ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 371
บทที่ 371
บทที่ 371
แม้ว่านายกองจะมองว่ามันแปลกที่ถังหยินต้องการเข้าไปในวัง ทว่าเขาก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรมาก
ด้วยต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความสงสัย กองทัพเทียนหยวนจึงประจำการอยู่ที่ส่วนนอกของพระราชวังเพื่อป้องกันผู้บุกรุก ไม่ได้ก้าวก่ายภายในนั้นแม้แต่น้อย
และถ้ามาลองคิดดู นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่ถังหยินเข้าวังโดยไม่ได้รับคำเชิญ…
ระหว่างทางไปยังคลังสมบัติ หยวนเปียวเกาหัวและมองไปรอบ ๆ ขณะที่กระซิบ “วังในเวลากลางคืนก็น่ากลัวเหมือนกันนะขอรับ”
โดยไม่รอให้ถังหยินตอบกลับ ชิวเจิ้นก็พลันหันหน้ามาและยิ้มให้ “ท่านแม่ทัพหยวนเปียว ที่นี่มีอะไรให้ต้องกลัวกัน ?”
หยวนเปียวกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้มีคนอาศัยอยู่ในวังไม่มากนัก และหลายคนก็เสียชีวิตไปก่อนแล้วด้วย สถานที่ที่ใหญ่โต มีห้องต่าง ๆ มากมายแบบนี้ มันน่าจะ… มีผีหรืออะไรทำนองนั้นนี่ขอรับ ?”
ชิวเจิ้นอดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะออกมา เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “ผีไม่มีจริงหรอกน่า…”
ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงครวญครางของเด็ก ทำเอาหยวนเปียวตกใจสุดขีด และแม้แต่ชิวเจินก็ยังตกใจจนเผลอเงยหน้าขึ้นมองอย่างกังวล ส่วนถังหยินที่อยู่ข้าง ๆ เด็กหนุ่มไม่ได้แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขายังคงเดินไปข้างหน้า ในเวลาเดียวกันก็กล่าวออกมาว่า “ก็แค่แมวจรจัดเท่านั้น”
ชิวเจิ้นมองอย่างระมัดระวัง ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่ถังหยินได้กล่าวไว้จริง ๆ มีแมวสีดำตัวใหญ่ยืนอยู่บนหลังคาของพระราชวัง และในคืนที่มืดมิดเช่นนี้ ดวงตาของมันก็จะส่องแสงสีเขียวแปลก ๆ ออกมา ชิวเจิ้นถอนหายใจ เขาจับแขนเสื้อถังหยินอย่างกังวลและหัวเราะ “ข้าไม่คิดว่าจะมีแมวมาอยู่ในวังได้น่ะขอรับ”
ถังหยินกลอกตาไปที่อีกฝ่ายและไม่พูดอะไรอีก ชายหนุ่มไม่กลัวผีแล้วก็ไม่เชื่อเรื่องการมีอยู่ของผีด้วย เพราะถ้ามีผีจริงในโลก ใครจะรู้ว่าจะมีผีที่เกิดจากน้ำมือของเขากี่ตน ?
แต่หยวนเปียวแตกต่างออกไป ไม่ว่าเขาจะพบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเพียงใดในสนามรบเขาก็ไม่กลัวคนพวกนั้นเลย ทว่ากับผีเช่นนี้….
หลังจากยืนยันว่าสิ่งที่ส่งเสียงแปลก ๆ เป็นแมว หยวนเปียวก็ทำการเช็ดเหงื่อเย็นและเร่งฝีเท้าโดยไม่รู้ตัวตามหลังถังหยินไปอย่างใกล้ชิด
ผู้รับผิดชอบคลังหลวงภายในพระราชวังได้เปลี่ยนเป็นทหารหญิงอายุราวสามสิบปี นางมีรูปร่างที่สูงใหญ่ ร่างกายที่กำยำ และใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดุร้ายห้าวหาญ !
ซึ่งในตอนที่ถังหยินและคนอื่น ๆ มาถึง นางก็กำลังนอนหลับอยู่พอดี ทว่าก็ได้ทหารหญิงข้าง ๆ ที่ดึงตัวนางขึ้นมาและพูดซ้ำ ๆ ว่านายท่านมาแล้ว
เมื่อเห็นถังหยิน ทหารหญิงคนนั้นก็ตื่นขึ้นจากการหลับใหลทันที นางเร่งโค้งคำนับและกล่าวทักทายอย่างง่าย ๆ ออกมา “นายท่าน !”
“อืม !” ถังหยินพยักหน้า ปากกล่าวว่า “เปิดคลังสมบัติให้ข้าที”
“นี้มัน ?” ทหารหญิงเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย “ท่านเคยบอกว่าอย่าให้ใครเข้าไปในคลังสมบัติ !?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังหยินก็ทั้งโกรธและขบขัน ด้วยผู้หญิงคนนี้ช่างกล้าหาญเสียจริง ! นางกล้าถึงขนาดที่ใช้คำพูดนั่นของชายหนุ่มย้อนกลับมาข่ม ทำให้ถังหยินอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น ทว่าเขาก็ไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป เพียงใช้สายตาจับจ้องไปที่ทหารหญิง ก่อนเป็นชิวเจิ้นที่ถอนหายใจและพูดอย่างเคร่งขรึม “นายท่านขอให้เจ้าเปิดคลัง เพราะฉะนั้นช่วยทำตามคำสั่งด้วย”
“โอ้ !” หลังจากหาอยู่สักพัก นางก็หยิบเอากุญแจออกหนึ่งออกจากพวง จากนั้นจึงนำมันไปเปิดล็อคทองแดงขนาดใหญ่ที่ประตูคลัง ก่อนจะเลื่อนมันไปด้านข้างและลดศีรษะลงขณะที่พูดว่า “เชิญนายท่าน !”
หลังจากเข้าไปในคลังสมบัติ ถังหยินก็ปล่อยให้ทหารยามจุดตะเกียงภายในนั้น ก่อนที่จะถามเสียงแผ่วเบาออกมา “ชิวเจิน เจ้าเป็นคนส่งนางมาเฝ้าคลังงั้นหรือ ?”
ชิวเจิ้นหน้าแดงและอธิบาย “งานในวังไม่เหมาะสำหรับผู้ชาย ส่วนทหารหญิงก็มีน้อยมาก ดังนั้นแล้วนางจึงถือได้ว่าใช้ได้ที่สุดแล้วท่ามกลางทหารหญิงทั้งหมดที่มี ”
“เหอะ !” ถังหยินหัวเราะเยาะและไม่ได้พูดอะไรอีก รอจนกระทั่งตะเกียงน้ำมันทั้งหมดในคลังสมบัติสว่างขึ้น เขาจึงค่อย ๆ เดินไปข้างหน้า มองซ้ายและขวาเป็นครั้งคราวเพื่อสำรวจโดยรอบ
คลังสมบัติภายในพระราชวังได้รับการจัดระเบียบเรียบร้อยเป็นอย่างดี ชั้นวางของพวกนั้นจึงเต็มไปด้วยสมบัติของพระราชวังที่ทำจากทอง เงิน และหยกอัดแน่นเต็มบริเวณไปหมด
ถังหยินไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้มากนัก แม้ว่าเขาจะเห็นสมบัติล้ำค่า แต่เขาก็เพียงหยิบมันขึ้นมามองเพียงไม่กี่ครั้งแล้ววางมันกลับลงไป
ส่วนทางชิวเจิ้นกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ด้วยเด็กหนุ่มนำกล่องเปล่าออกมา และเมื่อผ่านบริเวณใด เขาก็จะทำการคัดเลือกสมบัติล้ำค่าพวกนั้นอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะบรรจุลงในกล่องอย่างดี ทำให้เมื่อเวลาไม่นานนัก ภายในกล่องนั้นก็ได้บรรจุทรัพย์สินมีค่าเอาไว้กว่าสิบชิ้นแล้ว
เขาถอนหายใจออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ “ถือได้ว่าเป็นของล้ำค่าอย่างแท้จริง ! ทว่านี่ก็เป็นเพียงสมบัติที่หลงเหลืออยู่เท่านั้น เพราะซ่งเทียนคงเอาติดตัวไปด้วยบางส่วน”
ถังหยินยักไหล่อย่างใช้ความคิด
ในเวลานั้นก็พลันมีเสียงดังมาจากนอกคลังสมบัติ ทำให้ถังหยินขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะหันศีรษะไปหาทหารยามด้านหลัง เพื่อบอกให้อีกฝ่ายออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่นานหลังจากยามจากไป อีกฝ่ายก็ได้วิ่งกลับมาหาถังหยินและพูดด้วยเสียงต่ำ “รายงานนายท่าน ท่านหญิงฮัวหลงขอรับ”
“ฮัวหลง ?” ถังหยินนึกไม่ออกแม้แต่น้อยว่าใครกันคือเจ้าของนามนี้
ชิวเจิ้นแอบขมวดคิ้วและกล่าวว่า “นายท่าน ฮัวหลงเป็นหนึ่งในนางสนมของท่านอ๋องคนก่อน เมื่อกองทัพของเราบุกเข้ามาในพระราชวัง นายท่านก็เคยพบกับนางอยู่ครั้งหนึ่ง”
“จริงด้วย !” หลังจากได้ยินคำเตือนของชิวเจิ้น ถังหยินก็จำหญิงสาวได้ ว่าแต่… ทำไมนางถึงมาที่คลังสมบัติในเวลานี้กัน ? แต่ไม่ว่ายังไง จะให้นางเห็นไม่ได้เด็ดขาดว่าเขากำลังทำอะไร เพราะเรื่องนี้อาจทำให้ชื่อเสียงเสียหายได้ ! หลังจากคิดสักพัก ชายหนุ่มก็พูดกับทหารยามคนนั้นว่า “ให้นางเข้ามา !”
“รับทราบแล้ว นายท่าน” ทหารยามตอบและเดินออกไปอีกครั้ง
ไม่นานทหารคนนั้นก็พาฮัวหลงมา โดยมีสาวใช้สองคนติดตามนางมาด้วย
หลังจากที่ฮัวหลงเข้าไปในคลังแล้ว หญิงสาวก็ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมองไปยังสมบัติโดยรอบ ทว่าสายตาของนางกลับเอาแต่กวาดไปทั่วฝูงชน และเมื่อเห็นถังหยิน ดวงตาของนางก็พลันสว่างวาบ ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม
ถังหยินที่เห็นแบบนั้นจึงหันมาสบตากับนางและยกยิ้มมุมปากพร้อมกล่าวว่า “ข้าเข้ามาตรวจสอบสมบัติในคลัง เจ้าล่ะมาทำไมกัน ?”
“ตรวจสอบสมบัติในคลัง ?” ฮัวหลงไม่ตอบคำถามของถังหยิน ก่อนที่สายตาของนางจะเลื่อนลงไปที่พื้นเบื้องล่างแล้วหัวเราะออกมา “ท่านมาตรวจสอบสมบัติในเวลากลางคืนเช่นนี้เป็นประจำหรือ ? คงไม่มีใครเชื่อแน่ถ้าคำพูดแพร่กระจายออกไป !” ขณะที่พูด นางก็ได้ยกแขนขึ้นปิดปากด้วยแขนเสื้อ พร้อมกับหันมองไปที่ถังหยินด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
ชิวเจิ้นหายใจเข้าลึก ๆ ขมวดคิ้วลึกแน่น
การแสดงออกของถังหยินไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ทำให้ร่างกายของคนทั้งสองใกล้กันมาก ก่อนที่ชายหนุ่มจะก้มตัวลงและโน้มตัวเข้าใกล้หูของหญิงสาวแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ข้าคิดว่าท่านหญิงเป็นคนฉลาด และรู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด” เมื่อมาถึงจุดนี้ คำพูดของเขาก็ถือได้ว่าเป็นการคุกคามอย่างชัดเจนแล้ว !!!
แต่ฮัวหลงไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของถังหยินเลย นางไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว และแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจสิ่งที่พูด หญิงสาวหันศีรษะมองตรงเข้าไปในดวงตาของถังหยินและพูดอย่างยิ้มแย้ม “ยกโทษให้ข้าด้วย แต่ข้าไม่เข้าใจว่าท่านอยากที่จะพูดอะไรกันแน่”
พวกเขาสองคนอยู่ใกล้กันมาก และถ้าขยับไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย คนทั้งคู่ก็แทบจะสัมผัสปลายจมูกขอกันและกันแล้ว ซึ่งในระยะใกล้เช่นนี้ มันก็ทำให้ถังหยินสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากตัวของฮัวหลง ทำให้ขณะที่พูด ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงและมองฮัวหลงแบบใกล้ ๆ อีกครั้ง
ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงเลย ด้วยมีน้อยคนนักในแคว้นที่กล้าสบตาชายหนุ่ม แต่ฮัวหลงกลับมีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น และถึงจะถูกล้อมรอบไปด้วยทหาร ทว่านางกลับไม่ได้มีความกลัวแม้แต่น้อย ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจยิ่ง
ในเวลานี้แม้แต่ถังหยินก็เริ่มสงสัยในตัวตนของนางขึ้นมาบ้างแล้ว
ถังหยินมองลงไปยังฮัวหลงที่เตี้ยกว่าเขาแล้วถามว่า “เจ้าต้องการอะไร ?”
ฮัวหลงหัวเราะ ก่อนที่ทันใดนั้นนางจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านมีแผนจะขึ้นเป็นอ๋องใช่หรือไม่ ?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมาจากปาก ทุกคนโดยรอบก็พากันตัวสั่นสะท้าน ด้วยคำพูดนี้ห้ามเล็ดลอดออกไปเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นต้องโดนข้อหากบฎอย่างไม่ต้องสงสัย !
ดวงตาของชิวเจิ้นเป็นประกายด้วยจิตสังหาร เขาหันมองไปที่หยวนอู่และหยวนเปียว ซึ่งทั้งสองก็ล้วนเข้าใจความหมายของชิวเจิ้นและเข้าจับดาบของพวกเขาเตรียมพร้อม …ขอแค่ถังหยินออกคำสั่ง ทั้งสองก็จะลงมือสังหารนางและสาวใช้ในทันที !!!
การแสดงออกของถังหยินยังคงเหมือนเดิม แต่ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาเปลี่ยนไป ด้วยมาตอนนี้มันกำลังเปล่งแสงสีเขียวที่เผยให้เห็นความตั้งใจในการฆ่าที่แพร่กระจายออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ราวกับว่านางไม่รู้สึกถึงเจตนาฆ่าของถังหยินและคนรอบข้าง ใบหน้าของหญิงสาวยังคงมีรอยยิ้มเช่นเดิม “อะไรกัน ? ท่านจะฆ่าคนปิดปากอย่างนั้นหรือ ?”
ถังหยินไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ เพียงพูดช้าๆ “เจ้าควรที่จะรู้นะว่าอะไรควรที่จะพูด อะไรไม่ควร ไม่งั้นระวังจะอายุสั้นเอาได้”
แต่ฮัวหลงกลับหัวเราะคิกคักเป็นคำตอบ “ถ้าข้าตายที่นี่ เกรงว่าท่านจะเดือดร้อนมากกว่าข้าเสียอีก”
ถังหยินยักไหล่ และพูดด้วยความมั่นใจในตัวเองว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่เหลือศพไว้ให้เห็น และแน่นอนคนตายพูดไม่ได้”
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็พลันหยุดหัวเราะและกล่าวว่า “ปัจจุบันพระราชวังถูกควบคุมโดยท่านถัง หากอดีตพระชายาผู้สง่างามต้องหายไปจากวัง ท่านก็จะโดนสงสัยเป็นคนแรกอยู่แล้ว !”
“?” ถังหยินพูดไม่ออก
‘ช่างเป็นผู้หญิงที่หัวไวและชาญฉลาดอะไรเช่นนี้ !’ ถังหยินแอบประหลาดใจ
มันง่ายสำหรับเขามากที่จะกำจัดศพของนาง อย่างไรก็ตาม …เมื่อมีคนในวังหายไป มันก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดข่าวลือด้านลบเกี่ยวกับตัวเขา !