ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 11 คุณนายปัวริส
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 11 คุณนายปัวริส
ตอนที่ 11 คุณนายปัวริส
ท้องฟ้าสีครามถูกแต่งแต้มด้วยเมฆสีขาว สายลมฤดูใบไม้ผลิหอบกลิ่นของพฤกษาพัดผ่านแก้มมนุษย์
ริมแม่น้ำใสสะอาด ห่านสีขาวโน้มศีรษะลงไปกินกอหญ้าเขียวชอุ่ม หญิงสาวในกระโปรงสีเทาอมขาว ถือไม้ด้ามยาวมองดูพวกมันอย่างใกล้ชิด
แสงอาทิตย์สีทองเผยให้เห็นไรขนอ่อนบนใบหน้าสตรี เรือนผมสีน้ำตาลที่ดูนุ่มนวลคาดผ้าสีขาวไว้ด้านบน ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซึ่งฉายความอ่อนเยาว์อย่างไม่อาจซุกซ่อน
หญิงสาวมองลูเมี่ยนที่นั่งใต้ต้นไม้ริมแม่น้ำ ปากเปล่งเสียงพลางขมวดคิ้ว
“ไหนจะคุยกันว่าตำนานใดสืบเสาะได้ง่ายกว่ากัน?”
“แล้วมันวกเข้าเรื่องรูปปั้นหินแกะสลักบนโบสถ์ได้ยังไง?”
หญิงสาวมีนามว่าเอวา ลูกสาวของช่างทำรองเท้ากิโยม·ลีซิแยร์ ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของหมู่บ้านเธอ เป็นเพียงส่วนน้อยที่สนิทกับลูเมี่ยนและแรมงด์
“พอดีมีเรื่องคิดไม่ตกอยู่น่ะ…” ลูเมี่ยนพูดแบบไม่ยกหัว ตายังคงจ้องห่านสีขาวและคลื่นกระเพื่อมบนผิวน้ำ
“คิดไม่ตกเหรอ?” แรมงด์ที่กำลังช่วยเอวาดูแลห่าน ถามอย่างสงสัย
ลูเมี่ยนตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“กับสัตว์ป่าที่หนังหนาจนอาวุธทำอะไรไม่ได้…เราควรจัดการมันยังไง?”
“ฉันหนีแน่นอนอยู่แล้ว บนภูเขามีสัตว์ป่าอยู่เพียบ ฆ่ามันไปก็ใช่ว่าภัยจะหมด” เอวาตอบโดยมองว่าคำถามไม่ได้ยากเย็นอะไร
ลูเมี่ยนตอบ ‘อืม’ ในลำคอ
“แล้วถ้าสัตว์ป่านั่นเป็นตัวหายากสุดๆ …จนพวกผู้ดีในเมืองอยากได้ถึงขนาดยอมจ่ายหนึ่งร้อยลูอิดอร์เพื่อซากมันล่ะ?”
“…หนึ่งร้อยลูอิดอร์ สองพันเฟลคิน…” จังหวะหายใจของแรมงด์เริ่มถี่
เขาไม่เคยเห็นและไม่เคยจับลูอิดอร์ จิตใต้สำนึกจึงเปลี่ยนเป็นสกุลเฟลคินโดยอัตโนมัติ
เงินขนาดนี้เอาไปเปิดธุรกิจเล็กๆ ที่ดาลีแอชได้สบาย ไยต้องทนเป็นคนเลี้ยงแกะต่อ?
เขารีบคิดรีบพูด
“ยืมปืนล่าสัตว์มาใช้?”
“คงยิงทะลุหนังของมันไม่ได้” ลูเมี่ยนรีบตีตกแนวคิด
แม้เอวาจะทราบว่าเหยื่อตัวดังกล่าวเป็นเพียงสมมติฐาน ไม่มีทางได้เงินมากขนาดนั้นจริง แต่เธอก็เข้าร่วมเสวนาอย่างอดไม่ได้
“มันแข็งแกร่ง? ดุร้าย?”
ลูเมี่ยนคิดสักพักแล้วจึงตอบ
“พอๆ กับฉัน”
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขายังไม่ยอมแพ้
“งั้นก็ไม่เท่าไร” แรมงด์โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก “กลับไปที่หมู่บ้าน รวบรวมคนมาล้อมจับ ทำให้มันอ่อนแรงแล้วค่อยเข้าไปจับมัด”
เขารู้ว่าลูเมี่ยนแข็งแกร่ง แต่ก็รู้จุดอ่อนเป็นอย่างดีเช่นกัน
“ถ้าทำแบบนั้น…นายคงได้แค่สิบลูอิดอร์หรือน้อยกว่านั้น” ลูเมี่ยนเตือนความจำ
“ฉันเคยเห็นพวกเขาล่าสัตว์…บางที เราควรขุดกับดัก ล่อให้มันตกลงไปจนขึ้นมาไม่ได้…” นัยน์ตาสีน้ำเงินทะเลสาบของเอวาค่อยๆ กลอกไปมาขณะจินตนาการตาม
“น่าสนใจ” ลูเมี่ยนผงกหัวเป็นนัยเห็นด้วย
เด็กหนุ่มทราบดี เอวากับแรมงด์มีประสบการณ์น้อย คงแนะนำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว จึงดึงบทสนทนากลับเข้าที่เข้าทาง
“คิดว่าตำนานไหนเหมาะที่จะเป็นเป้าหมายถัดไปของเรา?”
“ไม่มีอะไรเหมาะเลย” เอวาส่ายหน้า “ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกิดเมื่อหลายร้อยปีก่อน ก็คงเป็นเรื่องที่มีแค่คนคนเดียวเคยเห็น และคนคนนั้นตายไปนานแล้ว”
แรมงด์รับลูกต่อเอวา
“ใช่”
“ถ้าไม่ลองถามคนที่เกี่ยวข้อง แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไม่มีเบาะแส?” ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ “พวกนายยังขาดความมุมานะ พอเจออะไรยากๆ ก็จะหันหลังหนีทันที ถ้าไม่แก้ไขนิสัยนี้ล่ะก็ ชั่วชีวิตคงเป็นได้แค่สาวเลี้ยงห่านกับคนเลี้ยงแกะ”
ประโยคดังกล่าวกระตุ้นประกายความโกรธของทั้งเอวาและแรมงด์
ในแง่การปั่นประสาทชาวบ้าน ลูเมี่ยนยืนหนึ่งในหมู่บ้านอย่างไร้ข้อกังขา
เอวาโพล่งขึ้น
“ที่ฉันบอกว่าไม่มีอะไรเหมาะสมเลย เพราะมีเรื่องในใจอยู่แล้ว”
“อันไหน?” ลูเมี่ยนทำตาลุกวาว
เอวาเพิ่งมานึกเสียใจหลังจากพูดออกไป อันที่จริงเธอก็อยากคุยเรื่องนี้ เพียงแต่ไม่อยากเล่าให้ลูเมี่ยนกับแรมงด์ฟังง่ายๆ
เงียบไปสักพัก หญิงสาวจ้องหน้าลูเมี่ยน
“มีแม่มดตัวจริงอยู่ในหมู่บ้าน”
“ใคร?” ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบ
คงไม่ได้หมายถึงโอลัวร์หรอกใช่ไหม?
ถ้าแม้แต่เอวายังรู้ว่าโอลัวร์เป็นจอมเวท เขากับโอลัวร์ก็ต้องรีบหนีจากหมู่บ้านกอร์ตูไปอยู่ที่อื่น ไม่อย่างนั้นศาลของศาสนจักรอาจมา ‘เยี่ยม’ ถึงหน้าประตูบ้าน
เอวามองไปรอบๆ ตามจิตใต้สำนึก แล้วลดเสียงให้เบาลง
“คุณนายปัวริส”
ภรรยาของเจ้าหน้าที่ปกครอง ชู้รักของหลวงพ่อ คุณนายปัวริสคนนั้น? ลูเมี่ยนค่อนข้างไม่เชื่อ
“จริงหรือ?”
ถ้าคุณนายปัวริสเป็นแม่มดจริงๆ เหตุใดเธอถึงไม่ไหวตัวก่อนที่จะถูกเราจับได้คาหนังคาเขาขณะทำกิจกามกับหลวงพ่อ?
“ไม่มีทาง…?” แรมงด์ตกใจแรง
เอวายืนเขย่งเท้า ตาเหลือบมองไปยังทิศทางหมู่บ้าน
“ฉันก็ไม่แน่ใจ…ชาร์ลีที่เป็นบุรุษรับใช้ของเจ้าหน้าที่ปกครอง เคยเผลอหลุดปากบอกฉันมา”
“เขาบอกว่าคุณนายปัวริสเป็นล่ามวิญญาณที่สามารถคุยกับวิญญาณคนตาย ช่วยให้พวกเขาได้กลับบ้าน…และยังบอกด้วยว่า คุณนายปัวริสมีวิชาทำยาลับกับยันต์”
หลังจากตั้งใจฟัง ลูเมี่ยนยังคงไม่แน่ใจว่าเรื่องเล่านี้จริงหรือเท็จ
ในยุคที่นิตยสารอย่าง ‘สื่อวิญญาณ’ ‘ดอกบัว’ และ ‘ผ้าคลุมหน้าอำพราง’ สามารถตีพิมพ์ได้ มันก็คงไม่แปลกถ้าภรรยาของเจ้าหน้าที่ปกครองจะเคยเห็นศัพท์ผ่านๆ ตา แล้วสวมรอยหลอกคนรับใช้กับชาวบ้าน
“ไปฟ้องโบสถ์ดีไหม? ถ้าจำไม่ผิด เราต้องได้รางวัลก้อนโตเลยนี่?” แรมงด์ทั้งกลัวทั้งแอบหวัง
ลูเมี่ยนไตร่ตรองสักพักแล้วจึงกล่าว
“ถ้าบุรุษรับใช้ของเจ้าหน้าที่ปกครองรู้ว่าคุณนายปัวริสเป็นแม่มด ตัวเจ้าหน้าที่ปกครองก็ต้องรู้เหมือนกัน…”
“ใช่” เอวาเห็นด้วย
ลูเมี่ยนพูดต่อ
“ในเมื่อคุณนายปัวริสก็เป็นชู้รักของหลวงพ่อเช่นกัน ถ้าเราเอาไปฟ้องโบสถ์ รับรองว่าถูกส่งตัวไปที่บ้านเจ้าหน้าที่ปกครองแน่”
“อะไรนะ?”
“คุณนายปัวริสเป็นชู้รักของหลวงพ่อ?”
ทั้งเอวากับแรมงด์ต่างก็ตกใจ
“ฉันเห็นมากับตา” ลูเมี่ยนหัวเราะคิกคัก “เหยียบไว้ให้มิดล่ะ ห้ามไปบอกใครเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นวันดีคืนดี พวกนายได้หายตัวไปอย่างเป็นปริศนาแน่”
เอวากับแรมงด์ต่างก็รับปากด้วยใบหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
ทั้งสองกลัวหลวงพ่อมาก แถมเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันกับแม่มด
“ถ้ายืนยันได้จริงๆ ว่าคุณนายปัวริสเป็นแม่มด เราจะหาโอกาสไปที่ดาลีแอชเพื่อฟ้องท่านบิชอประหว่างทำมิสซาใหญ่” ลูเมี่ยนเสนอแนะเพื่อให้ทั้งสองเบาใจ
“อื้อ” แรมงด์ผงกหัวหนักแน่น
พวกเขาจะฟ้องลอยๆ ไม่ได้ เพราะหากคุณนายปัวริสถูกพิสูจน์ว่าไม่มีความผิด คนที่ซวยก็คือทั้งสาม
หลังจากถกกันเสร็จ ลูเมี่ยนไม่อยากอ้อยอิ่ง จึงยืนขึ้นแล้วพูดกับเอวาและแรมงด์
“พวกนายเลี้ยงห่านกันไปนะ”
“ตกลง” แรมงด์พลันตื่นเต้นเมื่อคิดว่าจะได้อยู่กับเอวาสองต่อสองไปอีกสักพัก
ในทางกลับกันนั้น เอวา ในทางกลับกัน ดูค่อนข้างไม่สบอารมณ์
…
เมื่อเข้าใกล้หมู่บ้านกอร์ตู ลูเมี่ยนเริ่มเก็บหาง ตาคอยระแวงทุกคนที่เข้ามาใกล้
เด็กหนุ่มกังวลว่าหลวงพ่อกับลิ่วล้อจะยังไม่รามือและรอดักกระทืบอยู่
เท่าที่สังเกต หลวงพ่อกิโยม·เบเนต์เป็นพวกไม่ลดราวาศอกง่ายๆ และคงมองหาโอกาสแก้แค้นจนกว่าจะสาแก่ใจ
ลอบเร้นเคลื่อนไหว ลูเมี่ยนตรงไปยังร้านเหล้าคร่ำครึ
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊ง
เขาหันไปมองและพบว่าบนทางแยกฝั่งซ้ายของถนน คนต่างถิ่นทั้งสามที่ประกอบด้วยไรอัน ลีอา และวาเลนไทน์ กำลังเดินไปหานาโรคากับเพื่อนๆ ที่นั่งจับเหาให้กัน
เสียงใสกังวานน่าฟังดังมาจากกระดิ่งสี่ลูกบนผ้าคลุมหน้าและรองเท้าของลีอา
ทั้งสามเตร่ไปรอบหมู่บ้าน คุยนั่นนี่กับชาวบ้าน ถามคำถามเรื่อยเปื่อยมาตลอดสองสามวัน เมื่อลูเมี่ยนอ่านเจตนาไม่ออก ความคาใจและหวาดระแวงจึงเริ่มผสมปนเป
หวนนึกไปถึงลานจัตุรัสโล่งๆ จากวันก่อน หวนนึกไปถึงคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีที่ลงทุนถ่อกลับมาร่วมเทศกาลมหาพรต เด็กหนุ่มเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี มีบางสิ่งบางอย่างไม่ชอบมาพากล
จะเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้าน? ลูเมี่ยนตัดสินใจแล้ว เขาจะกลับไปเล่าให้โอลัวร์ฟัง ปล่อยให้พี่สาวผู้รอบรู้และเฉลียวฉลาดเป็นคนตัดสินใจ
ไม่นานก็เลาะเข้ามาในร้านเหล้าคร่ำครึอย่างปลอดภัย และพบหญิงสาวที่มอบไพ่ทาโรต์ให้ตน กำลังนั่งกินอยู่ตรงมุมประจำ
ลูเมี่ยนเดินเข้าไปใกล้ ตาเหลือบมองจาน
“ไข่เจียวหมูสามชั้น?”
“ไม่เลี่ยนบ้างหรือไง”
ในเขตดาลีแอช ครอบครัวทั่วๆ ไปมักต้อนรับแขกพิเศษด้วยอาหารจานนี้ แต่ลูเมี่ยนคิดว่ามันเลี่ยนและเยิ้มเกินไป
หญิงสาวกัดไข่เจียวอย่างไม่รีบร้อน หลับตาลงแล้วลิ้มรสอยู่พักหนึ่ง
“อร่อยดี มีรสชาติของท้องถิ่น แถมยังกลิ่นดีมาก”
“ทำไมถึงกินมื้อกลางวันเร็วนัก?” ลูเมี่ยนนั่งลงฝั่งตรงข้ามหญิงสาว
สตรีปริศนาเจ้าของดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ดูอิดโรยนิดๆ พูดไปยิ้มไป
“นี่มื้อเช้า”
นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว…ลูเมี่ยนไม่กล้าพูดความคิดในหัว
เพียงมองไปรอบๆ ร้านเหล้าคร่ำครึแล้วหรี่เสียงพูด
“ฉันเห็นซากปรักหักพังในความฝัน…ได้เจอกับสัตว์ประหลาดมาด้วย”
“อาฮะ” เธอดูไม่แปลกใจ สีหน้าแววตาเจือร่องรอยความเพลิดเพลินที่ลูเมี่ยนเห็นแล้วไม่เข้าใจ
เด็กหนุ่มกลั่นกรองความคิดแล้วเล่าประสบการณ์ที่พบเจอมาอย่างละเอียด ก่อนจะปิดท้ายด้วย
“ฉันต้องจัดการกับเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นยังไง?”
หญิงสาวยิ้มพลางถามกลับ
“มันตายแล้ว หรือยังมีชีวิตล่ะ”
“ยังมีชีวิต ฉันฆ่ามันไม่ได้…” ลูเมี่ยนเว้นวรรค ชะงักคำตอบที่เปรยออกไปตามความเคยชิน
เด็กหนุ่มขะมักเขม้นครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วจึงพูดช้าๆ
“ฉันสัมผัสถึงลมหายใจของมันได้ จึงน่าจะยังมีชีวิตอยู่”
“ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ ก็ลองทำวิธีใหม่ไปเรื่อยๆ คราวหน้าลองตัดหัว ครั้งถัดไปลองราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผา ถัดไปอีกลองขุดหลุมฝัง ถึงตรงนี้อาจจะตายแล้วก็ได้?” หญิงสาวแนะนำแบบขอไปที พลางละเมียดละไมอาหารเช้า “ถ้าลองทำที่ว่ามาแล้วยังไม่ตายค่อยมาถามใหม่ ฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงของเธอ จะให้ตามช่วยเหลือเรื่องเล็กๆ ก็คงไม่ไหว ต้องหัดคิดหาทางออกด้วยตัวเอง”
ก็ดูเป็นมิตรดี…ลูเมี่ยนมิได้ท้อแท้หรือหมดกำลังใจ เพราะความนัยของอีกฝ่ายก็คือ หากเขาเผชิญหน้ากับอันตรายร้ายแรงจริงๆ เธอก็พร้อมยื่นมือช่วยเหลืออยู่บ้าง เพียงแต่สัตว์ประหลาดนั่นไม่มีค่าให้เอ่ยถึง
แต่ไอ้ ‘ไม่มีค่าให้เอ่ยถึง’ ของเธอ มันคือวิกฤติสำหรับฉัน…ลูเมี่ยนพลันปวดหัวเบาๆ
เด็กหนุ่มตัดสินใจลองทำตามคำแนะนำดูก่อน ลองตัดหัว ราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผา ตบท้ายด้วยฝังดิน เพื่อดูว่าจะได้ผลหรือไม่
…………………………………………………….