ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 282
บทที่ 282
บทที่ 282
ถังหยินเป็นแม่ทัพใหญ่ และไม่ว่าลูกน้องของเขาจะทำอะไร อีกฝ่ายก็ต้องได้รับอนุญาตจากชายหนุ่มเสียก่อน ดังนั้นความผิดพลาดในครั้งนี้จึงไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเฉิงจินเป็นฝ่ายผิดคนเดียว เพราะถังหยินเองก็หนีความรับผิดชอบไปไม่ได้เช่นกัน !
หลังจากได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม เฉิงจินและคนรอบข้างต่างก็รู้สึกสะเทือนใจ
ในฐานะแม่ทัพใหญ่ การยอมรับความผิดพลาดของตัวเองต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของความกล้าหาญเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความใจกว้างและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้วย !
เนื่องจากการลอบโจมตีที่ล้มเหลว ถังหยินจึงไม่มีทางเลือกอื่น เขาทำได้เพียงรับฟังชิวเจิ้นและรอให้เสบียงมาถึง
ในวันรุ่งขึ้น กองทัพไม่ได้ทำการโจมตีต่อ ส่วนทางด้านของเหมาอันเอง เขาก็กำลังรออย่างใจจดใจจ่อ ว่าเมื่อไหร่กำลังเสริมจะเข้ามา…
ตอนนี้เกิงฉวนยังคงอยู่ที่เดิม และกำลังพูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นที่ปรึกษา ว่าตนนั้นควรทำตามคำร้องขอของเหมาอันหรือไม่ !
โดยธรรมชาติแล้วเกิงฉวนไม่ใช่คนเด็ดขาดนัก และเมื่อทีมที่ปรึกษาของเขาแบ่งออกเป็น 2 ส่วนแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างยากขึ้นไปอีก โดยฝ่ายหนึ่งก็อ้างว่าพวกเขาควรจะไป ในขณะที่อีกฝั่งก็บอกว่าไม่ควร เพราะมันเสี่ยงเกินไป !
…เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ และจนถึงตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงโต้เถียงกันไม่หยุด
ในวันที่สอง ถังหยินแกล้งทำทีเป็นโจมตี และเมื่อเห็นว่าการป้องกันเมืองจี๋ยังคงแน่นหนาเหมือนเดิม เขาก็พลันสั่งให้กองกำลังหลักถอยและส่งทหารกลุ่มเล็ก ๆ ไปก่อกวนแทน เพื่อไม่ให้ศัตรูได้พักหรือผ่อนคลาย
คืนนั้นซงหยวนเดินทางกลับมา ซึ่งก่อนที่เขาจะปลีกตัวออกมาจากขบวนขนส่งเสบียง เขาก็ได้ทำการคัดเลือกหัวหน้าเขตเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเลยรีบมารายงานผลแก่ถังหยิน และทำความเข้าใจกับสถานการณ์การต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้
หลังจากได้ยินคำอธิบายของทุกคน ซงหยวนก็พลันหยุดนิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ ๆ เขาก็พลันหัวเราะและพูดกับถังหยิน “นายท่าน อันที่จริงแล้วการยึดเมืองจี๋ไม่ใช่เรื่องยากเลย !”
“หื๊ม ?” หลังจากได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนโดยรอบก็พากันตกใจรวมทั้งถังหยิน ด้วยพวกเขาได้ต่อสู้กับเมืองจี๋เป็นเวลา 2 วันแล้ว และจนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้เลย ดังนั้นเมื่อซงหยวนบอกมาเช่นนี้ มันก็ทำให้พวกเขาสงสัยเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะเป็นถังหยินที่หัวเราะและร้องถามออกมา “ซงหยวน ท่านมีแผนอันใดกัน ?”
“ใช้การลอบสังหารยามค่ำคืนต่อไป !” ซงหยวนกล่าวอย่างมั่นใจ
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น พวกเขาก็ต้องขมวดคิ้ว การลอบโจมตียามค่ำคืนงั้นหรือ ? แล้วถ้ามันซ้ำรอยเดิมเล่า ? และถ้าแม้แต่กลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดยังไม่อาจทำภารกิจสำเร็จ งั้นแล้วกลุ่มไหนกันที่จะถือว่าเหมาะสม ?
ถังหยินส่ายหัวและหัวเราะอย่างขมขื่น “ท่านซง เราเคยล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่ง ท่านยังคิดว่าเราจะสามารถใช้การลอบสังหารเช่นเดิมได้อีกหรือ ?”
ซงหยวนหัวเราะและถามผู้เป็นนายกลับไป “ข้าขอถามหน่อยได้ไหม ว่าเมืองจี๋มีทหารกี่นาย ?”
ถังหยินไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคำถาม เขาขมวดคิ้วก่อนพูด “มากที่สุดก็คงจะไม่เกิน 2 หมื่นนาย”
“ถูกต้อง ! พวกเขามีเพียง 2 หมื่นคนเท่านั้น และเราก็ได้ต่อสู้กับอีกฝ่ายมา 2 วันติดแล้ว ดังนั้นในขณะนี้ทหารของพวกเขาต้องเหนื่อยล้าแน่ แล้วแบบนี้ มีหรือที่พวกเขาจะตื่นตัวตลอดทั้งคืนไหว ?”
ซงหยวนเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะใช้สายตามองไปที่ทุกคนและพูดว่า “ข้าคิดว่าพวกเราควรส่งคนไปโจมตีอีกครา ทว่าครั้งนี้เป้าหมายคือประตูเมือง ! และหลังที่อีกฝ่ายเอาชนะการโจมตีของเราได้แล้ว พวกมันย่อมไม่คิดอย่างแน่นอนว่าจะมีการโจมตีระลอกที่สองในวันเดียวกัน ทำให้การโจมตีระลอกที่สองสร้างความประหลาดใจให้แก่ศัตรูได้แน่ !”
หลังจากที่ซงหยวนพูดจบ ทุกคนก็ลดศีรษะลงอย่างครุ่นคิด ด้วยกำลังพากันคำนวณว่าแผนของซงหยวนจะได้ผลหรือไม่
ไม่ว่าเหมาอันจะเจ้าเล่ห์แค่ไหน เขาก็ไม่มีวันคาดเดาได้ว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ !
ถังหยินคิดถึงประเด็นนี้อย่างจริงจัง ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นแล้วพูด “ถ้าข้าทำตามแผนที่ว่า งั้นแล้วทีมลอบสังหารชุดแรกจะกลับมาได้ยังไงโดยเสียหายน้อยที่สุด ?”
ซงหยวนที่ได้ยิน ก็พลันกล่าวออกไปทันที “ยากที่จะพูด แต่มันก็คุ้มค่าที่จะแลกกับชัยชนะ ! ดังนั้นแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับนายท่านแล้ว ว่าท่านคิดเห็นเช่นไร ?”
อืม ! ถังหยินแอบพยักหน้า จากนั้นมองไปที่ทุกคนและพูดว่า “ทุกคนคิดว่าไง ?”
ชิวเจิ้นลุกขึ้นและพูดในทันที “ท่านซง แผนนี้ได้ผลแน่นอน !”
เกี่ยวกับแผนการของซงหยวน ชิวเจิ้นเองก็ประทับใจเช่นกัน อันที่จริงทั้งเขาและจางจี้ได้พัฒนาทักษะของพวกเขาในแง่ของกลยุทธ์โดยรวม แต่กลยุทธ์การต่อสู้ของพวกเขาในเวลานี้นั้น นับว่าอ่อนด้อยกว่าของซงหยวนมากนัก !
เมื่อได้ยินว่าชิวเจิ้นเห็นด้วย ถังหยินก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและกล่าวว่า “เอาล่ะ ! ทำตามแผนนี้ได้เลย ค่ำคืนนี้ เราจะซุ่มโจมตีเมืองจี๋อีกครั้ง !”
“ขอรับ นายท่าน !” ทุกคนยืนขึ้นและตอบรับโดยพร้อมเพรียงกัน
ถังหยินยอมรับแผนการของซงหยวน และทำการเลือกทหารจำนวน 1 ร้อยนายจากทั้งกองทัพออกมา เพื่อเป็นทีมลอบจู่โจมระลอกแรก ในขณะเดียว หน่วยศรทมิฬที่เฉิงจินเป็นผู้นำ ก็จะเป็นทีมลอบจู่โจมระลอกที่สอง !
สิ่งที่แตกต่างจากครั้งที่แล้วคือถังหยินได้เข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย ซึ่งถือเป็นสัญญาณชั้นนี้ว่าเจ้าตัวมุ่งมั่นที่จะชนะการต่อสู้ในครั้งนี้มากแค่ไหน !
และเมื่อกำหนดแผนการลอบจู่โจมเรียบร้อยแล้ว ถังหยินก็ยังได้ทำการนัดแนะกับแม่ทัพคนอื่น ๆ ว่าให้บุกจู่โจมในทันทีที่ได้จังหวะเหมาะสม !
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ ถังหยินก็ทำการเรียกเจียงหลูเข้ามาพบ ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักรบเก่งกล้า หากแต่ชายผู้นี้ก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งและดูทรงพลังยิ่ง
ถังหยินเข้ามาใกล้และถามเบา ๆ “เจียงหลู เจ้ารู้อันตรายจากการซุ่มโจมตีในครั้งนี้ไหม ?”
เจียงหลูกำมือแน่นและพูดว่า “นายท่าน พวกเรามีจำนวนมากกว่าส่วนศัตรูก็ได้เตรียมการสำหรับการซุ่มโจมตีไว้แล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ข้าก็เต็มใจที่จะไป !”
ถังหยินพยักหน้า ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลงขณะที่โบกมือไปด้านข้าง เพื่อเรียกทหารยามให้เดินเข้ามาพร้อมกับถาดใบหนึ่ง และเมื่อเจียงหลูเงยหน้าขึ้น เขาก็พลันพบว่าภายในถาดนั้นเต็มไปด้วยแท่งทองคำที่ส่องแสง ก่อนจะเป็นถังหยินที่กล่าวว่า “เอาทองคำทั้งหมดนี้ไปแบ่งให้คนอื่น ๆ!”
เจียงหลูยื่นมือออกไป แต่ก็ดึงกลับทันทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตรงไปที่ถังหยินและพูดว่า “ข้าทำเพื่อแคว้นเฟิง ค่าตอบแทนอะไรแบบนั้นไม่จำเป็นหรอก !” เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อว่า “ส่งกลับไปที่บ้านของข้าเถอะ… !”
หากมีความคิดอื่นที่ดีกว่า เขาจะไม่มีทางปล่อยให้ทหารเช่นนี้ต้องไปตายอย่างแน่นอน แต่เพื่อที่จะทำลายเมืองจี๋ให้สำเร็จ ชายหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเสียสละ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถอนหายใจและพูดว่า “ตกลง พวกมันจะตกเป็นของครอบครัวของเจ้า เผื่อกรณีที่เลวร้ายที่สุด…”
“ลำบากท่านแล้วขอรับ ! ส่วนข้าน้อยนั้นยินดีที่จะเสียสละ และไม่มีวันที่จะเสียใจขอรับ !” เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจียงหลูก็พลันคุกเข่าลงและยกมือทาบไว้ที่หน้าอกก่อนกล่าวออกมา
เวลาเลยมาถึงเที่ยงคืนแล้ว เป็นจังหวะดีงามที่เจียงหลูจะนำเหล่าทหารกล้าทั้งร้อยนายออกไปลอบโจมตีเมืองจี๋ !
เมื่อมองจากภายนอก การป้องกันของเมืองจี๋นั้นดูผ่อนคลายมาก ไม่เพียงแต่จะไม่มีทหารรักษาการณ์ในหอเฝ้าระวัง เพราะแม้แต่บนกำแพงเมืองก็ไม่มีทหารลาดตระเวนเลยสักนาย ! ดังนั้นกลุ่มทหารกล้าตายจึงไม่พบสิ่งกีดขวางใด และเข้าไปหลบซ่อนอยู่ใต้เงามืดบริเวณใต้กำแพงเมืองได้อย่างราบรื่น
เจียงหลูและคนอื่น ๆ ฟังรอบข้างอย่างเงียบ ๆ สักพัก และเมื่อยืนยันว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดบนกำแพงเมือง พวกเขาก็พากันใช้เชือกและโยนตะขอปีนป่ายขึ้นไปด้านบนอย่างเงียบเชียบ
เมื่อมองซ้ายและขวาบนกำแพงเมือง พวกเขาก็ไม่เห็นทหารลาดตระเวนเลยสักคนที่ยืนเฝ้า…
เจียงหลูรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป เขากัดฟันและตัดสินใจ “ลงไปที่กำแพงเมืองแล้วเปิดประตู !”
ทหารผู้ใต้บังคับบัญชาของเจียงหลูรับคำ พากันผูกเชือกให้แน่นแล้วปีนลงกำแพงเข้าไปด้านในเมืองอย่างรวดเร็ว
พวกเขายกขาขึ้น ค่อย ๆ ทิ้งตัวลงไป
น่าแปลกที่พวกเขาไม่พบการซุ่มโจมตีจากกองทัพศัตรูเลยตลอดทาง ทำให้พวกเขามาถึงประตูเมืองได้อย่างราบรื่น ซึ่งมันก็ทำให้เจียงหลูรู้สึกกังวลยิ่งนัก !
เมื่อมองไปที่ประตูเมือง พวกเขาก็พากันพึมพำกับตัวเองว่าศัตรูไม่ได้เตรียมตัวมาจริง ๆหรือ ? ทำไมทุกอย่างมันไม่ดูง่ายดายถึงขนาดนี้ ?
เขาส่ายหัวส่งสัญญาณ เพื่อบอกให้ทุกคนช่วยกันเลื่อนสลักประตูและปล่อยให้กองทัพของพวกเขาเข้ามาในเมือง …โดยไม่รีรออันใด ทหารทั้งร้อยนายก็พลันขยับตัวเข้าไปใกล้ ก่อนที่จู่ ๆ จะมีเสียงกลองดังขึ้น !
ในที่สุดกองกำลังซุ่มโจมตีก็ปรากฏกายแล้ว ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่ห่อหุ้มร่างกายไว้ด้วยชุดเกราะสีแดง ก่อนจะเป็นประกายแสงจากคมดาบและลูกธนูที่สว่างวาบขึ้น !
“ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า !!!!”
หลังจากสิ้นเสียงหัวเราะ ทหารที่ดูท่าทางเหมือนจะเป็นแม่ทัพก็ได้เดินออกมาจากกลุ่มทหารแล้วตะโกนเสียงดังว่า “นายของข้าคาดเดาได้อย่างแม่นยำจริง ๆ! หลังจากรอมา 2 วัน ในที่สุดพวกเจ้าก็ทนไม่ไหว จนตัดสินใจส่งพวกชั้นต่ำอย่างพวกแกเข้ามาตาย ! น่าขายหน้ายิ่งนัก ! วางอาวุธแล้วยอมจำนนซะ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าได้ตายกันหมดตรงนี้แน่ !”
แม่ทัพของแคว้นเปิงที่พูดไม่ใช่ใครอื่น นอกจากหนึ่งในแม่ทัพคนสนิทของเหมาอัน หลูชิงเฟิง !!!
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เจียงหลูและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันตกตะลึง พร้อมกับพากันคิดกับตัวเอง ก่อนเป็นเจียงหลูที่รีบพูดขึ้นอย่างรีบร้อน “แย่แล้ว ! อย่าสนใจศัตรู รีบเปิดประตูเร็วเข้า !”
“ขอรับ !”
ทหารหน่วยกล้าตายตอบพร้อมเพรียงกันเมื่อได้ยินคำสั่ง จากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันเลื่อนสลักประตู
ประตูเมืองทำด้วยทองแดงบริสุทธิ์ และสลักก็ทำด้วยทองแดงเช่นกัน ดังนั้นมันจึงกว้าง หนา และหนักมากจนไม่สามารถเคลื่อนย้ายลงมาได้อย่างง่ายดาย และถึงจะทำได้ ทว่าหลูชิงเฟิงก็คงจะไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาถอดสลักประตูเมืองได้หรอก !
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปฏิเสธที่จะฟังคำแนะนำและยืนกรานที่จะทำต่อไป หลูชิงเฟิงก็พลันแสดงท่าทีเยาะเย้ยก่อนยกมือขึ้นและตะโกนว่า “ยิงธนูออกไป !”
เมื่อสิ้นเสียง ลูกศรมากมายก็พากันพุ่งเข้าไปที่ประตูเมือง
…เหล่าทหารที่น่าสงสารนับร้อยนายที่ไม่มีโล่และไม่มีที่ให้หลบถูกระดมยิงด้วยลูกศรอย่างไม่อาจที่จะทำอันใดได้เลย
หน้าอก หน้าท้อง ส่วนล่าง ต้นขาและแขนของพวกเขาถูกแทงด้วยลูกศรมากกว่าสิบดอก มีลูกศรบางดอกที่แทงทะลุร่างของเขาด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้ล้มลงกับพื้น ในขณะที่ตะโกนใส่หลูชิงเฟิงอย่างโกรธเกรี้ยว “ชะตาของคนทรยศอย่างพวกแก จะต้องไม่ได้ตายดีอย่างแน่นอน !!!!!” เมื่อพูดอย่างนั้น ก็พลันมีพลทหารกล้าตายนายหนึ่งที่ยกดาบขึ้นและพุ่งเข้าหาหลูชิงเฟิง !