ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 245
บทที่ 245
ขณะที่จ้านอู่ตี้กำลังร้องตะโกนไปที่พวกปิงหยวน ลูกศรอีกดอกก็ได้พุ่งออกมาเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ซึ่งมันก็รวดเร็วยิ่ง ชนิดที่ว่าอีกเพียงนิดก็จะปักเข้าไปที่ใบหน้าของจ้านอู่ตี้แล้ว
“บัดซบ !” จ้านอู่ตี้สบถ เขาสะบัดดาบปราณในมือเพื่อปัดป้องการโจมตี ก่อนจะทำการกระตุ้นให้ม้าของเขาพุ่งไปข้างหน้า ตรงไปยังกองทัพปิงหยวนนั่น ! และเมื่อเขามาถึงแนวหน้าของปิงหยวน ก็มีเสียงตะโกนดังลั่นออกมา พร้อม ๆ กันกับที่มีลูกธนูปราณ 3 ลูกพุ่งตรงไปที่ ลำคอ หัว และหน้าอกของจ้านอู่ตี้
ลูกศร 3 ดอกยิงออกไปในเวลาเดียวกัน โดยมีปลายทางเป็นจุดสำคัญส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นมีทักษะยิงธนูที่สูงยิ่ง
จ้านอู่ตี้ไม่ได้เตรียมตัวมาดีนัก เขาลุกลี้ลุกลนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้ดาบปัดลูกศรปราณที่พุ่งเข้ามายังบริเวณลำคอ จากนั้นก็ทำการย้ายร่างของตนไปทางซ้ายเพื่อหลบลูกศรอีกลูกหนึ่ง ทว่าถึงจะทำเช่นนั้น หากแต่มันก็ดูจะช้าเกิดไปหน่อย …ที่จะหลบลูกศรปราณดอกสุดท้ายที่กำลังเข้ามา !
ฉึก !
ลูกธนูพุ่งเข้าใส่หน้าอกเขาอย่างจัง ทำให้จ้านอู่ตี้ตกจากหลังม้า ทว่าก็โชคยังดีที่การฝึกฝนของเขาแข็งแกร่งพอตัว จนทำให้เกราะปราณแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง หากทว่าถึงจะเป็นแบบนั้น แต่เกราะปราณของเขาก็ยังคงแตก เช่นเดียวกับที่มีลูกศรติดอยู่ในรอยแตกนั่น และตามมาด้วยโลหิตสีแดงสดที่ไหลออกมา
เขาคว้าลูกศรปราณ ดึงมันออกมาอย่างแรง ก่อนจะโยนมันลงบนพื้นโดยไม่ได้มองเลยสักนิด ในขณะที่ดวงตาของเขาก็จ้องมองไปที่พวกปิงหยวนอย่างดุร้าย ซึ่งมันก็ทำให้จ้านอู่ตี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าใครที่โจมตีตน
คู่ต่อสู้ของเขาสวมชุดเกราะปราณสีขาว ในมือของอีกฝ่ายคือธนูปราณสีขาว และข้าง ๆ กันนั้น มันก็คือลูกธนูที่อัดแน่นอยู่เต็มกระบอก ซึ่งลูกศรที่อีกฝ่ายใช้ มันก็เป็นลูกศรขนเหยี่ยวที่หัวลูกศรทำจากเหล็กอย่างดี ที่เมื่อผสานเข้ากับพลังปราณแล้ว มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่เกราะปราณของจ้านอู่ตี้จะไม่สามารถต้านทานได้
แม่ทัพที่สวมชุดเกราะและถือธนูปราณแบบนี้ ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากหลีเทียน ที่ทำหน้าที่ดูแลหน่วยลับเนตรเวหา
ตอนนี้ระดับพลังของหลีเทียนนั้นอยู่ในขั้นปราณสู่พิสดารแล้ว ทำให้ลูกศรปราณของเขาทรงพลังขึ้นหลายเท่า จนต่อให้ไม่แสดงตัวก็สามารถฆ่าศัตรูได้จากที่ห่างไกล ทว่าด้วยฝ่ายตรงข้ามที่เขาพบในวันนี้คือจ้านอู่ตี้ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะฆ่าอีกฝ่าย
“เจ้านี่เองที่พยายามจะลอบสังหารข้า ได้เลย เราจะได้เห็นดีกัน !” ในเวลานี้จ้านอู่ตี้โกรธถึงขีดสุด ดวงตาของเขาเปิดกว้าง ก่อนที่เขาจะกระโดดขึ้นบนหลังม้าอีกครั้ง จากนั้นก็ทำการควบทะยานพุ่งเข้าหาหลีเทียน พร้อมกลับปล่อยคลื่นลมปราณส่งออกไปเป็นใบมีด !
“หลีกทาง !” ในฐานะหนึ่งในผู้นำฝ่ายข่าวกรองข่าวกรองของถังหยิน หลีเทียนรู้ชัดถึงความสามารถของจ้านอู่ตี้ เขาจึงรีบตะโกนบอกทหารที่อยู่รอบ ๆ จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปในอากาศไปทางด้านข้าง
ทว่าคำเตือนของเขาก็ยังคงก้าวช้าเกินไป ด้วยพวกทหารกองทัพปิงหยวนที่อยู่ด้านหน้าไม่อาจหลบทัน ถูกโจมตีโดยคลื่นพลังปราณนั่นจนร่างถูกหั่นออกเป็นสองส่วน เกิดเลือดกระเซ็นออกไปไกล ตายคาที่ในทันที
จ้านอู่ตี้ไม่เต็มใจที่จะปล่อยพวกเขาไป จึงเตรียมจะบุกเข้าไป ว่าแล้วเขาก็ใช้ดาบสีม่วงในมือฟาดฟันพวกเฟิงที่อยู่รอบ ๆ จนเกิดซากศพมากมาย เช่นเดียวกับพื้นดินที่ถูกเลือดย้อมเป็นสีแดงฉาน
ในขณะที่เขาฟาดฟันอย่างต่อเนื่อง จ้านอู่ตี้ก็พลันร้องคำรามใส่หลีเทียนที่ซ่อนตัวอยู่ไกล ๆ “ข้าอยากจะรู้นัก ว่าจะหนีไปได้นานแค่ไหน !!”
ทันใดนั้นขบวนรบของปิงหยวนก็แยกออกไปทางซ้ายและขวา ก่อนที่จะมีแม่ทัพนายกอง 2-3 นายรีบวิ่งออกมา นำโดยแม่ทัพกู่เยว่ ซึ่งตัวถังหยินที่อยู่ด้านหลังของกองทัพก็เห็นทุกอย่างชัดเจนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ทางด้านของจ้านอู่ตี้ที่เห็นเช่นนั้น เขาเองก็ไม่รอช้า รีบร้องสั่งกองกำลังเสริมจากพวกหนิงให้มาเสริมแนวหน้าในทันที
ถังหยินรู้ว่าพลังของจ้านอู่ตี้นั้นสูงเพียงใด และเป็นห่วงว่ากองทัพปิงหยวนจะต้านทานไว้ไม่ไหว ทว่าตัวเขาเองก็ไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ในตอนนี้ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงส่งกู่เยว่และแม่ทัพนายคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ ไปแทนเพื่อให้ร่วมมือกันจัดการจ้านอู่ตี้
ทว่าเมื่อมองตามความเป็นจริงแล้ว ขั้นพลังของจ้านอู่ตี้นั้นก็นับได้ว่าสูงส่งเป็นอย่างมาก และแม้ว่ากู่เยว่กับคนอื่น ๆ จะร่วมมือกัน ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจจะทำอะไรได้มากนัก อย่างไรก็ตามเมื่อมีคนเข้ามาช่วยแบบนี้ มันก็ทำให้หลีเทียนที่ซ่อนตัวอยู่ในระยะไกล กลายเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวที่สุดจ้านอู่ตี้ไปแล้ว ด้วยในระหว่างการปะทะ มันก็มักจะมีลูกศรปราณ 2-3 ดอกที่เล็งไปยังส่วนสำคัญขอจ้านอู่ตี้เป็นระยะ
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองฝ่ายก็ได้ต่อสู้กันมากว่า 20 กระบวนท่า ทว่ากู่เยว่ หลีเทียน และคนอื่น ๆ ก็ยังไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้มากนัก เช่นเดียวกับจ้านอู่ตี้ที่เขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรกลุ่มคนตรงหน้าได้เช่นกัน
ณ กองทัพเทียนหยวน
ชิวเจิ้นหลับตาลง ก่อนจะลืมตาและมองไปที่สนามรบ ซึ่งเมื่อเขาเห็นว่าการต่อสู้กับจ้านอู่ตี้เข้าสู่ทางตันแล้ว เด็กหนุ่มก็พลันหันมาพูดกับถังหยิน “นายท่าน ถึงเวลาที่จะปล่อยให้กองทัพทหารม้าเกราะเบาของเราเคลื่อนไหวแล้วใช่ไหม ?”
“ไม่ต้องรีบร้อน !” ในสนามรบถังหยินสงบกว่าชิวเจิ้นมาก ซึ่งมันก็เป็นเพราะเขาได้เห็นชีวิตและความตายมามากมายตั้งแต่ยังเด็ก
ว่าแล้วชายหนุ่มก็ชี้ไปที่ด้านหน้าและกล่าวว่า“ แม้ว่ากองทหารด้านหลังของกองทัพหนิงจะถูกส่งไปยังสนามรบ แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้เคลื่อนย้ายไปทั้งหมด อีกฝ่ายน่าจะยังมีทหารอีกราว ๆ แสนคนได้”
ชิวเจิ้นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น เราต้องคิดหาวิธีดึงดูดกองกำลังของศัตรูมาที่สนามรบ !”
“ใช่แล้วล่ะ !”
“นายท่านหมายความว่าอะไรขอรับ ?” ชิวเจิ้นถามด้วยความสงสัย
ถังหยินหัวเราะแล้วโบกมือของเขา “ส่งกองทัพของข้าเข้าสู่สนามรบ เพื่อบีบให้พวกมันส่งกองกำลังเข้าปะทะ !”
“ท่านมองได้ทะลุปรุโปร่งเลยสินะขอรับ !” ชิวเจิ้นอดไม่ได้ที่จะสรรเสริญเขา
ความสงบนิ่งของถังหยินก่อนการต่อสู้ไม่เพียงแต่สามารถรักษาขวัญกำลังใจของทหารที่อยู่ข้างเขาได้ เพราะแม้แต่ตัวชิวเจิ้นเองก็ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ ราวกับว่าไม่มีอะไรต้องกลัวแม้แต่น้อย !
ภายใต้คำสั่งของถังหยิน ทหารจำนวนแสนนายก็พากันเคลื่อนตัว ทิ้งไว้เพียงทหารองครักษ์เพียงไม่กี่พันคนที่อยู่เคียงข้างเขา
ชัวน่ามีสีหน้าเป็นกังวล นางมองไปรอบ ๆ แล้วถามถังหยินเบา ๆ “เจ้าทำการส่งคนของเจ้าไปแบบนี้มันไม่อันตรายหรือ ถ้าเกิดพวกหนิงบุกมาหาเราเล่า ?”
ถังหยินดูจะตกใจในตอนแรก ก่อนที่เขาจะยิ้มและส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า “มันไม่เกิดขึ้นหรอก ! พวกหนิงไม่ได้กล้ามากขนาดนั้น !”
ถังหยินที่ฝึกฝนมาอย่างหนักตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเขาจึงเข้าใจว่า ‘การโจมตีคือการป้องกันที่ดีที่สุด’ ดีเกินไป ทำให้ตัวเขานั้นมักที่จะทำเช่นนี้มาโดยตลอด ซึ่งกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับคู่ต่อสู้ของเขาก็คือการโจมตีอย่างเป็นระบบ เพื่อรอจนกระทั่งอีกฝ่ายก้าวพลาด !
เมื่อมองไปที่ถังหยินที่ยังคงมีท่าทีสงบ ชัวน่าก็อดที่จะส่ายหัวและหัวเราะไม่ได้ ก่อนที่จะถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจไปว่า “แน่ใจเหรอ”
ถังหยินยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทว่าเพียงแค่รอยยิ้มนี้ มันก็มากพอแล้วที่จะเป็นคำตอบของคำถามนั่น !
กองทัพทหารราวแสนนายที่เพิ่งเข้าร่วมการต่อสู้ ทำให้สถานการณ์ในสนามรบไม่สมดุลในทันที ด้วยพวกหนิงไม่อาจต้านรับกำลังทหารที่เพิ่มมากขึ้นขนาดนี้ไหว พวกเขาค่อย ๆ ถอยกลับอย่างช้า ๆ ภายใต้การรุกคืบของพวกเฟิงที่ตามมาติด ๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้น จ้านอู่ฉางก็ต้องอ้าปากค้าง คนพวกนั้นบ้าเกินไปแล้ว ! พวกเขากล้าที่จะทำขนาดนี้เชียวหรือ ? หากแต่ถึงจะตกใจอ้าปากค้าง ทว่าจ้านอู่ฉางก็ไม่ได้นิ่งเฉยแต่อย่างใด เขายกดาบขึ้นชี้ไปข้างหน้าและพูดว่า “กองพันที่ 4 5 6 7 8 9 เข้าสู่การต่อสู้ จงช่วยทหารของเราที่อยู่ข้างหน้าจับศัตรูและทำลายพวกมันให้สิ้น !”
“ครับท่าน !” เหล่าแม่ทัพนายกองพากันขานรับ ก่อนที่พวกเขาจะทยอยกับเข้าสู่สนามรบ
จ้านอู่ฉางไม่มีความกล้าหาญอย่างที่ถังหยินมี เขาไม่กล้าที่จะส่งกองทัพส่วนกลางทั้งหมดออกไป แต่เลือกที่จะทิ้งกำลังพลกว่า 2 หมื่นนายไว้ข้างตัว ซึ่งตัวเขานั้นก็หาได้กลัวว่าอีกฝ่ายจะบุกเข้ามาจู่โจมไม่ ด้วยนี่เป็นเพียงการเก็บออมกำลังไว้ในสถานการณ์ฉุกเฉินก็เท่านั้น !
สนามรบมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นการเตรียมพร้อมไว้ก่อนจึงนับได้ว่าเป็นการกระทำที่ฉลาด !
การปะทะกันระหว่างทั้งสองกลุ่มรุนแรงและเต็มไปด้วยเลือดที่นองไปทั่ว เมื่อมีคนล้มลง อีกคนก็จะเข้าไปแทนที่ทันทีไม่ว่าจะฝ่ายไหน
ในเวลานี้ การต่อสู้ได้กลายเป็นความบ้าคลั่งอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็เห็นแต่การสู้รบ ซากศพ และเลือดที่สาดกระจายไปทั่ว
จึงอาจกล่าวได้ว่า ตอนนี้พวกเขาไม่ได้แข่งขันด้านพลังการต่อสู้อีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นจิตวิญญาณที่จะอยู่ต่อ !
เมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้ ทหารม้าเกราะหนักของเบสซ่าก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ดังนั้นเมื่อได้รับคำให้ถอย พวกเขาก็พากันถอยกลับแนวหลังแต่โดยดีเพื่อหาโอกาสเข้าสู่การต่อสู้ในภายหลัง
หลังจากเห็นว่าทั้งสองฝ่ายในสนามรบกำลังติดพันซึ่งกันและกัน จะมีก็แต่คนที่ล้มตายลง ไม่มีฝ่ายไหนที่ได้เปรียบอย่างชัดเจน ชิวเจิ้น จางจี้และ คนอื่น ๆ ก็พากันมองหน้ากันไปมา ด้วยพวกเขาไม่สามารถนั่งนิ่ง ๆ ได้อีกต่อไป ก่อนที่คนทั้งหมดจะพร้อมใจกันหันไปถามถังหยิน “นายท่าน ทหารม้าของเรายังไม่ควรออกไปสู้รบหรือ ?”
ถึงภายนอกของถังหยินจะดูสงบ หากแต่ความจริงแล้วเขานั้นกังวลมากกว่าคนอื่น ๆ เสียอีก ด้วยทหารม้าจำนวน 1 หมื่นนายพวกนี้คือกุญแจสำคัญสำหรับชัยชนะในครั้งนี้ ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่คิดที่จะเผยมันออกไปง่าย ๆ
เขาหรี่ตาและพูดช้า ๆ “ยังก่อน ! รออีกหน่อย !”
ชิวเจิ้นและคนอื่น ๆ แอบยิ้มพร้อมกลับคิดในใจ พวกเขาต้องจะรออีกนานแค่ไหนกัน ? ยิ่งนานการบาดเจ็บล้มตายก็มีมากขึ้น และหากยังคงรอต่อไปเช่นนี้ พวกเขาก็อาจจะกลายเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบได้ !
เมื่อเห็นความวิตกกังวลของทุกคน ถังหยินก็พลันหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนมองไปที่สนามรบและพูดเบา ๆ “รอจนกว่าการต่อสู้จะจบลง !”
“?” ชิวเจิ้น จางจี้และคนอื่น ๆ มองหน้ากันด้วยความสงสัย ทว่าก็ไม่มีใครพูดอะไรสักคน จะมีก็แต่ความเงียบงันและเสียงการสู้รบที่ไกลออกไปเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหู