ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 391
บทที่ 391
บทที่ 391
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจากกองทัพเฟิงกล้าที่จะออกมาต่อสู้ด้วย จ้านอู่ตี้ก็พลันก่นด่าออกมาในทันทีด้วยความโกรธ เสียงคำรามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเห็นว่าขวัญกำลังใจของพวกทหารเพิ่มขึ้น จ้านอู่ฉางก็ไม่รอช้า ทำการสั่งให้ลั่นกลองรบเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีในทันที !
ตึง ! ตึง ! ตึง !
ด้วยเสียงกลองสงครามที่กำลังลั่นไปทั่วท้องฟ้า กองทัพหนิงทั้งหมดก็พากันเตรียมตัว ก่อนที่พวกเขาจะใช้โล่และหอกในมือตีกระทบกันจนเกิดเป็นจังหวะ “ฆ่า ! ฆ่า ! ฆ่า !”
แม้ว่ากองทัพหนิงนี้จะพ่ายแพ้จากการซุ่มโจมตีของอู่กวนและจ้านหู และถึงนี่จะเป็นเพียงกองกำลังที่เหลืออยู่ของพวกเขา แต่กลิ่นอายที่เปล่งออกมาในตอนนี้ก็มากพอที่จะทำให้จิตวิญญาณสั่นคลอนได้ แม้แต่จีหยิงที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
…อู่กวนกับจ้านหูนำกำลังทหารไป 5 หมื่นนายก็มากพอแล้วที่จะเอาชนะศัตรู และตนที่นำกำลังทหารนับแสนเหล่า ? จะมายอมสูญเสียศักดิ์ศรีของกองทัพเฟิงได้อย่างไร !?
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นเขาก็หายใจเข้าลึก ๆ และตะโกนใส่เหล่าผู้ติดตามทางซ้ายและขวา “จัดขบวน ! เตรียมปะทะ !”
ขณะที่จี้หยิงออกคำสั่ง เสียงกลองรบก็พลันดังขึ้นจากทางฝั่งของกองทัพอินทรีสวรรค์ และก็เช่นเดียวกับพวกหนิง ที่ทหารพากันถือโล่พร้อมอาวุธและตะโกนว่า “แด่เฟิง ! แด่เฟิง ! แด่เฟิง !”
ไม่นานกองทัพทั้งสองก็เริ่มเคลื่อนไปข้างหน้า จีหยิงเลือกตัวเลือกเดียวกับจ้านอู่ฉาง …นั่นคือการใช้กระบวนทัพเกล็ดปลา
ถ้ามองจากระยะไกลมันจะดูเหมือนเกล็ดปลาเป็นชั้น ๆ รูปแบบนี้ใช้กลยุทธ์ที่เน้นศูนย์กลาง และถ้ากองทัพเปรียบเป็นฝ่ามือ งั้นแล้วการใช้กระบวนทัพเกล็ดปลาก็คล้ายกับฝ่ามือที่กำแน่น เพื่อมุ่งเน้นความแข็งแกร่งของกองทัพทั้งหมดไปยังจุดสำคัญของศัตรู แน่นอนว่าจุดอ่อนและข้อดีของกระบวนทัพเกล็ดปลาก็โดดเด่นไม่แพ้กัน เพราะมันมีจุดสำคัญอยู่ในช่วงท้าย และหากการโจมตีสิ้นสุดลงโดยไม่อาจบีบอีกฝ่ายให้ล่าถอยได้ ทั้งกองทัพก็จะตกอยู่ในอันตรายจากการถูกโจมตีตลบหลัง
จีหยิงกำลังเดิมพันกับกระบวนทัพเกล็ดปลา เดิมพันแคว้นเฟิงที่อยู่ข้างหลังเขา ! เช่นเดียวกับจ้านอู่ฉางที่ก็กำลังเดิมพันด้วยความคิดแบบเดียวกัน เพราะเขามีทหารเหลือเพียงไม่กี่หมื่นนายเท่านั้น และนี่… มันก็ถือเป็นโอกาสที่ควรคว้าเอาไว้ !!
นี่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างสองกองทัพและมันเป็นการเผชิญหน้าที่ยิ่งใหญ่
ทั้งสองกองทัพอยู่ในรูปแบบเดียวกัน ก้าวไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน กองทัพทั้งสองมีพลธนูช่วยเสริม ในขณะที่กำลังหลักอยู่ด้านหลัง และเมื่อทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้มากขึ้น บรรยากาศในสนามรบก็กลายเป็นตึงเครียด …ราวกับว่าอากาศกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว ไม่มีใครพูดหรือตะโกนออกมาอีก
ในระหว่างสงครามขนาดใหญ่เช่นนี้ ไม่มีใครกล้าที่จะลดความระวังลง พวกเขาต่างเตรียมพร้อม และเมื่อทั้งสองฝ่ายเข้าสู่ระยะการโจมตี ผู้บัญชาการของทั้งสองฝ่ายก็พลันร้องตะโกนออกมาพร้อมกันว่า “เตรียมยิง !”
ความเร็วของทั้งสองกองทัพไม่ได้ลดลง พวกทหารทั้งสองฝั่งพากันเคลื่อนไหว พวกเขาต่างส่งอาวุธและโล่ให้กับสหาย จากนั้นจึงหยิบธนูยาวขึ้นมา และในขณะที่เดินไปข้างหน้า พวกเขาก็ได้ง้างลูกศรชี้ไปยังช่องว่างเล็งด้านหน้าของตน
“ยิงได้ !”
“ยิงได้ !”
คำสั่งจากทั้งสองฝ่ายเป็นเอกฉันท์อย่างน่าประหลาดใจ ทั้งสองกองทัพปล่อยลูกศรออกมาพร้อม ๆ กัน
ในเวลาเดียวกัน กลุ่มก้อนสีดำอัดแน่นสองกลุ่มก็พลันพุ่งขึ้นจากทั้งกองทัพเฟิงและกองทัพหนิง เป็นลูกศรขนนกอินทรีนับไม่ถ้วนที่เข้าปกคลุมท้องฟ้าสีคราม ก่อนจะปะทะกันจนทำให้เกิดเสียง ‘กร็อบ ปั๊ก’
…แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น หากทว่ามันก็ยังมีไม่น้อยที่ผ่านม่านลูกศรศัตรูและข้ามฝั่งไปได้
เมื่อลูกศรเข้ามาใกล้มากขึ้น เสียงหึ่ง ๆ ที่น่าเบื่อก็ค่อย ๆ กลายเป็นเสียงเสียดหู
ในพริบตาลูกศรก็ได้ตกลงไปที่กองทัพทั้งสอง ทันใดนั้นเสียงของเกราะแตกก็ดังมาจากทั่วทุกที่ และในเวลาเดียวกันเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก็พลันดังออกมาจากกองทัพทั้งสอง
พวกทหารเดินทัพไปข้างหน้าในรูปแบบหน้ากระดานอย่างไม่เกรงกลัว ทว่าบางคนในฝูงชนกลับถูกลูกศรยิงจนล้มลงกับพื้น
…ในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นใคร การล้มลงก็หมายถึงความตาย เพราะเพื่อให้ขบวนเสร็จสมบูรณ์ ทหารที่อยู่ด้านหลังจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงสหายของพวกเขาได้เลย ต่างทำได้เพียงเหยียบผ่านร่างของสหาย ราวกับเป็นเครื่องจักรสงครามที่ไร้ความรู้สึก มีเพียงความคิดเดียวที่หลงเหลืออยู่ในหัวของคนเหล่านี้ ‘เดินหน้าต่อไป…เดินต่อไป’
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือผู้ฝึกฝนพลังปราณจะสามารถใช้เกราะพลังปราณเพื่อป้องกันลูกศรได้ แต่ก็คงต้านได้ไม่มากนัก และถ้ายิ่งคนผู้นั้นอยู่ตรงใจกลางศรที่ตกลงมาด้วยแล้ว มันก็รับประกันได้เลยว่าคนผู้นั้นได้กลายเป็นดั่งเม่นแน่ ๆ ไม่ว่าจะมีพลังปราณสูงส่งเท่าใดก็ตาม !!
แม้แต่ผู้ฝึกฝนที่ทรงพลังอย่างจ้านอู่ตี้ เขาก็ยังไม่กล้าที่จะอยู่หน้าขบวน และก็เพราะแบบนี้เอง จ้านอู่ฉางจึงถูกบังคับให้ถอยไปด้านหลังของขบวนเพื่อสั่งการ
ในเวลานี้ชีวิตของผู้อื่นไม่สำคัญอีกแล้ว ทุกชีวิตที่มีชีวิตอยู่อาจกลายเป็นซากศพที่แหลกสลายได้ในพริบตา เพราะนี่คือสงคราม
เมื่อระยะห่างระหว่างกองทัพทั้งสองเข้าใกล้มากขึ้น การยิงลูกศรของทั้งสองฝ่ายก็ค่อย ๆ อ่อนลงเช่นกัน สิ่งที่ตามมาคือการต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่เปื้อนเลือดยิ่งกว่าเดิม
ทหารทั้งสองฝ่ายยกง้าวขึ้นแล้วและจ้องมองไปที่ศัตรูตรงหน้าเพื่อมองหาคู่ต่อสู้ของพวกเขา
“ตายซะ !!”
ทหารจากทั้งสองฝั่งตะโกนออกมาดัง ๆ ก่อนที่พวกเขาจะถือหอกและง้าวไว้ในมือและเริ่มวิ่งไปข้างหน้า …ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกันก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง ด้วยทหารชาวเฟิงใช้ง้าวของพวกเขาแทงทะลุลำคอของศัตรู ในขณะที่ก็มีง้าวของศัตรูแทงทะลุอกของพวกเขาด้วยเช่นกัน
ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝั่งประมาณ 1 จั้ง แต่มันเต็มไปด้วยง้าวที่หนาแน่นแล้ว ทำให้ในเวลาไม่นานทหารหลายร้อยคนจากทั้งสองฝ่ายพากันล้มลงกับพื้น ไม่ว่าจากทั้งถูกแทกด้วยหอก หรือเพราะถูกเหยียบทับ
ในเวลานี้ลูกศรจากทั้งสองฝ่ายได้หยุดลงอย่างสมบูรณ์ และการต่อสู้ของกองหน้าก็ได้เริ่มขึ้น
ทหารที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาไม่ได้ล้มลงทีละคนอีกต่อไป แต่จะล้มลงเป็นแถว ฝ่ายของพวกเขาแทงทหารไปหนึ่งแถว และก่อนที่พวกเขาจะสามารถดึงง้าวกลับมาได้ พวกเขาก็จะถูกแทงจากทหารที่เข้ามาแทนที่พวกพ้องที่ตายไป และสังหารศัตรูต่อไปอย่างไม่กลัวเกรง
สนามรบกลายเป็นดั่งค้อนเหล็กที่บดขยี้ชีวิตของทหารทั้งสองฝ่าย
หน่วยจู่โจมเป็นส่วนสำคัญของกองทัพทั้งหมด และพวกเขาก็มักจะรวบรวมทหารที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ อย่างไรก็ตามหลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ ไม่ว่าชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ หน่วยจู่โจมมักจะเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น !!
ในขณะที่จำนวนทหารค่อย ๆ ลดน้อยลง กองกำลังหลักของกองทัพส่วนกลางก็ค่อย ๆ เข้าร่วมการรบ และนี่ก็คือการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างทั้งสองฝ่าย !!!
หลังจากพักไม่กี่เดือน พวกเขาก็ได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก ทำให้ในตอนนี้กองทัพอินทรีสวรรค์ไม่ได้อ่อนแออย่างที่เคยแล้ว !!!
แม้ว่าจำนวนของกองทัพหนิงจะมีน้อยกว่า และพวกเขาไม่เก่งในการต่อสู้ระยะประชิด แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะถอยได้แล้ว มีแต่ต้องตายที่นี่ หรือไม่ก็รอดชีวิตกลับไปยังบ้านเกิดเท่านั้น นอกนั้นไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก !!
การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายเรียกได้ว่าโศกนาฏกรรมและการนองเลือดอย่างแท้จริง ด้วยมันเป็นการต่อสู้ที่คนสองคนต่างใช้อาวุธของพวกเขาฟาดฟันกันอย่างบ้าคลั่ง
รูปแบบขบวนรบของกองทัพหนิงเป็นกลุ่มแรกที่ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง ทหารทั้งหมดหมื่นคนถูกทำลายล้าง ในท้ายที่สุดไม่มีทหารคนเดียวที่รอดชีวิต มันเป็นเรื่องยากที่จะพบศพที่สมบูรณ์
ในด้านของกองทัพเฟิง เมื่อพวกเขาทำลายขบวนรบของศัตรูได้ พวกเขาก็ถือว่าเสียหายไปไม่น้อย และเมื่อต้องรบอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ขบวนรบของพวกเขาก็เริ่มไม่อาจคงรูปร่างได้อีกต่อไปแล้ว !
เมื่อทั้งสองฝ่ายเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ฝ่ายหนึ่งก็มีแต่ถูกกวาดล้างไปโดยสิ้นเชิง ในขณะที่อีกฝ่ายก็ต้องสูญเสียกองกำลังไปมากกว่าครึ่งและถอยออกจากสนามรบ…
ในเวลานี้อาวุธของทหารในสนามรบไม่ใช่อาวุธง้าวอีกต่อไป แต่กลับใช้ทั้งหอก กระบี่ และอาวุธอื่น ๆ ที่สามารถสังหารได้ ทหารที่อยู่ด้านหน้าของทั้งสองฝ่ายชูโล่ขึ้นพร้อมกับโรมรันเข้าหาศัตรู ดาบในมือของพวกเขายกสูงขึ้นเหนือศีรษะ ขณะที่ฟัน แทงศัตรูตรงหน้า
ในการต่อสู้ที่แออัดเช่นนี้ไม่มีที่ว่างให้หลบหรือแม้แต่ปัดป้องการโจมตีของคู่ต่อสู้ ถ้าไม่อยากถูกฝ่ายตรงข้ามฆ่า มีแต่ที่จะต้องฆ่าเขาก่อน ทหารทั้งสองฝ่ายใช้กำลังทั้งหมดฟาดฟันด้วยอาวุธในมือ เสียงของอาวุธเหล็กกระทบกับโล่ดังขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง เช่นเดียวกับเสียงเกราะแตกและเสียงกระดูกหักดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทหารหลายคนที่เสียชีวิตไปแล้วไม่แม้แต่จะล้มลงได้ ศพของพวกเขากองสูง กลายเป็นโล่มนุษย์สำหรับผู้คนทั้งสองฝ่าย ทำให้ยากนักที่จะนับได้ว่าในสนามรบยังคงมีทหารยืนอยู่เท่าใดกัน ?
การบาดเจ็บของทั้งสองฝ่ายเกินกว่าที่จะประมาณได้ แต่ศพของทั้งสองฝ่ายเกลื่อนกลาดเต็มสนามรบแล้ว และไม่เพียงแค่นั้น เพราะชั้นดินสีเหลืองทั้งหมดในสนามรบก็สูญเสียสีเดิมไปนานแล้ว ด้วยมันถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือดของนักรบจากทั้งสองฝ่าย
อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่สิ้นสุดและจำนวนศพในสนามรบยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทหารทั้งสองฝ่ายถูกสังหารไปเรื่อย ๆ จิตใจของพวกเขาไม่มีความคิดอื่น ๆ อีกต่อไป ขณะที่พวกเขาจับอาวุธในมือราวกับศพคืนชีพที่ใช้มือแทง สับ ฟาดฟัน เพื่อเข่นฆ่าศัตรูตรงหน้า !!