ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 242
บทที่ 242
ภายในเต็นท์ของชัวน่าเรียบง่ายยิ่ง นอกจากเตียงและชั้นวางที่เก็บชุดเกราะกับอาวุธแล้ว มันก็ไม่มีเครื่องเรือนอื่น ๆ อีก ซึ่งสิ่งนี้มันก็ทำให้ถังหยินรู้สึกชื่นชม
ในเวลานี้ ชัวน่ายังไม่ได้นอนทั้งยังไม่ได้ถอดชุดเกราะออก และเมื่อถังหยินเข้ามาภายใน สีหน้าของนางก็พลันทอแววประหลาดใจ ก่อนที่จะได้สติแล้วถามกลับไปว่า “วันนี้ว่างงานเหรอ ถึงได้มาหาได้ ?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แทนที่ถังหยินจะรู้สึกอาย เขากลับหัวเราะแห้ง ๆ และเปลี่ยนเป็นถามกลับไปแทนว่า “ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะ ?”
ชัวน่าเดินตรงเข้ามาเบื้องหน้าชายหนุ่ม ก่อนพูดว่า “พรุ่งนี้ข้าต้องไปสนามรบแล้ว ดังนั้นข้าจึงกำลังคิดพิจารณาว่าจะสั่งกองกำลังของข้าอย่างไรดี !”
เมื่อได้ฟังที่หญิงสาวพูด ถังหยินก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “ไม่จำเป็นหรอก !”
“ทำไมถึงไม่เล่า ?”
“พรุ่งนี้เจ้าจะไปที่สนามรบไม่ได้ !” การฝึกฝนที่ผ่านมาของชัวน่าไม่ได้เลวร้ายก็จริง แต่ในสนามรบจริง ๆ มันไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาจะสามารถกลับมาจากสนามรบได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ และถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับชัวน่า งั้นแล้วจะให้อธิบายแก่ราชาของเบสซ่ายังไง ?
“ทำไมกัน เจ้าไปได้ แต่ข้าไปไม่ได้งั้นหรือ ?” ตลอดชีวิต นางได้รับการปกป้องและควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด จนกระทั่งวันนี้ที่ได้หลุดรอดออกมาโลกภายนอกได้สำเร็จ คิดว่าจะได้รับอิสระแล้วแท้ ๆ หากแต่ก็ยังต้องมาอยู่ภายใต้การควบคุมของถังหยินอีกงั้นหรือ ?
“เพราะมันอันตรายเกินไป” ถังหยินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “และแม้ว่าข้าจะออกไปรบ หากแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ร่างเงาเท่านั้นที่เข้าร่วมในการต่อสู้”
“ก็ได้ ๆ ข้าจะยอมทำตามที่เจ้าว่า !” ชัวน่าถอนหายใจ เม้มปากแน่น ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง ไม่ยอมสบสายตา
ถังหยินกล่าวว่า “ข้าจะแจ้งให้ท่านแม่ทัพบรันก้าทราบในภายหลัง ซึ่งข้าก็คิดว่าเขาเองก็น่าจะเห็นด้วยกับคำพูดของข้า”
ชายหนุ่มเข้าใจสถานะและตำแหน่งของบรันก้าในเบสซ่าแล้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ใช่ธรรมดาเลย และเมื่อเห็นบรันก้าเข้ามาภายในเต็นท์ ท่าทางห้าวหาญของชัวน่าก็ดูอ่อนลงทันที จากที่ตั้งท่าจะด่าถังหยินเสียหน่อย นางก็เลือกที่จะกลืนคำพูดของตัวเองลงไป ก่อนที่หญิงสาวจะเงยหน้าขึ้น ทำท่าทางน่าสงสารและขมวดคิ้วบอบบางสีน้ำตาลก่อนพูดเบา ๆ “ข้าไม่ต้องการอยู่แต่ในค่าย”
เมื่อเห็นท่าทีที่อ่อนลงของอีกฝ่าย ถังหยินก็ยิ้มและพูดว่า “…เจ้าจะไปก็ได้ แต่ต้องฟังคำสั่งข้าและห้ามทำอะไรโดยพลการเป็นอันขาด !”
“ได้เลย !” หลังจากที่ชัวน่าได้ยิน นางก็ตอบตกลงทันทีโดยไม่ได้คิดอะไร ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วใช้โอกาสนี้กอดแขนถังหยินเอาไว้ ด้วยเพราะการได้ติดตามถังหยินคือความฝันอย่างหนึ่งของตัวนาง
แม้ว่าหญิงสาวจะสวมชุดเกราะแข็งจนไม่อาจสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลของร่างกาย หากแต่กลิ่นกายของนางก็ยังคงทำให้ถังหยินต้องก้าวถอยหลังอย่างฝืน ๆ แล้วใช้แรงผลักนางออกอย่างเบามือ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูดคุย “เจ้าเคยมาที่แคว้นเฟิงหรือไม่ ?”
ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรม มันก็ทำให้ผู้คนในเมืองเบสซ่าคิดอ่านไม่เหมือนกันชาวเฟิง ในเรื่องของการแสดงออกแตะเนื้อต้องตัว และแม้ว่าถังหยินจะตั้งใจหลีกเลี่ยงนาง หากแต่หญิงสาวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ชัวน่าเพียงยักไหล่อย่างไม่เป็นทางการและพูดว่า “โชคดีที่อากาศที่นี่อบอุ่นกว่าที่เบสซ่ามาก แค่ว่าข้ายังไม่ชินกับอาหารการกินของทีนี่เสียเท่าไหร่”
ถังหยินครุ่นคิดสักครู่แล้วกล่าวว่า “ข้าสามารถส่งคนไปที่ปิงหยวน เพื่อเชิญพ่อครัวจากเบสซ่าให้มาที่นี่ได้นะ” หลังจากที่เริ่มทำการค้าขายกับพวกเบสซ่า มันก็ทำให้ผู้คนจากที่นั่นพากันเข้ามาที่ปิงหยวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้มีร้านอาหารจากเบสซ่าผุดขึ้นมากมายในปิงหยวน
ชัวน่าที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะอย่างมีความสุข เพราะจากที่ฟัง มันก็ทำให้นางรู้สึกได้ถึงความใส่ใจของถังหยินที่มีต่อตัวเอง “ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น อาหารแคว้นเฟิงของเจ้ายังพอกินได้อยู่บ้าง”
ถังหยินหัวเราะ ด้วยเขารู้สึกชอบบุคลิกง่าย ๆ และดูอิสระของชัวน่า “ตอนที่ข้าไปที่เมืองเบสซ่า พ่อของเจ้าก็ให้การตอบรับข้าเป็นอย่างดี ดังนั้นตอนนี้ข้าเองก็ควรจะทำหน้าที่เจ้าบ้านแบบนั้นกลับเช่นกัน !”
“งั้นข้าจะไม่เกรงใจก็แล้วกัน” ชัวน่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขนาดนั้นเชียว ?” ถังหยินแกล้งเอ่ยถามกลับ
“นี่เราอยู่ข้างเจ้านะ ?” ชัวน่ากะพริบตาและพูดตอบ
ถังหยินเงียบ ด้วยนี่มันถือได้ว่าเป็นเรื่องระหว่างประเทศ ดังนั้นใครจะกล้ารับประกันว่าถ้าตอบผิดหูไปจะเกิดอะไรขึ้น ?
เมื่อเห็นถังหยินไม่พูดอะไร สีหน้าของชัวน่าก็มืดลง แต่จากนั้นนางก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแล้วหัวเราะออกมา “ครั้งนี้ข้าเอาไวน์แดงสูตรพิเศษจากของเบสซ่ามาเยอะทีเดียว อยากจะดื่มสักแก้วสองแก้วไหม ?”
“ได้เลย !” ถังหยินรีบรับคำในทันที
ว่าแล้วชัวน่าก็ไม่รอช้า ทำการสั่งให้องครักษ์นำไวน์แดง 2 ขวดออกมาพร้อมกับแก้ว 2 ใบ ก่อนเป็นชัวน่าที่หยิบมันขึ้นมา และชักชวนให้ชายหนุ่มนั่งลงตรงหน้าเตียง
ไวน์ของเบสซ่าบริสุทธิ์กว่าไวน์จากโลกที่เขาจากมามากนัก เพียงแค่เข้าปากก็จะสัมผัสได้ถึงรสเปรี้ยวหวานที่ค้างอยู่ในลำคอ ทำให้ถังหยินจิบและเผลอถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจ ก่อนที่เขาจะเอนตัวพิงเตียงและเงยหน้าขึ้นพูดแผ่วเบา “ข้ารู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ราชาเบสซ่าส่งกำลังเสริมมาเร็วขนาดนี้”
“ทำไมล่ะ ?” ชัวน่าถามด้วยความงงงวย
ถังหยินกล่าวว่า “ท่านดยุกคงจะไม่เห็นด้วยแน่ ๆ”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ชัวน่าไม่ได้ปฏิเสธ หญิงสาวพยักหน้าและกล่าวว่า “ลุงหวังไม่เห็นด้วย แต่พวกขุนนางทุกคนดูจะเห็นพ้องกันว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดกว่าที่จะส่งกำลังสนับสนุนมา”
ชายหนุ่มได้แต่แอบขอบคุณโชคชะตาของตัวเองในใจเงียบ ๆ ด้วยตั้งแต่มาที่โลกใบนี้ มันก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย จนทำให้เขาสามารถรวบรวมคนที่มีความสามารถมาอยู่เคียงข้าง
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดเลยว่า จากนักฆ่าที่อาศัยการฆ่าเพื่อหาเลี้ยงชีพในยุคปัจจุบัน จะกลายมาเป็นผู้ปกครองมณฑลที่สามารถสั่งคนได้หลายแสนคนเช่นนี้
เมื่อเขาคิดได้แบบนั้น ชายหนุ่มก็รีบส่ายหัว ก่อนจะกลบมันด้วยรอยยิ้มและความมึนเมาด้วยการดื่มไวน์ทั้งหมดในแก้ว
ชัวน่าหันศีรษะมองไปที่ถังหยิน
ในสายตาของนางและคนอื่น ๆ ในเมืองเบสซ่า พวกเฟิงนั้นอ่อนแอยิ่ง แต่กลับถังหยินนั้นมันแตกต่างออกไป ซึ่งตัวนางก็ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายแตกต่างจากคนอื่น ๆ ตรงไหน “ถังหยิน บ้านเกิดของเจ้าอยู่ที่ไหน ใช่ที่เขตปิงหยวนหรือไม่ ?”
“เปล่า” ถังหยินเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นกล่าวว่า “ห่างไกลจากเขตปิงหยวนมากเลยล่ะ !”
สำหรับถังหยินแล้ว ที่ที่เขาจากมานั้นห่างไกลจากเขตปิงหยวนมากนัก
ในขณะนั้นเอง สายตาของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป ทำให้การจ้องมองของถังหยินดูลึกล้ำและเงียบสงบยิ่งนักในขณะที่เขาพูดช้า ๆ “มันต่างจากที่แห่งนี้มากทีเดียว ”
ความสนใจของชัวน่าถูกกระตุ้นด้วยคำพูดนั่น ทำให้นางถามกลับอย่างรวดเร็ว “มันเป็นอย่างไร ?”
หลังจากดื่มไวน์อีกแก้ว ถังหยินก็พูดต่อ “มีตึกสูง รถเหล็กที่วิ่งเร็วมากกว่าม้า กับรถที่บินได้บนท้องฟ้า ” เขาหยุดชั่วคราว ด้วยกำลังพยายามนึกคำอธิบายถึงเครื่องบิน
ชัวน่าคิดเพียงว่าเขาล้อเล่น และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคัก ก่อนที่นางจะถามต่อว่า “รถม้าเหาะไปในอากาศได้ด้วยหรือ”
“อืมถ้าว่ากันตามตรงมันก็ถือว่า… ใช่ !” ถังหยินกะพริบตาและกล่าวขณะพยักหน้า
“ฮิฮิฮิ ~” ชัวน่าหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม
ถังหยินรู้ดีว่าไม่มีใครเชื่อสิ่งที่เขาพูดหรอก ดังนั้นเขาจึงดื่มไวน์เข้าไปอีกครา ก่อนจะกล่าวพึมพำออกมา “เมื่อไหร่กันนะ ที่ข้าไม่อยากกลับไปที่แห่งนั้นแล้ว ?” นี่คือสิ่งที่ทำให้เขากังวลมาโดยตลอด ด้วยมาจนถึงตอนนี้ ความคิดที่จะกลับไปยังโลกเดินมันก็ได้จางหายไปแล้ว คงเหลือเพียงแค่ตัวตนที่ผสมผสานเข้ากับโลกใบนี้เท่านั้น
แม้ว่าชัวน่าจะไม่สามารถเข้าใจสภาพจิตใจของเขาได้ แต่หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าภายในตัวของอีกฝ่าย
“ถังหยิน ?” ชัวน่าเอื้อมมือไปวางบนไหล่ของเขา
ถังหยินหันศีรษะและมองไปที่นางด้วยดวงตาที่ดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
ทั้งสองคนมองหน้ากันเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไร ก่อนที่ในเวลานั้นม่านจะถูกยกขึ้น และมีคนราว ๆ 5 คนเดินเข้ามาจากด้านนอก
เป็นเด็กหนุ่มที่หัวเราะ “ฝ่าบาท ทำไมท่านไม่ชวนพวกเราบ้าง เดี๋ยวก่อน นี่เรามาผิดเวลาหรือเปล่า ? ” ทั้ง 5 คนที่เข้ามาก็คือเบลน และขุนนางหนุ่มอีก 2-3 คนจากเบสซ่า ซึ่งเมื่อพวกเขาเห็นว่าถังหยินกับชัวน่านั่งอยู่ที่พื้นข้างเตียง และร่างกายของพวกเขาแทบจะชิดกันอยู่แล้ว มันก็ทำให้พวกเขาทั้ง 5 คนสะดุ้ง รีบเปลี่ยนคำพูดทันที
เบลนและคนอื่น ๆ มีอายุไล่เลี่ยกับชัวน่า ดังนั้นสถานะและตัวตนของพวกเขาจึงไม่ไกลจากกันมากนัก และหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับถังหยินครั้งที่แล้ว พวกเขาก็ได้สร้างมิตรภาพที่ลึกซึ้งกัน
ถังหยินเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ เขารีบนั่งตัวตรงและหัวเราะ “เบลนดีที่พวกเจ้าเข้ามา มา ๆ ดื่มเถอะ !”
“อ๋อ ?” เบลนเกาหัวแล้วหัวเราะ “นี่ข้าคงไม่ได้รบกวนพวกเจ้าสองคนใช่ไหม”
ชัวน่าหน้าแดงและดูจะไม่พอใจ “จะมานั่งก็มา ยังจะพูดอะไรไร้สาระอยู่อีก !”
เช่นเดียวกับถังหยิน และชัวน่า พวกคนที่เข้ามาใหม่ก็พากันนั่งลงบนพื้น ก่อนจะหยิบขวดไวน์แดงที่ยังไม่ได้เปิดขึ้นมา แล้วจึงใช้แก้วยกขึ้นดื่ม
ถังหยินมีความประทับใจที่ดีต่อเบลนกับคนอื่น ๆ และยังสนใจที่จะเป็นเพื่อนกับพวกเขา ด้วยพวกเขาทั้ง 5 คนล้วนมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงไม่น้อย
ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เมื่อเจ้าต่อสู้กับกองทัพหนิงในวันพรุ่งนี้ จงระวังลูกธนูของพวกมันให้ดี !”
เบลนเช็ดปากและพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้ายังไม่เข้าใจถึงความแข็งแกร่งของพวกเราอีกหรือ พวกเราชาวเบสซ่ากลัวลูกธนูน้อยที่สุดแล้ว !”
“ ฮ่าฮ่า ?” ตามคำพูดของเขา คนอื่น ๆ อีกสี่คนก็พากันก้มหน้าและหัวเราะ