ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 103 แผนของหลวงพ่อ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 103 แผนของหลวงพ่อ
ตอนที่ 103 แผนของหลวงพ่อ
ท้องฟ้าถูกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ บดบังแสงส่วนใหญ่ ทำให้ความฝันซากปรักหักพังยังคงมืดหม่นคล้ายยามเย็น
ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน ตามองไปทางภูเขาสีเลือดพลางขยับแขนขา ตรวจสอบสภาพร่างกายของตนเอง
เมื่อเปรียบเทียบกับนักล่า ‘นักยั่วยุ’ มีการพัฒนาเล็กน้อยทั้งในด้านแรงกาย ปฏิกิริยา ความเร็ว และความคล่องตัว แต่ก็ไม่มากนัก
เด็กหนุ่มค้นพบการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ สามประการ
หนึ่ง ร่างกายแข็งแรงขึ้น ความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองดูมีประสิทธิภาพขึ้นมาก
สอง พลังวิญญาณพัฒนาขึ้นพอประมาณ ยกตัวอย่างเช่น สภาพที่เคยดำรงไว้ได้เพียงสามนาที ตอนนี้กลายเป็นสี่นาที
สาม ได้รับพลังวิเศษที่เรียกว่า ‘การยั่วยุ’
การยั่วยุกลายเป็น ‘ความสามารถติดตัว’ แล้วก็จริง แต่ถ้าอยากให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการก็ต้อง ‘เจตนายั่วยุ’ ควบคู่กัน
ท่อนแรกสื่อได้ว่า ลูเมี่ยนจะ ‘อ่านบรรยากาศ’ ได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในระดับที่เหนือกว่าคนทั่วไปมาก ชนิดที่มองออกทันทีว่าเป้าหมายอ่อนไหวต่อภาษา การกระทำ หรือเหตุการณ์ใดบ้าง และโมโหง่ายกับเรื่องใดบ้าง
ทุกการใช้ ‘การยั่วยุ’ โดยเจตนา ประสิทธิภาพจะถูกส่งเสริมโดย ‘คำพูดดูแคลน’ และ ‘ภาษากาย’ ที่ทำให้อีกฝ่ายเกิดความอับอาย จนกระทั่งเป้าหมายที่ฟังคำพูดรู้เรื่อง สูญสิ้นสติและเหตุผลไป
ยิ่งคำพูดดูแคลนและภาษากายที่ทำให้อับอาย มีความเฉพาะเจาะจงมากเพียงใด ‘การยั่วยุ’ ก็ยิ่งเกิดประสิทธิภาพ ลำพังการพูดว่า ‘แม่เย็*!’ ก็สามารถทำให้คนโกรธได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับเป้าหมายที่ไม่สามารถสื่อสารด้วยได้ ‘การยั่วยุ’ จะทำให้ลูเมี่ยนแผ่บรรยากาศที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเกลียดชัง
ความสามารถนี้สอดคล้องกับนักล่า ผู้ชำนาญการวางกับดักและซุ่มโจมตีอย่างยิ่ง แต่สำหรับลูเมี่ยนในปัจจุบัน มันยังไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่ากับที่เขาคาดหวัง
เด็กหนุ่มไม่มีเวลา ‘ล่า’ มากขนาดนั้น แต่ต้องเร่งมือสำรวจรอบๆ ภูเขาสีเลือดและพื้นที่ ‘กำแพงเมือง’ อย่างทะลุปรุโปร่ง เพื่อคลี่คลายความลับของความฝันซากปรักหักพัง
เมื่อเทียบกันแล้ว การเพิ่มขึ้นของพลังวิญญาณและความแข็งแกร่งของร่างกาย ทำให้เขารู้สึกยินดีปรีดายิ่งกว่า อย่างน้อยก็สามารถใช้เพื่อสำรวจ ‘อาณาเขตมืดสลัว’ ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้คนหลับใหล ได้ไกลกว่าเดิม
อาศัยพัฒนาการที่เพิ่มเข้ามาจากโอสถ ลูเมี่ยนยกมือขึ้นบีบขมับทั้งสองข้าง
คราวนี้เขาสามารถเปิดเนตรวิญญาณได้อย่างไหลลื่น
ในที่สุดก็ใช้ทางลัดเพื่อเปิด-ปิดเนตรวิญญาณได้เสียที
โดยไม่รอช้า หลังจากทำใจให้สงบลง ลูเมี่ยนเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย พกพาปรอทเสื่อมทราม ขวานเหล็กดำ ถุงผ้าบรรจุคุกกี้และชีส สะพายปืนล่าสัตว์ เดินออกจากอาคารสองชั้นครึ่งรวมใต้ดิน มุ่งหน้าเข้าไปในดินแดนที่ปกคลุมด้วยสายหมอกสีเทาอ่อน เดินผ่านทุ่งร้าง และเข้าไปในวงแหวนซากปรักหักพัง
เขาเดินตามเส้นทางที่คุ้นเคย หลีกเลี่ยงย่านที่อาจมีสัตว์ประหลาด บรรจงก้าวไปทีละก้าว
หลังจากเข้าไปลึกแถวๆ จุดที่เคยพบกับสัตว์ประหลาดสามหน้า ลูเมี่ยนเริ่มเต้นรำ ปลดปล่อยสัญลักษณ์ของหนามสีดำออกมา
อาศัย ‘เครื่องราง’ ชนิดนี้ เด็กหนุ่มแหวกผ่านสภาพแวดล้อมที่อันตรายขึ้นทุกขณะ ระหว่างทางก็ทำให้สัตว์ประหลาดที่น่าพรั่นพรึงหลบลี้หนีไปหลายตัว
จนกระทั่งมาถึงเขต ‘กำแพงเมือง’ ซึ่งประกอบกันจาก ‘บ้าน’ ผสานเข้าด้วยกันเป็นดงหนาม
ครุ่นคิดเพียงไม่กี่วินาที ลูเมี่ยนได้เลือกเส้นทางที่ดีที่สุด
เขาจะตรงเข้าไปในอาณาเขตที่คล้ายกับถูกครอบงำด้วยยามราตรี ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ง่วงเหงาหาวนอนทันทีที่ย่างกรายเข้าไป
สัญชาตญาณเด็กหนุ่มบ่งบอกว่า หลังกำแพงสูงที่ประกอบกันจากแมกไม้ต้องซุกซ่อนบางสิ่งที่สำคัญเอาไว้แน่ แต่ในอาณาเขตที่คล้ายกับถูกครอบงำด้วยยามราตรีนั้น อาจมีความลับของดินแดนความฝันซากปรักหักพังซ่อนอยู่
ต้องไม่ลืมว่า ‘ยามราตรี’ ‘การหลับใหล’ และ ‘ความฝัน’ ต่างก็เป็นคำในหมวดหมู่เดียวกัน
ผ่านไปสักพัก ลูเมี่ยนซึ่งแวะเต้นรำบวงสรวงอีกครั้ง เดินมาถึงละแวกที่ชัดเจนว่ามืดทึบกว่าบริเวณรอบข้าง
เด็กหนุ่มหายใจออกเชื่องช้า แล้วก้าวเข้าไปอย่างมั่นใจ
แทบจะในพริบตา ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนได้เดินทางจากกลางวันที่มีหมอกหนา มายังกลางคืนที่มีเมฆทึบปกคลุม สิ่งต่างๆ รอบตัวเหลือเพียงเค้าโครงแสงเงา
เขาถือปรอทเสื่อมทรามเดินย่ำเข้าไป ทันใดนั้นก็เริ่มหาววอด
“ไม่ได้… จะหลับไม่ได้เด็ดขาด!” ลูเมี่ยนฝืนยื้อยุดกับความง่วง ย่างกรายเดินต่อไป
ระหว่างทางก็คอยสังเกตห้องหับต่างๆ บน ‘กำแพงเมือง’ แต่ก็ไม่พบสิ่งที่ช่วยไขปริศนาของดินแดนความฝันซากปรักหักพัง
สำหรับเหรียญทองหรือของมีค่าอื่นๆ เด็กหนุ่มมิได้สนใจเลย
หลังจากเดินไปได้หลายสิบเมตร ลึกเข้าไปในอาณาเขตมืดสลัว ดวงตาของลูเมี่ยนเริ่มต้องพึ่งพาความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าเพื่อถ่างค้างไว้ ความง่วงนอนอันหนักหน่วงถาโถมเข้าใส่ไม่หยุดหย่อน
เด็กหนุ่มครุ่นคิดพิจารณาสักครู่ แล้วตัดสินใจถอยกลับไปก่อน เปลี่ยนไปสำรวจด้านหลังกำแพงแมกไม้ก่อน จึงค่อยหาทางเข้าอาณาเขตที่ทำให้ง่วงเหงาหาวนอนจากทิศอื่น
นั่นอาจช่วยให้เขาสำรวจได้ลึกกว่าเดิม ไปถึงจุดที่ปัจจุบันมิอาจกล้ำกราย
ลูเมี่ยนหันหลังกลับ เดินย้อนกลับยังทางเดิมไปหลายก้าว แต่ความรู้สึกง่วงไม่เพียงจะไม่เลือนหาย กลับยิ่งแย่ลงตามจำนวนก้าวเดิน
จนกระทั่งต้านทานไม่ไหวอีกต่อไป จำต้องปิดตาลงพร้อมกับหมดสติฉับพลัน
การมองเห็นของเขากลายเป็นสีดำสนิทอีกครั้ง
………
ลูเมี่ยนพลันรู้สึกปวดท้องอย่างรุนแรง จนทนไม่ไหวและต้องขดตัวงอ ระหว่างนั้นก็เลิกเปลือกตา
ภาพแรกในการมองเห็นประกอบไปด้วย จิตรกรรมฝาผนังอันหรูหราอลังการ โดมหลังคาเพดานทรงโค้ง ตามมาด้วยใบหน้าอันเคร่งขรึม รวมถึงจมูกงุ้มปลายเล็กๆ ของหลวงพ่ออธิการโบสถ์ สุดท้ายคือภาพของปงส์·เบเนต์ที่กำลังชักกำปั้นกลับด้วยรอยยิ้มมีลับลมคมใน
เราถูกจับมาที่โบสถ์…? ลูเมี่ยนไม่คุ้นเคยกับทิวทัศน์ด้านบนสักเท่าไร จึงเริ่มกวาดสายตาไปรอบข้างตามจิตใต้สำนึก
เขาเห็นพ่อของแรมงด์—ปิแยร์·เคร็กก์ เห็นพ่อของเอวา—กิโยม·ลีซิแยร์ เห็นเพื่อนบ้านลูอิส·เบย์เด็ค และเห็นเกือบทุกคนในหมู่บ้าน
เด็กหนุ่มยังเห็นว่าแท่นบูชาถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บนนั้นมิใช่ดอกทานตะวันอีกต่อไป หากแต่เป็นกานพลู ทิวลิป และอื่นๆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์ซ่อนเร้น
ด้านหลังแท่นบูชา ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันไม่อยู่แล้ว ถูกแทนที่ด้วย ‘วงกลมหนาม’ อันบิดเบี้ยว ซึ่งคล้ายกับมีของเหลวสีดำไหลเวียนอยู่
เมื่อเห็นสัญลักษณ์อันคุ้นเคยนี้ ลูเมี่ยนรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย พร้อมกับสัมผัสอุ่นๆ ที่หน้าอก
เด็กหนุ่มทราบดี อาการแบบนี้คือเครื่องบ่งชี้ว่า ‘มลพิษบนหน้าอก’ ถูกกระตุ้น แต่ยังไม่รุนแรงถึงขนาดจะทำให้สัญลักษณ์สีดำอมเขียวปรากฏออกมา
หลวงพ่อเล่นเปลี่ยนโบสถ์ให้เป็นแท่นบูชาขององค์ซ่อนเร้นแบบนี้เลยเรอะ? นักบุญซิธคงน้อยใจแย่เลย… ลูเมี่ยนเชื่อว่าหากวาเลนไทน์มาเห็นเข้า คงได้ระเบิดโทสะออกมาทันที
ในสภาพถูกมัดไว้แน่นหนา เขากวาดตามอง และพบว่ากระจกสีที่มีภาพวาด รวมถึงจิตรกรรมฝาผนังที่บรรยายถึงความยิ่งใหญ่ของสุริยันเจิดจรัส และการเผยแผ่ศาสนาของนักบุญซิธ ยังคงอยู่ในสภาพเดิมโดยไม่ได้รับผลกระทบ
ยังกับทำไปอย่างลวกๆ … ลูเมี่ยนเข้าใจภาพรวมของโบสถ์ได้พอสมควร
ยามนี้ชาวบ้านทุกคนเอาแต่เงียบ ไม่ต่างอะไรกับหุ่นจำลอง
หลวงพ่อสังเกตท่าทีของลูเมี่ยนอยู่สักพัก แล้วหันไปพูดกับปงส์·เบเนต์
“ทำไมถึงปล่อยให้มันหลับ?”
“เมื่อพากลับมาถึงโบสถ์ นายควรจะทำให้มันตื่นทันที ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม!”
“เข้าใจแล้วครับ” ปงส์·เบเนต์มองไปทางหลวงพ่อด้วยสายตาที่สุภาพนอบน้อมผิดวิสัย คล้ายกับว่านี่แหละคือผู้ปกครองหรือองค์เทพที่ตนศรัทธา
ลูเมี่ยนในท่าพิงเสา เงยหน้ามองกิโยม·เบเนต์พลางถาม
“โอลัวร์อยู่ไหน”
หลวงพ่อตอบยิ้มๆ
“อีกเดี๋ยวก็จะรู้เอง”
“แล้วสามคนต่างถิ่นล่ะ” ลูเมี่ยนกำลังขบคิดหาทางหนี พลางชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย
กิโยม·เบเนต์มองออกไปนอกกระจกสี พูดด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“พวกมันหนีไปแล้ว ตอนนี้คงไปถึงทุ่งหญ้าราบสูงใกล้ๆ …”
“แต่เลิกฝันไปได้เลย พวกมันไม่มาช่วยแกกับโอลัวร์ในคืนนี้หรอก… พวกคนของทางการน่ะ เท่าที่ฉันรู้จัก มักจะลงมือล่าช้า เอาแต่จดๆ จ้องๆ และรอให้สถานการณ์ชัดเจนก่อนค่อยลงมือ… บางครั้งก็ยอมไม่ทำอะไรเลยดีกว่าทำผิดพลาด ชีวิตของฉันเสียเวลาไปหลายสิบปีเพราะไอ้พวกเส็งเคร็งนี่”
ลูเมี่ยนยอมรับว่าคำพูดหลวงพ่อมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่สาเหตุแท้จริงที่พวกลีอารอคอย มิใช่ด้วยเหตุผลดังกล่าว
เด็กหนุ่มทราบดี ในระหว่างที่ยังไม่ชัดเจนว่าเหล่าสาวกเทพมารจับตนกับโอลัวร์มาอะไร พวกลีอาจะไม่รีบร้อนใช้วิธีการที่ส่งผลกระทบใหญ่หลวงเด็ดขาด เช่นการออกจากหมู่บ้านกอร์ตูเพื่อเริ่มต้นวัฏจักรใหม่
พวกเขาจะรอไปถึงคืนที่สิบสอง เฝ้าสังเกตว่าสิ่งใดคือต้นตอของปัญหา และวางรากฐานที่มั่นคงเพื่อให้แก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น
เมื่อเห็นลูเมี่ยนเงียบไป หลวงพ่อยิ้มกว้างกว่าเดิม
มันกล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายกำลังแจ้งข่าว
“ฉันจะประกอบพิธีกรรมให้เสร็จในคืนนี้เลย”
หา? ลูเมี่ยนพลันฉงน
กิโยม·เบเนต์รู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง พลางอธิบายด้วยความอดทน
“ฉันจะเลื่อนพิธีกรรมในวันที่ 9 เมษายนมาทำในคืนนี้แทน เพื่อไม่ให้สามคนต่างถิ่นนั่นมีโอกาสเข้ามาขัดขวาง”
อะไรนะ? พิธีกรรมคืนที่สิบสองสามารถเลื่อนให้เร็วขึ้นได้? ลูเมี่ยนรู้สึกตกใจ ประหลาดใจ และหวาดกลัวอย่างไร้เหตุผลจนพูดไม่ออก
หลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ หันไปพูดกับปงส์·เบเนต์
“ก่อนที่นายจะนำมันไปไว้บนแท่นบูชา คอยดูแลให้ดีล่ะ อย่าปล่อยให้หลับเด็ดขาด จะใช้วิธีไหนก็ได้ ตราบเท่าที่ไม่ถึงตาย”
ปงส์·เบเนต์ถามด้วยความคาดหวัง
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฆ่ามันตาย?”
“เราทุกคนก็จะตายไปด้วยกันยังไงล่ะ!” หลวงพ่อเหล่มองน้องชายที่ไม่ค่อยมีสมองนัก
พาเราขึ้นไปบนแท่นบูชา… เพื่อเริ่มประกอบพิธีอีกครั้ง? สัญลักษณ์สีดำอมเขียวจะทำงานอีกรอบไหมนะ… ลูเมี่ยนฟังบทสนทนาของพี่น้องเบเนต์ด้วยใจที่เริ่มสงบ
หลวงพ่อหันกลับมามองหน้าลูเมี่ยน พูดพลางโน้มตัวลงเล็กน้อย
“ไม่ต้องห่วง แกไม่ใช่ภาชนะ เรามีตัวเลือกที่ดีกว่านั้น”
ตัวเลือกที่ดีกว่า? ลูเมี่ยนเริ่มหวาดหวั่น จึงมองตามสายตาของหลวงพ่อที่เริ่มหันเห ไปยังตำแหน่งเดิมของแท่นบูชา
ตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ โอลัวร์ถูกมัดอยู่ที่นั่น เครื่องแต่งกายถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมยาวสีขาวเรียบง่าย ผมสีบลอนด์ปล่อยทิ้งอย่างไร้การจัดทรง นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนดูว่างเปล่าและไร้ชีวิตชีวา
“โอลัวร์!” ลูเมี่ยนตะโกนเรียก
โอลัวร์ทำตัวคล้ายกับรูปปั้น ไร้การตอบสนองใดๆ
หลวงพ่อจึงพยักหน้ายิ้มๆ
“ใช่แล้ว พี่สาวของแกคือภาชนะที่ดีกว่า”
“ประโยชน์เดียวของแก คือการช่วยให้พวกเราเลื่อนวันพิธีเข้ามาได้เร็วขึ้น ไม่ต้องรอจนถึงช่วงเวลาพิเศษนั้น ไม่ต้องรอการเปลี่ยนแปลงของราศีต่างๆ”
ลูเมี่ยนฟังอย่างหวาดกลัวปนสับสน
ตัวเราสามารถช่วยให้มันเลื่อนพิธีกรรมคืนที่สิบสองเข้ามาเร็วขึ้น?
หลวงพ่อโน้มตัวเข้ามาใกล้อีกครั้ง มองตาเข้าไปในตาเด็กหนุ่ม พลางยิ้มเยาะอย่างคาดหวัง
“เพราะพรส่วนใหญ่ที่เราเคยขอ… อยู่ในตัวแกหมดแล้วไง”
เป็นไปไม่ได้… มันรู้ได้ยังไง? ลูเมี่ยนพลันเบิกตากว้าง ราวกับอยากมองหน้ากิโยม·เบเนต์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
หลวงพ่อกิโยม·เบเนต์เลื่อนศีรษะมาข้างหน้าเล็กน้อย โน้มตัวเข้าใกล้ใบหูของลูเมี่ยน พลางหัวเราะเสียงเบา
“แกคงไม่ได้คิดหรอกใช่ไหม ว่ามีแค่ตัวเองกับปัวริสที่เก็บรักษาความทรงจำระหว่างวัฏจักรได้?”
……………………………………………………..