ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 369
บทที่ 369
บทที่ 369
ถังหยินไม่เพียงแค่บอกว่าจะขับไล่หยูอี้ แต่ยังรวมไปถึงการปราบปรามไทอันด้วย !
ดังนั้นเมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง ถังหยินก็ไม่รอช้า ต่อให้หยูอี้จะออกจากเมืองหลวงไปแล้วหรือไม่ก็ตาม เขาก็ยังคงสั่งให้มูฉิงและทหารปิงหยวนออกเดินทางอยู่ดี !
กองทัพปิงหยวนกว่าแสนคนมารวมตัวกันที่สนาม เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็จะเห็นป้ายและธงปักอยู่ทั่ว
โดยไม่ต้องรอให้มากความ เหลียงซิง อู่หยูและอีกสองคนก็มาถึงแล้ว เช่นเดียวกับหยูอี้และผู้ว่าคนอื่นที่มา ซึ่งเมื่อพวกเขาเห็นฉากตรงหน้า ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงหยูอี้ที่แข้งขาอ่อนเลย เพราะแม้แต่ผู้ว่าคนอื่น ๆ เองก็ต่างมีใบหน้าขาวซีด !
นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว !
เมื่อขุนนางเก่าทั้งสามเห็นว่าถังหยินอยู่กลางเวทีแล้ว พวกเขาก็ไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปหาทันที แต่ทว่าก็ต้องโดนขวางไว้ก่อน โดยคนในชุดสีดำสนิท !
กลุ่มศรทมิฬได้แยกออกจากกองทัพอย่างสมบูรณ์แล้ว คนของพวกเขาไม่มีเกราะ สวมเพียงเสื้อผ้าไหมสีดำ กับเสื้อคลุมสีดำและมีดสั้นที่ห้อยลงมาจากเอว ที่เข้ากันได้ดีกับการแสดงออกของพวกเขาที่เย็นชาและกดดันในเวลาเดียวกัน
…ตัวตนในปัจจุบันของพวกเขาใกล้เคียงกับเนตรเวหาและเครือข่ายใยพิภพแต่ก็ไม่เหมือนกัน เพราะพวกเขารับผิดชอบในการสอดแนมและลอบสังหารผู้คนที่ไม่สามารถพบเห็นได้ในที่สาธารณะ เพื่อกำจัดอุปสรรคที่ถังหยินไม่สามารถทำได้เองโดยตรง
“ออกไปก่อน ข้ามีเรื่องเร่งด่วนที่จะปรึกษากับแม่ทัพถัง !” เหลียงซิงพูดกับคนของศรทมิฬที่เข้าขวาง
ทว่ากลุ่มศรทมิฬไม่เพียงแต่ไม่มีความตั้งใจที่จะหลีกทาง อันที่จริงพวกเขาไม่แม้แต่จะพูดอะไรกับเหลียงซิง ทุกคนเอาแต่ยืนอยู่ตรงนั้นและจ้องมองไปที่เหลียงซิงอย่างเย็นชา
เพราะความไว้วางใจของถังหยิน กลุ่มศรทมิฬจึงมีอำนาจที่สูงมาก ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเหลียงซิงไม่สามารถสั่งพวกเขาได้ แม้แต่แม่ทัพกองทัพเทียนหยวนคนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถสั่งพวกเขาได้เช่นกัน ด้วยคนเหล่านี้ฟังเพียงถังหยินเท่านั้น !
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหวตามคำพูดของตน และไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาใด ๆ เลย เหลียงซิงก็เริ่มโกรธ เพราะยังไงเสียเขาก็เป็นถึงเสนาบดีฝ่ายซ้าย !!!
ทว่ายังไม่ทันที่จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็เป็นถังหยินที่หันมาพูดเสียก่อน “เชิญท่านบนเวทีก่อน”
หลังจากได้ยินคำพูดของถังหยิน คนพวกนั้นก็พากันหลบหลีกทาง เปิดเผยทิศทางของเวทีให้อีกฝ่ายเข้าไปแต่โดยดี
เหลียงซิงหายใจเข้าลึก ๆ จ้องมองไปที่กลุ่มศรทมิฬอย่างดุร้ายและเดินขึ้นไปบนเวที
เมื่อเห็นว่าเหลียงซิง อู่หยูและจี้หยางปรากฏตัวขึ้น ถังหยินก็คิดบางอย่างในใจ ก่อนจะโค้งคำนับให้ทุกคนและถามด้วยสีหน้างงงวย “พวกท่านทั้งสามมีเรื่องอะไรงั้นหรือ ?”
“ท่านถัง !” ทุกคนพากันประสานมือทักทายกลับไป ก่อนจะกลืนน้ำลายและพูดในสิ่งที่คิดออกไป “ทำไมท่านถึงได้เรียกรวมกำลังรบกัน ท่านต้องการจะทำอะไร ?”
ถังหยินหัวเราะ ก่อนจะลอบมองไปยังหยูอี้ที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังและพูดอย่างช้า ๆ “แน่นอนเป็นเพราะข้าต้องการจะออกไปรบ !”
“โอ้ งั้นข้าขอทราบได้ไหมว่าท่านถังจะส่งทหารไปที่ใด ?”
“มณฑลไทอัน !”
“นี่ ?” เหลียงซิงแสดงสีหน้าอัปลักษณ์ออกมาทันที “ทำไมกัน ? ผู้ว่ามณฑลไทอันมีความภักดีจะตายไป ดังนั้นมันจึงไม่เหมาะสมสักนิดที่ท่านจะไปบุกโจมตี !” ในฐานะหนึ่งในสี่ขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ เหลียงซิงไม่ได้แสดงท่าทีกดข่มถังหยินแม้แต่แวบเดียวดั่งเช่นในอดีต ทั้งยังดูสุภาพยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าถังหยิน ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นว่ากองทัพมีอำนาจเพียงใด !
ถังหยินยิ้มและกล่าวว่า “จงรักภักดีงั้นหรือ ? ข้าคิดว่าท่านโดนตบตาเข้าแล้วด้วยซ้ำ ! ถ้าเขาภักดีจริง งั้นแล้วทำไมเขาถึงไม่ฟังคำสั่งข้า ทั้งยังรายงานเท็จเรื่องกำลังทหาร ! นี่เป็นความคิดของคนทรยศอย่างเห็นได้ชัด !”
ในขณะที่เขาพูดจบ ก็เป็นมูฉิงที่หันมองไปยังแม่ทัพคนอื่น ๆ เพื่อส่งสัญญาณ ทำให้พวกเขาทั้งหมดพร้อมใจกันตะโกนออกมา “ฆ่าคนทรยศที่คิดจะสั่นคลอนอำนาจ !”
หลังจากเสียงตะโกนของแม่ทัพ ทหารด้านล่างที่ได้ยินแบบนั้นก็พากันร้องตะโกนตาม “ฆ่าคนทรยศที่คิดจะสั่นคลอนอำนาจ ! ฆ่าคนทรยศที่คิดจะสั่นคลอนอำนาจ !”
ผู้คนนับแสนส่งเสียงร้องพร้อมเพรียงกัน ก่อให้เกิดคลื่นเสียงพุ่งตรงเข้าสู่ก้อนเมฆจนแก้วหูของทุกคนสั่นสะเทือน ทำให้ขุนนางใหญ่ทั้งสามที่ได้ยินถึงกับตัวสั่นสะท้านและก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว
“นี่มันไม่ยุติธรรม ! ข้าบริสุทธิ์ !”
ในเวลานี้แม้ว่าหยูอี้จะกลัวมากจนวิญญาณแทบจะออกจากร่างอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะเป็นชักช้าอีกต่อไป เขาเดินออกมาจากด้านหลังและตรงเข้าหาถังหยิน พลางเรียกร้องถึงความอยุติธรรมที่ตนได้รับ
ถังหยินที่เห็นแบบนั้นจึงหันไปโบกมือให้กับพวกแม่ทัพและทหารด้านล่างเวที ทำให้ในชั่วพริบตานั้น เสียงโห่ร้องของพวกเขาก็พลันหายวับไป !
ถังหยินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเอามือไพล่หลังและมองลงไปยังหยูอี้ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าพลางหัวเราะอย่างเย็นชา “มีอะไรที่อยากจะพูดอีกไหม ?”
“บัดซบที่สุด !” หยูอี้เงยหน้าขึ้นมองไปที่ถังหยิน แต่ภายใต้การจ้องมองอันเฉียบคมของคนหลัง มันก็ทำให้เขาต้องลดศีรษะลงทันทีและกล่าวอย่างกังวล “ท่านถัง ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังรับสมัครกำลังทหารเพิ่ม นี่เป็นความเข้าใจผิด ความรับผิดชอบทั้งหมดอยู่ที่ข้าคนนี้ ดังนั้นข้าหวังว่าท่านถังจะปราณีข้าเพื่อที่จะเลี่ยงไฟสงคราม”
แม้ว่าหยูอี้จะเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่เขาก็รู้ดี ว่าตนนั้นไม่สามารถรับมือกับกองกำลังของอีกฝ่ายได้ ขนาดซ่งเทียนที่ยืมกำลังจากพวกหนิงจนมีกำลังทหารเกือบล้านยังถูกตีแตกมาแล้ว งั้นสำหรับตนที่มีกำลังทหารเพียง 5 หมื่นเล่า ? …คงได้แต่นึกฝันเท่านั้นละมั้ง ถ้าคิดว่าจะชนะได้ !
แท้ที่จริงแล้วการสั่งฆ่าเป็นแค่เรื่องหลอกลวงเท่านั้น และเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ถังหยินก็รู้ว่าควรพอแค่นี้ ไม่งั้นจะเกิดปัญหาขึ้นตามมาได้ !
ว่าแล้วเขาก็พลันแสร้งเป็นประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นจึงมองไปยังหยูอี้และถามว่า “เจ้ากำลังบอกว่าเจ้ายินดีที่จะส่งกองทัพประจำมณฑลไทอันทั้งหมดมายังเมืองหลวง ?”
“ใช่ ! ใช่ ! ใช่ !” ตราบใดที่เป็นคำสั่งจากราชสำนัก ข้าคนนี้ก็ไม่กล้าขัดขืน ! ท่านถังได้โปรดให้อภัยข้าเถอะขอรับ !” หยูอี้กล่าวอย่างฟูมฟาย
“ดี !” ถังหยินทำท่าตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็เดินไปข้างหน้า ก่อนก้มตัวลงและพยุงตัวหยูอี้ขึ้น พร้อมถอนหายใจและพูดแผ่วเบา “ดูเหมือนว่าท่านหยูจะเข้าใจผิด ทำให้ข้าเข้าใจผิดในเจตนาของท่านหยูไปด้วย ! เนื่องจากท่านหยูยินดีที่จะส่งมอบกองทัพ งั้นแล้วท่านหยูก็ถือได้ว่าเป็นผู้รับใช้ที่ภักดีต่อแคว้น” พูดอย่างนั้นเขามองไปยังเสนาบดีเหลียงซิง อู่หยูและคนอื่น ๆ “ผู้ภักดีอย่างท่านหยูข้าจะลงโทษเขาได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงส่งกองกำลังไปปราบปรามเขาเลย ข้ายังรู้สึกว่าราชสำนักควรจะตอบแทนท่านเสียด้วยซ้ำ หรือท่านคิดว่ายังไง ?”
ก่อนที่พวกขุนนางใหญ่ทั้งสามจะตอบ ภายใต้คำแนะนำของมูฉิง กองทัพปิงหยวนก็เป็นฝ่ายที่ตะโกนขึ้นมาอีกครา “สมแล้วที่เป็นนายท่าน !!”
เสียงตะโกนดังขึ้นไม่หยุดเป็นเวลานาน และในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะมีคนที่อยากคัดค้าน ทว่าพวกเขาก็คงไม่กล้าที่จะยืนหยัดและพูดมันออกมาอีกแล้ว
ถังหยินเป็นคนฉลาด ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเข้าใจจุดสำคัญอย่างหนึ่งมาโดยตลอด และทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันก็อยู่ภายใต้การควบคุมของชายหนุ่มอย่างสมบูรณ์แบบ !
เรื่องที่กองทัพปิงหยวนจะเดินทัพไปปราบปรามไทอันในที่สุดก็สิ้นสุดลงแล้ว…
ผลลัพธ์ที่ได้นั้นมากมายนักหลังจากจบเรื่อง ประการแรกคือกำลังทหารทั้งหมดที่ถูกถ่ายโอนอำนาจให้กับเมืองหลวง ทำให้ชายหนุ่มสามารถรวมศูนย์อำนาจและควบคุมทุกอย่างได้ ประการที่สองคือพวกขุนนางได้เรียนรู้หลักการที่ว่า ‘ผู้ที่ตามข้ารอด ผู้ที่ขัดข้าตาย’ ด้วยตนเอง ทำให้อำนาจของเขามีความมั่นคงมากขึ้น
ตัวถังหยินนั้นรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าการใช้กำลังปราบปรามพวกขุนนางไม่ใช่สิ่งที่ควรทำบ่อย ๆ เพราะในช่วงแรกมันอาจได้ผล แต่ถ้าเวลาผ่านไป คนเหล่านี้ก็จะรวมตัวกัน และทำให้เกิดการต่อต้านตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ !
ดังนั้นในวันปกติถังหยินจึงไม่แสดงท่าทางใด ๆ เขาสุภาพกับทุกคนด้วยรอยยิ้มและเป็นมิตรกับขุนนางทุกคน และถ้ามีใครมาขอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มก็ยินดีที่จะช่วยคนเหล่านั้นอย่างเต็มที่เพื่อซื้อใจ
สำหรับผู้ว่ามณฑลทั้งเจ็ดที่เข้ามาในเมืองหลวง แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะสัญญาว่าจะย้ายกองทหารประจำมณฑลเขตของตนเข้าสู่เมืองหลวงแล้ว แต่ทว่าชายหนุ่มก็ไม่คิดจะปล่อยให้พวกเขาออกไปในทันที หากแต่ถังหยินเลือกที่จะใช้ให้ชิวเจิ้น หยวนจี้กับคนอื่น ๆ ไปพูดคุย และกินดื่มกับเหล่าผู้ว่าเพื่อถ่วงเวลากลับของพวกเขาให้ล่าช้าออกไปอีก