ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 486
บทที่ 486
บทที่ 486
หลังจากฟังคำพูดของเสี่ยวมิน ถังหยินก็ทำหน้าขมขื่น ในฐานะเจ้าหญิงดูเหมือนนางสูงส่งและยิ่งใหญ่ แต่ในความเป็นจริง นางกลับเป็นเพียงนกน้อยในกรงเท่านั้น
ถังหยินเดินตามเสี่ยวมินเข้าไปจนถึงชั้นบนสุดของพระราชวัง ภูเขาเทียนจี้ไม่มียอดเขาและที่ด้านบนคือที่ราบขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิผู้ซึ่งเป็นถึงโอรสสวรรค์ จักรพรรดินี เจ้าชาย และเจ้าหญิงพำนักอยู่
ไม่มีขันทีในอาณาจักรเฮาเทียน คนในวังชั้นบนสุดนอกเหนือจากจักรพรรดิและเจ้าชายล้วนเป็นผู้คุมกฎ แม้แต่ทหารองครักษ์ชายก็ยังหายากมากที่จะเฝ้ายามอยู่ด้านนอก ส่วนผู้ที่ลาดตระเวนหรือเฝ้าวังต่าง ๆ นั้นส่วนใหญ่เป็นทหารองครักษ์หญิง
วังที่หยินโหรวประทับตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของชั้นบนสุด ตำหนักของนางมีขนาดใหญ่ และหรูหรากว่าตำหนักของนางสนมคนอื่น ๆ ลานภายในยังมีสวนภูเขาจำลองและทะเลสาบเทียมเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางลาน สภาพแวดล้อมทั้งสวยงามและเงียบสงบราวกับว่าอยู่ในแดนสวรรค์
หลังจากที่ถังหยินเข้ามา เขาก็ต้องตกใจกับทัศนียภาพที่เงียบสงบและสวยงามตรงหน้า บรรดาสาวใช้ในวังจะเดินผ่านเส้นทางหินกรวดเป็นครั้งคราว และเมื่อพวกเขาเห็นถังหยิน ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขาอย่างสงสัย ในความทรงจำของพวกเขา พวกเขาไม่ได้เห็นองครักษ์ชายคนไหนเคยเข้าไปในวังของเจ้าหญิงมาก่อน ยามนี้เมื่อเห็นถังหยิน พวกเขาจึงรู้สึกว่ามันแปลก
ถังหยินเมินเฉยต่อการจ้องมองของสาวใช้ในวัง ตอนนี้คนที่เขาต้องการเห็นมีเพียงคนเดียว นั่นก็คือหยินโหรว!
เมื่อสาวใช้ในวังเดินผ่านไป เสี่ยวมินก็หยุดนางไว้และถามว่า “เจ้าหญิงอยู่ที่ไหน?”
“อยู่ที่ห้องของพระองค์เจ้าค่ะ” นางกำนัลน้อยตอบอย่างเคารพ ในขณะเดียวกันนางก็เหลือบมองไปที่ถังหยิน
“ขอบใจมาก” เสี่ยวมินพยักหน้าและหันไปหาถังหยิน “ตามข้ามา”
เสี่ยวมินนำทางต่อ ถังหยินผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวเล็ก ๆ ตรงไปยังด้านในสุด ระหว่างทางถังหยินก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้และพืชต่าง ๆ เขากวาดสายตามองดอกไม้ริมทางและถามเบา ๆ ว่า “เสี่ยวมิน ดอกไม้พวกนั้น…”
เสี่ยวมินมองตามแล้วยิ้มเล็กน้อย “กล้วยไม้หัวใจสีม่วง! พวกมันถูกนำมาจากทางตะวันตก
“อ้อ!” ถังหยินตอบอย่างนุ่มนวล ขณะแอบจำชื่อของมันไว้ หากมีโอกาสไปทางตะวันตก เขาจะต้องหากล้วยไม้หัวใจสีม่วงกลับไปที่แคว้นเฟิงบ้างแล้ว
แต่เมื่อคิด ๆ ไปแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามันตลกสิ้นดี จึงทำเป็นลืม ๆ มันไป การนำกล้วยไม้หัวใจสีม่วงกลับไปยังแคว้นเฟิง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขากำลังหวังให้หยินโหรวกลับไปอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว ซึ่งตัวถังหยินเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่ามันเป็นไปไม่ได้…!
ขณะที่คิดเรื่องนี้ เขาก็เดินตามเสี่ยวมินไปที่ทางเข้าวัง แต่แล้วอยู่ดี ๆ อีกฝ่ายก็หยุดเดิน นางหันกลับมาพูดกับถังหยินเสียงต่ำ “รออยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปรายงานให้องค์หญิงทราบ”
“ได้!” ถังหยินหายใจเข้าลึก ระงับความตื่นเต้นในใจ
ไม่นานหลังจากที่เสี่ยวมินเข้าไป นางก็กลับออกมาและพูดกับถังหยินด้วยรอยยิ้ม “เข้ามาได้เลย!”
ถังหยินหยุดครู่หนึ่ง ปรับเกราะบนร่างกายของเขาแล้วเดินเข้าไปข้างใน
ภายในตำหนักไม่ได้ตื่นตาอย่างที่ถังหยินจินตนาการเอาไว้ แต่โทนสีส่วนใหญ่เป็นสีชมพูอันอบอุ่นและสว่างด้วยแสงธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังเหมาะกับวัยของหยินโหรวด้วย
ภายในใจกลางของห้องมีโต๊ะกลมตั้งอยู่ และที่โต๊ะก็ปรากฏหญิงสาวหน้าตางดงามผู้หนึ่งนั่งอยู่
นางเป็นหญิงสาวอายุเพียงสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี บนกายสวมใส่อาภรณ์สีชมพูดูสง่างาม ผมของนางถูกรวบสูง เผยให้เห็นใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลาราวกับหยก แก้มใสปราศจากแม้แต่รอยตำหนิเล็กน้อยให้เห็น นัยน์ตากลมโตราวกับหมู่ดาราที่สว่างไสวอยู่บนฟากฟ้าจนน่าหลงใหล นางดูสมบูรณ์แบบและไร้ที่ติราวกับนางฟ้านางสวรรค์ในภาพวาด
หญิงสาวผู้นี้คือเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเฮาเทียน ที่ถังหยินนึกถึงตลอดเวลา
เป็นหยินโหรว!
เมื่อคนทั้งสองได้สบตากันและกัน ดวงตากลมโตของนางพลันเปล่งประกายสดใสอย่างชัดเจน หลังเผลอเหยียดตรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
‘นางไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงดูงดงามและบริสุทธิ์เช่นเคยราวกับนางฟ้า…’
สายตาของถังหยินจับจ้องไปที่ใบหน้าของหยินโหรวอยู่ครึ่งหนึ่ง หัวใจของเขาเต้นระรัว ไม่อาจถอนสายตาไปจากตัวนางได้เลย
ไม่นานนัก ถังหยินก็คืนสติกลับมาแล้วหันมองเสี่ยวมินด้วยความสับสน จากนั้นจึงตอบสนองทำสิ่งที่ต้องทำ เขาเดินไปที่หยินโหรว… และคุกเข่าข้างหนึ่งพูดอย่างเคร่งขรึม “ฝ่าบาท…!”
ตำแหน่งทางการในปัจจุบันของถังหยินคือผู้ว่าเขต ต่อหน้าหยินโหรวแล้ว อย่างไรเขาก็ต้องรักษามารยาทไว้ก่อน
ในเวลานี้ใบหน้าของหยินโหรวดูสงบลง แต่ความตื่นเต้นในใจกลับไม่น้อยไปกว่าถังหยินเลย ไม่รู้ว่าทำไม… แต่นางรู้สึกเหมือนตนรู้จักถังหยินมานานแล้ว ในคราแรกนั้น พวกเขารู้จักกันเพียงไม่กี่วัน ทว่านับตั้งแต่ที่นางกลับมาที่พระราชวัง ภาพของถังหยินก็ดูจะชัดเจนมากยิ่งกว่าเดิม
ตอนนี้เมื่อได้เห็นเขาแล้ว นางเองพลันนึกย้อนไปถึงเวลาที่เขาปกป้องตนจากเหล่านักฆ่า
“ถัง…?” เมื่อหยินโหรวเปิดปาก น้ำเสียงสั่นเครือของนางกลับเผยให้เห็นอารมณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ จึงได้แต่รีบสงบสติอารมณ์และพูดอีกครั้ง “ลุกขึ้นเถิด ท่านถัง!”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!” เมื่อได้ยินเช่นนั้นถังหยินก็ลุกขึ้นยืน
เมื่อเห็นทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เสี่ยวมินพลันรู้สึกได้ทันทีว่านางไม่ควรจะอยู่ต่อที่นี่ นางกระแอมในลำคอและพูดกับองค์หญิงว่า “องค์หญิง ข้าจะรออยู่ด้านนอกนะเพคะ”
เมื่อเห็นหยินโหรวพยักหน้าเชิงอนุญาต เสี่ยวมินก็ส่งสัญญาณมือให้ทุกคนออกไปจากห้อง หลังจากนั้น นางก็มองไปยังทั้งสองคนและรีบถอยออกจากห้อง ปิดประตูจนแน่นสนิท
เมื่อไร้ซึ่งผู้คนถังหยินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ในเวลานี้เขาไม่ได้ซ่อนสีหน้าที่แท้จริงของเขาอีกต่อไป ดวงตาจ้องมองไปยังหยินโหรวตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง
ในแง่ของมารยาท มันหยาบคายมากที่ใช้สายตาเช่นนี้จ้องมองเจ้าหญิง และหยินโหรวก็เกลียดการที่คนอื่นมาจ้องมองแบบนี้ โดยเฉพาะกับผู้ชาย แต่น่าแปลกเมื่อเป็นถังหยิน นางกลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย กลับหวังว่าเขาจะจ้องมองนางไปอีกสักพัก
ความคิดนี้ทำให้หยินโหรวตกใจ และนางไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางโกรธตัวเองหรือถังหยิน คิ้วโค้งมนของนางจึงขมวดเหมือนดูสับสนแต่ไม่พอใจปะปนกัน ตอนแรกนางต้องการตำหนิถังหยินที่เขาหยาบคาย แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของนางกลับตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น
“เจ้า…มองอันใด” หลังจากพูดไปแบบนั้น ใบหน้าของหยินโหรวก็ขึ้นสีทันที
เมื่อได้ยินนางถาม ถังหยินก็ก้มมองนางมากกว่าเดิม แรกเริ่มทั้งสองก็อยู่ใกล้กันมากอยู่แล้ว และเมื่อเขาก้มหน้าลง ใบหน้าหล่อเหลานั้นก็เกือบจะสัมผัสกับใบหน้าของหยินโหรวแล้ว โชคดีที่นางได้รับการฝึกมารยาทอย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้น นางย่อมไม่มีท่าทางลนลานให้เห็นเพียงเพราะเขาทำเช่นนี้แน่นอน!
เมื่อเห็นใบหน้าของฝ่ายชายคลี่ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติในระยะใกล้ ๆ หยินโหรวก็ถอนหายใจออกมา ถังหยินไม่ใช่ผู้ชายที่หล่อที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา แต่เขากลับเป็นคนที่น่าดึงดูดที่สุดสำหรับนางอย่างไม่ต้องสงสัย หยินโหรวไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้หมายความว่าอะไร
“เจ้า…เป็นอย่างไรบ้าง” ถังหยินพูดอย่างแผ่วเบา
ในที่สุด เสียงของเขาก็ดึงสติของหยินโหรวกลับคืนมา ร่างกายของนางเอนตัวไปข้างหลังโดยสัญชาตญาณ เพิ่มระยะห่างระหว่างถังหยิน ตอนที่ถังหยินพูด ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขากลับคลอเคลียเข้ามาใกล้ใบหน้าของนาง ทำให้หัวใจของหยินโหรวเต้นโครมครามราวกับจะพุ่งออกมาจากอกให้ได้ ความเห่อร้อนที่ไม่อาจอธิบายได้พลันบังเกิดขึ้นในร่างกาย ทำเอานางรู้สึกอึดอัดระคนประหลาดใจไม่น้อย
เมื่อเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของหญิงสาว ถังหยินจึงถอยหลังออกมา และในเวลาเดียวกันก็กลับมาหยัดร่างกายยืนหลังตรง
การหลบเลี่ยงของนาง ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ ในใจ มือค่อย ๆ กำหมัดแน่นและถามอย่างแผ่วเบา “ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาทจะแต่งงานกับรัชทายาทแห่งแคว้นเจิ้นปีหน้า…จริงหรือไม่?”
คำพูดของถังหยินเปรียบเสมือนถังน้ำเย็นที่สาดใส่หยินโหรวจนกลายเป็นน้ำแข็ง นางก้มศีรษะลง ใบหน้าที่ราวกับแกะสลักด้วยหยกพลันไร้ซึ่งความรู้สึก นัยน์ตาเอ่อล้นไปด้วยความโศกเศร้าและอ้างว้าง นางพูดเบา ๆ ว่า “นี่เป็นการตัดสินใจขององค์จักรพรรดิ ในขณะที่พระองค์ยังอยู่”
หลังจากถังหยินได้ยินสิ่งนี้ ความไม่พอใจในใจของเขาก็หายไปทันที จากนั้นจึงถามออกมาว่า “แล้วใช่สิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่?”
หยินโหรวส่ายหัวและพูดเบา ๆ ว่า “ในฐานะขององค์หญิง ย่อมมีบางเรื่องที่ข้าต้องทำเพียงเพราะว่ามันคือหน้าที่”
แม้ว่าภายนอกนางจะดูแข็งแกร่งและเย็นชา แต่ถังหยินกลับสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอในหัวใจและการไม่ยอมรับต่อโชคชะตาของนาง แน่นอนว่า สิ่งนี้ทำให้หัวใจของถังหยินปวดร้าวมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น เขาก็เอื้อมมือออกไป ลูบไล้ใบหน้าของหยินโหรวอย่างอ่อนโยน ผิวของนางนุ่มนวลและเรียบเนียน ไร้ซึ่งสิ่งตำหนิ ให้ความรู้สึกว่านางสามารถแตกสลายได้หากสัมผัสอย่างรุนแรง หยินโหรวตกใจกับการกระทำของเขา ถังหยินจึงค่อย ๆ อธิบาย “คนคนเดียวที่เจ้าจะได้แต่งงานด้วยก็คือข้า…ผู้ใดคิดขวาง จะเป็นรัชทายาทหรือสวรรค์ หากพวกมันคิดพรากเจ้าไปจากข้า ย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
ถังหยินไม่เคยสนใจใครมากขนาดนี้มาก่อน และไม่เคยต้องการให้ใครสักคนมาอยู่เคียงข้างกายเช่นกัน ทว่าตั้งแต่ได้เห็นหยินโหรว ดวงตาของเขากลับลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงอันโกรธเกรี้ยว
ในเวลานี้ เขายินดีที่จะต่อสู้กับคนทั้งแคว้น…
หรือแม้กระทั่งโลกทั้งใบก็ตาม!