คิดอยู่ที่นี่อีกต่อไป รีบหันหลังวิ่งจากไปในทันที
หลังจากจ้านอู่ตี้พาจางชูและคนอื่นกลับมาที่ค่ายแล้ว เขาก็ได้พาคนเจ็บไปส่งยังแพทย์ทหาร ส่วนคนที่ยังปกติก็ให้ไปรวมตัวกันที่ค่ายหลัก ซึ่งในทันทีที่พวกเขามาถึงค่ายอย่างปลอดถัย พวกตัวประกันทั้งหลายต่างก็พากันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และเกือบจะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นหน้าจ้านอู่ฉาง
แม่ทัพใหญ่อู่ฉางที่เห็นแบบนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไง เขาได้แต่บ่นด้วยความโกรธ “เอาล่ะ พวกเจ้าปลอดภัยแล้ว ที่นี้ก็หยุดร้องไห้สักที !”
ด้วยคำขู่นี้ มันก็ทำเอาพวกตัวประกันหยุดร้องทันที ทว่าก็ยังมีเสียงสะอื้นกับร่างกายที่สั่นเทาอยู่บ้าง
เมื่อเห็นดังนั้น จ้านอู่ฉางก็พลันหันไปสั่งให้จัดเตรียมอาหารให้พวกเขาก่อนหันกลับมากล่าวว่า “พวกเจ้าอยู่ในเมืองของพวกมันมานาน น่าจะเห็นความแข็งแกร่งของพวกมันมาบ้างใช่หรือไม่ ?”
หมิงซวน ตู่เฟิง และเฉินลี่อยู่ในเมืองศัตรูมาหลายวันก็จริง แต่พวกเขานั้นถูกขังเอาไว้แทบจะตลอดเวลา ทำให้พวกเขาออกไปไหนไม่ได้เลย จนไม่รู้แม้แต่น้อยว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างข้างนอกนั่น ดังนั้นการโดนถามแบบนี้ มันก็ทำให้พวกเขาพากันก้มหน้าก้มตา ด้วยรู้สึกอับอายยิ่ง
ทั้งสามมองหน้ากันและกันก่อนเป็นหมิงซวนที่พูดขึ้นก่อน “แม่ทัพอู่ฉาง พวกมันมีกันราว ๆ 6 หมื่นนายได้ขอรับ”
โดยไม่รอให้ได้พูดต่อ ตู่เฟิงก็ส่ายหัว “มากกว่านั้นอีก ข้าเห็นพวกมันสร้างค่ายเอาไว้ใกล้กับกำแพงเมือง และเมื่อกะดูแล้ว มันก็น่าจะมีทหารราว ๆ 1 แสนได้ !”
คนหนึ่งบอก 6 หมื่น อีกคนบอก 1 แสน แล้วเช่นนี้จ้านอู่ฉางควรจะเลือกเชื่อใครดีกัน ?
จากนั้นเขาก็ถามขึ้น “ถ้างั้นพวกเจ้าถูกจับขังอยู่ที่ไหน ?”
“ที่ค่ายทางเหนือ” ทั้งสามพูดพร้อมกัน “อยู่แทบไม่ห่างจากกำแพงเมืองเลยขอรับ”
จ้านอู่ฉางที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับ ก่อนเอนตัวไปข้างหน้าแล้วพูด “แล้วแม่นางหลิงอยู่กับพวกเจ้าด้วยใช่หรือไม่ ?”
“ใช่ขอรับ พวกเฟิงขังพวกเราเอาไว้ด้วยกันทั้งหมด”
จ้านอู่ฉางพยักหน้า กลอกตาไปมา จากนั้นก็ให้คนของเขาเอากระดาษกับหมึกมาให้ทั้งสามวาดตำแหน่งที่แน่นอนของคุกที่พวกเขาอยู่ และถึงทั้งสามจะไม่รู้โครงสร้างของเมือง แต่แค่ตำแหน่งคร่าว ๆ ก็ใช้งานได้แล้ว
จ้านอู่ฉางอ่านมันอย่างละเอียดทั้งสามแผ่น ก่อนจะส่งให้แม่ทัพหนิงทั้งหลายได้อ่านบ้าง จากนั้นก็กล่าว “คืนนี้พวกเราจะถอนทัพออกจากที่นี่ตามสัญญาที่ว่าไว้ ซึ่งก็แน่นอนว่ามันไม่ใช่การถอนทัพจริง ๆ หากแต่เป็นการทำให้พวกมันตายใจ เพื่อที่ข้าจะได้ส่งหน่วยลับไปชิงตัวแม่นางหลิงกลับมา ! เพราะงั้นแล้วข้าจึงต้องการจะถามว่า ในพวกเจ้ามีคนไหนอยากจะรับหน้าที่อันสำคัญนี้บ้าง ?”
…หลังพูดจบ มันก็ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่ออกมาเสนอตัว และเหตุที่เป็นแบบนี้ มันก็เพราะถึงแม้ว่าเมืองจินฮั๋วจะเล็กและง่ายต่อการปฏิบัติภารกิจ ทว่ามันก็มีความเสี่ยงมากพอสมควร จนทำให้ดูแล้วได้ไม่คุ้มเสียเอาเสียเลย
ทั้งค่ายเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าหายใจแรง ด้วยเพราะกลัวว่าจ้านอู่ฉางจะจัดหน้าที่นี้ให้กับพวกเขา
จริง ๆ แล้วแม่ทัพใหญ่ก็ถามไปแบบงั้น ๆ เท่านั้น เพราะในใจเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว ว่าแล้วจ้านอู่ฉางก็ไม่รอช้า หันมองหน้าทุกคนก่อนจะไปหยุดที่หลิงเปิง “ข้าว่าแม่ทัพหลิงน่าจะเหมาะกับงานนี้นะ”
“แค่ก !” หลิงเปิงถึงกับสำลักน้ำลายออกมาทันทีที่ได้ยินแบบนี้
ตั้งแต่ที่เข้ากองทัพมาตั้งนาน เขาก็ไม่เคยได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญใดจากจ้านอู่ฉางเลย อีกทั้งอีกฝ่ายยังทำราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน แต่พอมาเป็นภารกิจเสี่ยงตายเช่นนี้ กลับมาเลือกเขาซะงั้น ?
เมื่อสบถด่าในใจเสร็จแล้ว หลิงเปิงก็เดินออกมาก่อนโค้งตัวให้กับแม่ทัพใหญ่ “ช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านแม่ทัพวางใจในตัวข้า แต่ข้าเกรงว่างานนี้มันจะเกินความสามารถของข้า”
จ้านอู่ตี้ที่ได้ยินแบบนั้นก็พูดแซวขึ้นมาทันทีว่า “ข้าทราบมาว่าแม่ทัพหลิงชอบบ่นว่าไม่มีงานทำมิใช่หรือ ? นี่ไงล่ะโอกาส ไยต้องปฏิเสธอีกเล่า ?”
ได้ยินแบบนั้นหลิงเปิงก็ถึงกับเข่าทรุด “ไม่ ไม่ ไม่ ท่านคงเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยไม่ได้คิดจะขัดคำสั่ง แต่ข้าเกรงว่าความสามารถของข้าจะไม่มากพอที่จะทำงานนี้ได้เท่านั้นเอง”
จ้านอู่ฉางหัวเราะออกมาแล้วโบกมือห้ามทั้งสองเอาไว้ “ยืนขึ้นเถิดแม่ทัพหลิง ครั้งนี้ข้าคาดหวังในตัวเจ้ามาก เพราะคงไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเจ้าอีกแล้วในเรื่องของการลอบเร้น ดังนั้นแล้วเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี ข้าจึงจะส่งหลงซิงและเติงหนานไปรอสนับสนุนเจ้าอยู่ที่นอกกำแพง และถ้าภารกิจนี้ได้สำเร็จ งั้นแล้วข้าก็จะตอบแทนเจ้าอย่างสาสมเลย !”
สิ่งที่จ้านอู่ฉางพูดออกมานั้นเต็มไปด้วยคำหลอกลวง ซึ่งหลิงเปิงก็ดูออก ไม่ได้โง่แต่อย่างใด ด้วยถ้าเขาตายไปก็เอาเงินไปใช้ไม่ได้อยู่ดี ! ทว่าจ้านอู่ฉางเลือกเขาให้ออกมาขนาดนี้แล้ว จะปฏิเสธมันก็คงจะเกินไปหน่อย “ข้าน้อยจะพยายามให้ถึงที่สุด”
เมื่อได้ยินคำนั้น จ้านอู่ฉางก็พลันปรบมือให้อย่างจริงใจทันที “เอาล่ะ ได้เวลาจัดการงานของเจ้าแล้ว แม่ทัพหลง แม่ทัพเติง พวกเจ้าจงพาทหารฝีมือดีไปซุ่มอยู่นอกเมืองทางเหนือ และเมื่อแม่ทัพหลิงจัดการงานของเขาเสร็จสิ้นแล้ว พวกเจ้าก็จงค่อยขัดขวางพวกทหารเฟิงที่ตามมาเสีย”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” หลิงซิงและเติงหนางเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ของเขา ดังนั้นเมื่อได้รับหน้าที่มาจึงตอบรับอย่างทันควัน
“พวกเจ้าไปเตรียมตัวได้แล้ว” จ้านอู่ฉางโบกมือไล่ ทำให้ผู้คนพากันกระจายกันออกไป
และทันทีที่คนอื่น ๆ ไปกันหมดแล้ว รอยยิ้มของจ้านอู่ฉางก็ค่อย ๆ จางหายไป ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะถูกความเคร่งเครียดเข้าปกคลุม !