ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 106 เริ่มพิธี
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 106 เริ่มพิธี
ตอนที่ 106 เริ่มพิธี
แม้ลูเมี่ยนจะเห็นว่าชายในชุดคลุมสีดำมีใบหน้าเหมือนกับตน แต่ก็พบจุดแตกต่างเล็กน้อยในรายละเอียด
ส่วนลึกของนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนของอีกฝ่าย เจือแสงสีเงินผสมดำอยู่เบาบาง
ในส่วนของผิวหน้า ไม่แน่ใจว่าเป็นผลจากเงาฮู้ดหรือไม่ แต่ดูเข้มคล้ำกว่าเล็กน้อย
“แกเป็นใคร!” ลูเมี่ยนโพล่งขึ้นด้วยอาการตกตะลึง แต่เสียงคำรามถูกก้อนเศษผ้าสีดำในปากขวางกั้น ส่งออกมาได้เพียงเสียงอู้อี้อันคลุมเครือ
ชายในชุดคลุมสีดำอมยิ้ม แต่ไม่แนะนำตัวเอง เพียงหันหลังกลับและเดินไปหาหลวงพ่อ
ลูเมี่ยนพยายามไล่ตาม อยากรู้ให้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มาทำไม และเหตุใดตอนนั้นถึงไปอยู่ในห้องสุสานของจอมเวท
สิ่งนี้สำคัญกับเขามาก
จริงอยู่ เด็กหนุ่มประหลาดใจกับเรื่องที่หลวงพ่อสามารถรักษาความทรงจำข้ามวัฏจักร เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่ประเด็นนี้สามารถอธิบายได้ด้วยคุณลักษณะต่างๆ ของวัฏจักร ซึ่งไม่ได้ขัดแย้งในตัวเอง เพราะมีตัวอย่างที่ชัดเจนอย่างคุณนายปัวริสให้เห็น
แต่เรื่องของชายสวมชุดคลุมดำนั้น ทุกสิ่งกะทันหันเกินไป
มิได้บอกว่าลูเมี่ยนไม่เคยตระหนักถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย ตอนแอบสอดแนมห้องเก็บศพของจอมเวทก็ได้เห็นมาแล้ว นอกเหนือจากนกฮูกกับศพในโลง ยังมีอีกหนึ่งคนที่ต้องสงสัยว่าอาจอยู่เบื้องหลังความผิดปกติทั้งหมดในหมู่บ้านกอร์ตู
สิ่งที่กำลังทำให้เขาประหลาดใจ คือเรื่องที่อีกฝ่ายมีใบหน้าเหมือนตนอย่างยิ่ง ราวกับเป็นตัวเขาอีกคน
ประเด็นนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคุณลักษณะของวัฏจักรเวลา ลูเมี่ยนจึงไม่อาจทำใจยอมรับได้!
จะต้องมีบางสิ่งไม่ถูกต้องแน่! เด็กหนุ่มโน้มตัวไปข้างหน้า แต่ก็ถูกเชือกรั้งข้อเท้าไว้จนใบหน้าฟาดไปกับพื้นแท่นบูชา
เลือดกำเดาที่แข็งตัวแล้วกลับมาไหลอีกครั้ง บาดแผลสีแดงที่อักเสบจนม่วงคล้ำยิ่งดูโดดเด่นขึ้นมา
ลูเมี่ยนยังไม่ยอมแพ้แม้จะใช้มือกับเท้าไม่ได้ ยังพึ่งพาความยืดหยุ่นที่นักเต้นมอบให้ เลื้อยคลานไปหาชายในชุดคลุมดำด้วยการบิดซ้ายทีขวาทีเหมือนกับงู
หัวสมองเต็มไปด้วยความคิดที่คล้ายคลึงกัน:
ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าชายในชุดคลุมดำเป็นใคร และมาทำอะไรที่นี่!
อีกฝ่ายจะต้องเป็นภาพสะท้อนของแก่นแท้วัฏจักรอย่างแน่นอน หากไขปริศนาได้ ย่อมมีโอกาสใช้มันเพื่อหลุดพ้นจากวิกฤติตรงหน้า จนในที่สุดก็สามารถเยียวยาความผิดปกติทั่วทั้งหมู่บ้านกอร์ตู!
แหมะ แหมะ เลือดสดบนใบหน้าลูเมี่ยนหยดเลอะพื้น ผนวกกับการคลานของเขา เลือดที่เจิ่งนองจึงถูกถูไถจนเปรอะเปื้อนไปทุกที่ สร้างความยุ่งเหยิงพร้อมกับส่งกลิ่นคาว
เขาพยายามเข้าใกล้ชายในชุดคลุมดำ แต่ก็มิอาจเปล่งเสียงใดออกมา หนำซ้ำใบหน้ายังบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดเจือร้อนรน
ชายในชุดคลุมดำที่หน้าตาเหมือนลูเมี่ยน ก้มมองลงไปเพื่อพูดกับหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์
“มาเริ่มพิธีกันเถอะ”
“ขอรับ” กิโยม·เบเนต์หันไปกล่าวกับคนเลี้ยงแกะที่ยืนอยู่ริมแท่นบูชา “พาลูเมี่ยนไปที่แท่นบูชา”
ปิแยร์·แบรีเดินเข้ามา ช้อนใต้รักแร้ลูเมี่ยนทั้งสองข้างแล้วยกขึ้น
ไม่! ลูเมี่ยนดิ้นรนด้วยพละกำลังทั้งหมด ราวกับปลาที่กำลังดิ้นกระแด่วอยู่บนบก
มัน ‘ลื่น’ จนคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีเกือบทำหลุดมือ
แววตาอันอ่อนโยนหายไปจากใบหน้าปิแยร์ทันที แทนที่ด้วยความเกรี้ยวกราดและป่าเถื่อน
กำลังวังชาของคนเลี้ยงแกะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล รัดรึงร่างกายลูเมี่ยนอย่างแนบแน่น แล้วโยนขึ้นไปบนแท่นบูชา
จากนั้น ปิแยร์·แบรีมองหน้าเด็กหนุ่มพร้อมกับแสยะยิ้ม
“ถ้าฉันเป็นแก จะเลือกตายที่แท่นบูชาตรงนี้ มากกว่าการมีชีวิตอยู่จนถึงที่สุด”
“ฉันขอรับประกันว่า แล้วแกจะต้องเสียใจ”
นี่คือการเอาคืนจาก ‘การยั่วยุ’ ครั้งก่อน? เมื่อความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวลูเมี่ยน เขาเห็นโอลัวร์ในชุดคลุมสีขาวเรียบง่ายกำลังเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ
หญิงสาวหันหลังพิงแท่นบูชาที่เต็มไปด้วยกานพลูกับทิวลิป มองหน้าน้องชายด้วยสายตาว่างเปล่า
ชาวบ้านทุกคนในโบสถ์ทยอยเดินเข้ามาล้อมแท่นบูชาเป็นครึ่งวงกลม
หลวงพ่อนำเทียนไขสองเล่มออกมาวางในตำแหน่งของโอลัวร์กับลูเมี่ยนตามลำดับ
จากนั้น มันวางเทียนไขตรงฝ่าเท้าตัวเอง กลายเป็นสองอันวางสูงและหนึ่งอันวางต่ำอยู่บนแท่นบูชา
ผ่านไปไม่กี่วินาที หลวงพ่อใช้พลังวิญญาณจุดเทียนไขทั้งสามเล่มเรียงจากบนลงล่าง ซ้ายไปขวา
กลิ่นหอมอ่อนๆ แทรกซึมเข้ามาในนาสิกประสาทของลูเมี่ยน ส่งเด็กหนุ่มเข้าสู่ภวังค์ทันที มอบความรู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ได้
…………
ไรอัน ลีอา และวาเลนไทน์พากระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลอ่อนลอบเร้นมาถึงข้างๆ โบสถ์สุริยันเจิดจรัส
พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในร่มเงา มองผ่านกระจกสีเข้าไป และเห็นว่าแท่นบูชาขององค์สุริยันเจิดจรัสถูกปรับแต่งเป็นอย่างอื่น พวกเขาเห็นลูเมี่ยนถูกตรึงไว้ฝั่งซ้าย โอลัวร์ยืนอยู่ฝั่งขวา เห็นหลวงพ่ออธิการโบสถ์หันหน้าเข้าหาสองพี่น้อง โดยมีเทียนไขสีเทาวางอยู่ปลายเท้าตัวเอง ขนาบข้างซ้ายขวาด้วยชายสวมชุดคลุมดำปริศนากับปิแยร์·แบรี
ได้เห็นฉากตรงหน้า วาเลนไทน์กำหมัดแน่นทันที ในดวงตาคล้ายกับมีแสงสีทองสว่างวาบ
ลีอาชำเลืองมองจากด้านข้าง หวั่นเกรงว่าพวกพ้องจะโมโหจนสติแตก
โชคยังดี วาเลนไทน์เองก็เป็น ‘ผู้ชำระ’ คนหนึ่งซึ่งผ่านภารกิจมานับไม่ถ้วน ย่อมทราบดีว่าสิ่งใดควรไม่ควรทำในสถานการณ์เช่นนี้
ไรอันถอนสายตากลับ หรี่เสียงพูดกับทั้งสอง
“พวกเราจะอ้อมไปยังตำแหน่งที่ใกล้กับแท่นบูชา ทุบกระจกแล้วลงมือจู่โจม พยายามชิงตัวลูเมี่ยนกับโอลัวร์มาให้ได้ในหนึ่งนาที แล้วพาหนีกลับไปยังหมู่บ้าน”
“ถ้าทำตามเป้าไม่ได้ในหนึ่งนาที ให้ล้มเลิกภารกิจแล้วหนีไปทางแม่น้ำเพื่อกระตุ้นวัฏจักรใหม่”
“ตกลง” วาเลนไทน์กับลีอาตอบกลับอย่างขึงขัง คนหนึ่งพูด คนหนึ่งพยักหน้า
ไรอันเสริมต่อ
“วาเลนไทน์ คุณเตรียมใช้ ‘แสงแดด’ เอาไว้ด้วย พวกเรามีเวลาไม่มาก คงต้องใช้ 2-217 ในทันที”
“ไม่มีปัญหา” ระหว่างที่วาเลนไทน์ตอบ ลีอานำกล่องไม้ขีดไฟออกมา
เธอควบคุมกระดิ่งเงินใบเล็กบนหมวกผ้าคลุมหน้ากับรองเท้าบูตไม่ให้สั่น แล้ววิ่งวนรอบลานจัตุรัสหมู่บ้านกอร์ตูด้วยความเร็วสูง เพื่อโยนไม้ขีดไฟเอาไว้หลายๆ จุด
นี่คือการเตรียมทางหนีทีไล่
นักมายากลย่อมไม่แสดงกลโดยไม่เตรียมตัว
เมื่อลีอาจัดการเสร็จ นักสืบทางการทั้งสามบรรจงอ้อมไปอยู่ใต้กระจกสีฝั่งใกล้กับแท่นบูชา
วาเลนไทน์เงยหน้าพูดกับไรอัน
“พิธีใกล้จะเริ่มแล้ว ต้องเร่งมือหน่อย”
ไรอันที่กำลังสังเกตการณ์ภายในโบสถ์ พึมพำพลางขมวดคิ้ว
“พวกคุณสังเกตเห็นความผิดปกติกันไหม…”
ลีอากวาดตามองย้ำอีกรอบ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงรีบเร่ง
“ฉันไม่ได้ยินเสียงจากข้างในเลย!”
พวกเขาย้ายมายังจุดที่อยู่ห่างจากชาวบ้านที่ใกล้ที่สุดไม่ถึงสามเมตร แต่กลับไม่ได้ยินเสียงใดจากภายใน โดยที่ชาวบ้านเหล่านั้นกำลังพูดคุยอย่างออกอรรถรส!
ดวงตาไรอันแข็งค้างไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็เริ่มเอะใจ
เขาลุกขึ้นยืน ลองกระแทกกระจกสีตรงหน้าโดยไม่กลัวว่าจะถูกชาวลัทธินอกรีตด้านในพบเห็น
เกิดเสียง ‘ตึง’ ดังกึกก้อง แต่กระจกบางๆ กลับยังไร้รอยขีดข่วน โดยที่ชาวบ้านด้านในก็ดูจะไม่สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก
เมื่อไรอันควบแน่นเกราะรุ่งอรุณกับดาบแสงแรก ลีอาเดินวนเวียนอยู่รอบหน้าต่าง
คราวนี้กระดิ่งเงินใบเล็กไม่ยอมส่งเสียง ทั้งที่เธอยกเลิกการควบคุมพวกมันแล้ว
จากมุมมองของลีอา สิ่งนี้ควรถูกตีความว่า ‘ไม่มีอันตรายใดเลย’ แต่หากดูด้วยตาเปล่า สถานการณ์เช่นนี้จะไม่มีอันตรายได้อย่างไร?
ดังนั้น เธอเชื่อว่าคำตอบที่ถูกต้องก็คือ
อันตรายอย่างยิ่งยวด!
อันตรายเสียจนสมบัติปิดผนึกกระดิ่งเงินถูกแทรกแซงโดยสมบูรณ์ หรือไม่ก็หวาดกลัวที่จะตอบสนอง!
ตึง!
ดาบแสงแรกถูกฟันใส่กระจกสีเต็มแรง แต่ไม่สร้างผลลัพธ์ใดเลย ราวกับโบสถ์ทั้งหลังถูกคลุมด้วยพลังอันน่าพรั่นพรึงที่มองไม่เห็น โดยที่คนนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป
ลำแสงอันบริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปนที่ภายในเต็มไปด้วยเปลวไฟ เริ่มสาดลงมาจากฟากฟ้าเมื่อวาเลนไทน์กางแขนออก ทว่า มันมิได้ไปโผล่ในโบสถ์ตามความตั้งใจ แต่ส่องลงมาด้านนอกกระจกสีจนเกิดคลื่นกระเพื่อม
ราวกับด้านในถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
ไรอันคิดไวทำไว หันไปพูดกับวาเลนไทน์และลีอา
“ต้องลองใช้สมบัติปิดผนึกแล้ว ถ้ายังไม่ได้อีก คงต้องออกนอกเขตหมู่บ้านเพื่อเริ่มวัฏจักรใหม่”
ไรอันไม่รีบร้อนหนีออกนอกหมู่บ้าน แต่อยากลองช่วยลูเมี่ยนกับโอลัวร์ออกมาให้ได้ก่อน เพราะเขาเชื่อว่าหากพิธีกรรมเริ่มไปแล้ว อาจส่งผลกระทบทางใดทางหนึ่งกับวัฏจักร เมื่อถึงตอนนั้น ตนกับพวกพ้องอาจออกจากหมู่บ้านไม่ได้อีกเลย และเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ด้วย
วาเลนไทน์ไม่มัวประวิงเวลา รีบอัญเชิญเปลวไฟมายาสีทองออกมา
แกร๊กแกร๊ก ไรอันเปิดกระเป๋าเดินทางแล้วนำ ‘หุ่นฟางตานาโก’ ที่ตามร่างกายมีเนื้อหนังปกคลุมออกมา
เขานำใบหน้าของหุ่นฟางแนบลงบนกระจกสี แล้วคลายผ้าคาดตาสีดำออก
ใบหน้าของ ‘2-217’ พลันปรากฏดวงตาสองดวงคล้ายกับมนุษย์ ฝังอยู่ในมัดเส้นฟางสีน้ำตาลอมเขียว ปราศจากอารมณ์โดยสิ้นเชิง
สองตาของมันกลอกไปมาจนกระทั่งเห็นปงส์·เบเนต์ที่ยืนอยู่ริมขอบแท่นบูชา
วายร้ายรายนี้พลันยืนตัวแข็ง ไม่นานก็หันร่างกายเข้าหาหุ่นฟาง แล้ววิ่งตรงมาทางหน้าต่าง
ระหว่างกำลังวิ่ง ร่างกายของมันอันตรธานหายไปอย่างลึกลับ เสื้อผ้าตกลงพื้นคลุมทับรองเท้า
กลุ่มก้อนเลือดเนื้อที่ปิดด้วยหนัง โผล่ขึ้นตรงส่วนลำคอของหุ่นฟางตานาโก ผสานเข้ากับเส้นฟางด้านล่าง
“ได้ผล!” พวกไรอันยินดีปรีดาจากก้นบึ้ง
ผลลัพธ์นี้สามารถตีความได้ว่า โบสถ์หลังนี้มิได้ไร้เทียมทาน การคุ้มครองจากแท่นบูชามิได้สมบูรณ์แบบ!
…………
“ราศีกำลังจะเปลี่ยน!”
“ในที่สุดก็จะมาถึงแล้ว!”
“…”
ทั้งเสียงจ้อกแจ้กจอแจของชาวบ้าน ทั้งกลิ่นของอำพันสีเทา กานพลู มัสก์ และทิวลิปลอยที่ลอยฟุ้ง ทุกสิ่งดู ‘คุ้นเคย’ สำหรับลูเมี่ยนเหลือเกิน
อาศัยความอ่อนตัวของนักเต้น เด็กหนุ่มพยุงตัวขึ้นมานั่งได้แม้กำลังถูกมัด
วินาทีถัดมา เขาเห็นหลวงพ่อเปิดปากตะโกนเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“แด่องค์วัฏจักรแห่งชะตาผู้ยิ่งใหญ่!”
เมื่อนามนั้นถูกเอื้อนเอ่ย สภาพแวดล้อมภายในโบสถ์พลันมืดทึม ชาวบ้านทุกคนพากันเงียบสนิท
เปลวไฟสีส้มจากเทียนไขสามเล่มถูกบีบอัดจนเหลือขนาดเท่าเม็ดพริกไทย ซ้ำยังถูกย้อมกลายเป็นสีเงินผสมดำ
หัวสมองลูเมี่ยนพลันอื้ออึง หน้าอกสัมผัสถึงความร้อนรุ่มที่คุ้นเคย
การมองเห็นของเด็กหนุ่มสั่นสะเทือนอย่างแปลกประหลาด ทั้งหลังคาโดมระยิบระยับด้านบน ทั้งโอลัวร์ที่ยืนเหม่ออยู่ด้านข้าง ทั้งหลวงพ่อที่ยืนสำรวมอยู่ฝั่งตรงข้าม รวมถึงชายในชุดคลุมดำ ภาพทั้งหมดกำลังปรากฏอยู่ในการมองเห็นอย่างพร้อมเพรียง ในลักษณะซ้อนกันเป็นชั้นๆ
ศีรษะยังคงเจ็บปวดรวดร้าว เขารู้สึกเหมือนบางสิ่งกำลังถูกกระชากออกจากส่วนลึกของความทรงจำ ซึ่งมันคล้ายคลึงกับภาพตรงหน้าอย่างยิ่ง
‘ความคุ้นเคย’ ย้อนกลับมาเอ่อล้นในใจลูเมี่ยนอีกครั้ง โดยที่คราวนี้หนักแน่นหนักหน่วงกว่าที่ผ่านมาหลายสิบเท่า
ตึกตัก ตึกตัก!
เขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองกำลังเต้น
……………………………………………………..