ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 236
บทที่ 236
กองทัพเฟิงนั้นไม่มีเกราะหนัก เช่นเดียวกับพวกเปิงที่มีแค่เกราะหนังสีแดงเท่านั้น ทำให้พวกเขาถูกธนูระดมยิงอย่างหนักจนล้มตายไปมากมาย ส่วนพวกที่ยังรอดชีวิตก็พากันกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
หลังจากที่ห้ากองพันแรกยิงจนเสร็จแล้ว มูฉิงก็โบกธงที่สองขึ้น เพื่อให้กองพันที่เหลือยิงธนูต่อไม่ให้ขาดช่วง
ห่าฝนธนูพุ่งเข้าใส่พวกเปิงนับไม่ถ้วน และหลังจากห่าฝนธนูรอบที่สองไปแล้ว มูฉิงก็ได้ออกคำสั่งที่สามให้ทั้งกองทัพเฟิงยิงธนูออกไปพร้อมกัน ซึ่งมันก็เป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อมาก
ฝนลูกศรบนท้องฟ้าบดบังทุกสิ่งอย่างไม่ต่างกันพายุโหมกระหน่ำ
และด้วยเป็นพื้นที่เปิด จึงทำให้พวกเปิงไม่อาจหลบได้เลย พวกเขาได้แต่ล้มตายลงราวใบไม้ร่วงภายใต้ฝนธนูที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
…ก่อนที่พวกเปิงจะทันได้เข้าถึงค่ายเทียนหยวน พวกเขาก็ล้มตายไปมากมายกว่า 1 หมื่นนายแล้ว
ซ่งเวิ่นถอยกลับไม่ได้แล้วในวินาทีนี้ มีแต่ต้องกัดฟันแล้วมุ่งหน้าต่อไปเพื่อตีฝ่าวงล้อมของศัตรู แม้ว่าโอกาสมันจะน้อยก็ตาม !
พวกเปิงเหยียบย่ำศพพวกตัวเองมาตลอดทาง จนกระทั่งพวกเขาเผชิญหน้ากับกองทัพเทียนหยวนและกองทัพปิงหยวนที่ด้านหน้า
ภายใต้การบัญชาการของมูฉิง หนึ่งหน่วยจะบุกไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงแล้วใช้ง้าวจัดการพวกทหารที่อยู่รอบข้าง ขณะที่คนที่อยู่ข้างหลังจะใช้หอกช่วยเหลือกัน
ซึ่งการปะทะกันมันก็วุ่นวายนัก ทำให้ไม่อาจคาดเดาผลสรุปได้เลย เพราะยังไงเสีย การศึกในยุคโบราณเช่นนี้ก็เน้นหนักไปที่การจัดขบวนทัพ ด้วยมันสามารถช่วยให้ทั้งกองทัพแสดงความสามารถออกมาได้เต็มที่ ซึ่งก็ต้องใช้ทั้งกำลังร่างกายและจิตใจที่หนักแน่นผิดจากที่ในหนังและทีวีนำมาฉายให้ดูบ่อย ๆ
เมื่อพวกเขาปะทะกัน พวกทหารแนวหน้าก็จะใช้ง้าวหรือหอกจัดการพวกศัตรู และถ้าหากมีใครถูกแทงตายตรงนั้น มันก็จะมีทหารเข้าไปเสริมแทนที่คนตายทันที เรียกได้ว่ามันคือการปะทะกันที่ต้องใช้ความอดทนยิ่ง ด้วยไม่มีใครรับประกันได้เลยว่าจะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่
เมื่อการต่อสู้มาถึงช่องทางแคบ ๆ ใครที่กล้าหาญที่สุดจะชนะไป
และต่อให้พวกทหารที่ล้มไปยังไม่ตาย พวกเขาก็ยังเสี่ยงต่อการโดนสหายตัวเองเหยียบจนตายอยู่ดี
ซึ่งต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ก็ใช่ว่าจะไหว ด้วยพวกเขานั้นยังคงเป็นมนุษย์ หาใช่เครื่องจักรที่ไม่รู้จักเหนื่อย ทำให้ไม่อาจหลบหลีกหรือใช้เกราะปราณทนรับง้าวได้ทุกครั้งไป
แต่ด้วยกองทัพเปิงต้องการมีชีวิตรอดออกไป ดังนั้นพวกเขาจึงพากันฮึดสู้สุดชีวิต ทั้งทหารเลวและแม่ทัพนายกองต่างก็งัดเอาพลังทั้งหมดที่มีเพื่อต่อสู้และเอาตัวรอดออกไปจากที่นี่ให้ได้ จนทำให้พวกเทียนหยวนเริ่มมีท่าทีจะล่าถอยกันบ้างแล้ว
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มย่ำแย่ ชิวเจิ้นก็ออกคำสั่ง “แม่ทัพมู สั่งทหารของเจ้าถอนทัพเสียตอนนี้เลย !”
เมื่อได้ยินแบบนั้น แทนที่จะยอมรับคำสั่ง มูฉิงกลับเลือกที่จะหันมายิ้มให้กับเขาแล้วเอ่ย “อย่าได้กังวลไปเลยท่านชิว กองทัพของข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอก นี่เป็นเพียงแค่การหลอกตาเพื่อคว้าชัยชนะในครั้งเดียวก็เท่านั้น !”
เขารู้ดีว่ากองทัพเปิงนั้นทนทายาดไม่ต่างอะไรจากพวกเฟิง และการต่อสู้ที่กินเวลาเช่นนี้มันก็ยากลำบากมากทีเดียว ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะใช้ช่วงเวลาที่ศัตรูอ่อนล้าที่สุด เพื่อใช้จังหวะนั้นส่งกองทัพที่ซ่อนอยู่ออกมาจัดการพวกเปิงให้สิ้น !
ต้องเข้าใจด้วยว่าถึงแม้พวกเขาจะมีกำลังคนมากมาย หากแต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาที่เกณฑ์มาช่วยรบเท่านั้น ไม่ได้มีความสามารถอะไรเป็นพิเศษ
ชิวเจิ้นเหมือนจะมองแผนนี้ออกแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจยิ่งนักที่ชายตรงหน้ากล้าทำอะไรที่เสี่ยงเช่นนี้ “แม่ทัพมู การที่ข้าไว้วางใจให้ท่านบัญชาการกองทัพก็เพราะว่าท่านจะทำตามที่ข้าสั่งและปกป้องกองทัพเอาไว้ได้”
มูฉิงเปลี่ยนสีหน้าทันทีที่ได้ยินคำนั้น “ทำไมข้าจะไม่ทำล่ะ ? กองทัพนี้เป็นของนายท่าน และการรักษากำลังพลเอาไว้ก็เป็นจุดประสงค์หลักใช่หรือไม่ ? แผนการนี้ข้าคิดมาดีที่สุดแล้ว หรือท่านจะว่ามันไม่คู่ควรกัน ?”
ถ้าว่ากันด้วยเรื่องของแผนกลยุทธ์แล้วนั้น ชิวเจิ้นเทียบเขาไม่ติดเลย ทำให้เด็กหนุ่มได้แต่เปลี่ยนหัวข้อเสียดื้อ ๆ “ข้าหวังว่าท่านจะมีข้ออ้างดี ๆ ที่จะมอบให้นายท่านได้ในอนาคตนะ”
มูฉิงพูดอย่างมั่นใจ “ท่านชิวไม่ต้องจริงจังไปหรอก ไม่ว่ายังไงข้าก็จะไม่พาคนของข้าไปตายโดยไร้ประโยชน์หรอก”
“ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”
ทั้งสองมีความคิดที่ต่างกัน แต่ก็บอกได้เลยว่าพวกเขามีจุดประสงค์เดียวกัน
ทั้งสองกองทัพปะทะกันไปมา จนกระทั่งพวกเปิงตีตื้นจนเกือบมาถึงค่ายของพวกเทียนหยวนแล้ว ทำให้มูฉิงไม่อาจรอช้าได้อีก ส่งสัญญาณให้กองทัพของชัวน่าและบลังก้าออกจู่โจมเข้าใส่พวกเปิงให้ขาดครึ่งในทันที !
เมื่อได้รับสัญญาณ พวกเขาก็ไม่รอช้า ทั้งชัวน่าและบลังก้าพากองทหารม้าเกราะหนักพุ่งเข้าไปยังใจกลางกองทัพพวกเปิงในทันที !
ซ่งเวิ่นยังคงจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ตรงหน้า ด้วยเขามาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าจะให้ถอยหลังกลับมันก็น่าเสียดาย และถ้าหากยังฝืนใจไปต่อ งั้นแล้วอีกเพียงนิดพวกเขาก็อาจฝ่าออกไปได้แล้ว !
เขารู้สึกตื่นเต้นยิ่ง ก่อนจะสัมผัสได้ถึงพื้นที่กำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เกิดอะไรขึ้นกัน ? ซ่งเวิ่นมองไปรอบ ๆ ทว่าเขาก็เห็นแต่ท้องฟ้าที่มืดมิด ฝุ่นควัน และกองทหารที่กำลังพุ่งเข้ามาเท่านั้น !
ซ่งเวิ่นรู้ดีว่านี่อาจจะเป็นแผนของศัตรูที่จะใช้กองกำลังซุ่มโจมตีเพื่อแบ่งกองทัพของเขาออกเป็น 2 ส่วน แต่เขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าทัพม้าที่เข้ามานั้นจะเก่งกาจแค่ไหนกันเชียว “พวกศัตรูกำลังจะเข้ามาจากด้านข้าง เตรียมตัวไว้ !”
ด้วยคำสั่งนี้ พวกเปิงก็เตรียมตั้งรับในแนวด้านข้าง หอกทั้งหลายถูกนำออกมาตั้งรับไม่ต่างอะไรจากเม่นตัวใหญ่
ไม่นานนักพวกเขาก็เห็นว่ามีทหารม้ากำลังพุ่งเข้ามา
และยิ่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ มันก็ทำให้พวกเปิงตกตะลึงมากขึ้นเท่านั้น ด้วยทหารม้าเหล่านี้ต่างก็สวมเกราะหนักที่ปกปิดใบหน้าทุกส่วนไว้ ไม่เว้นแม้แต่ม้าของพวกเขาเอง
แค่ชุดอย่างเดียวก็หนักมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงตัวม้าเลย ภาพตรงหน้าทำให้พวกเปิงไม่รู้ว่าจะหวาดกลัวหรือตื่นตะลึงก่อนดี
ยิ่งเมื่อพวกเขาใกล้เข้ามา พื้นดินก็ยิ่งสั่นไหว ทำให้หัวใจทุกคนเต้นไม่หยุดราวกับมีคนมารั่วกลอง
พวกแม่ทัพที่ได้สติรีบร้องตะโกนออกมาทันที “เตรียมตัวเข้าปะทะ !”
เสียงร้องนี้ทำให้พวกทหารได้สติ พวกเขาพากันเตรียมใจที่จะรับการโจมตีแล้วในตอนนี้
โครม !
พวกทหารม้าเข้าประจัญบานกับทหารเปิง และแม้ว่าพวกเขาจะวิ่งมากันเชื่องช้า แต่มันก็ยังมีแรงปะทะที่สูงมากจนทำให้ฝ่ายตั้งรับเสียหายไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเกราะทั้งตัวแบบนี้ มันก็ทำให้ไม่มีอาวุธชิ้นไหนเลยที่จะสามารถทำอันตรายได้ ทำให้การปะทะกันครั้งนี้ส่งพวกเปิงกระเด็นไปทั่วทิศทางอย่างไม่อาจควบคุม