ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 111 ผู้ส่งสาร
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 111 ผู้ส่งสาร
ลูเมี่ยนถือโคมไฟคาร์ไบด์ เดินขึ้นบันไดหินชั้นแล้วชั้นเล่า
ไม่นานแสงสว่างก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า พร้อมกับเสียงผู้คนพลุกพล่าน
สำหรับคนที่เพิ่งเดินออกจากใต้ดินอันเงียบสงัด เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกลับมามีชีวิตชีวาใหม่อีกครั้ง
ลูเมี่ยนเร่งฝีเท้า และปรับวาล์วโคมไฟคาร์ไบด์ด้วยมือขวาข้างที่ถือกระเป๋าเดินทาง ยับยั้งมิให้หยดน้ำที่อยู่ในกระบอกด้านบน หยดใส่กองหินคาร์ไบด์ด้านล่าง
เมื่อก๊าซอะเซทิลีนถูกเผาไหม้จนหมด ไฟที่ปากแตรโลหะก็ค่อยๆ หรี่ลง
ขณะเดียวกัน ทัศนียภาพด้านนอกเริ่มปรากฏสู่สายตาของลูเมี่ยน
ทิวแถวอาคารสูงต่ำตั้งเรียงราย แต่ละหลังคล้ายกับถูกแช่แข็งในจังหวะที่ใกล้ถล่ม ยังคงยืนหยัดทรงตัวเอาไว้ได้ แม้จะเอนเอียงหรือดูสั่นคลอนไปบ้างก็ตาม
บนท้องถนน ผู้คนสวมเสื้อผ้าผุเก่า บ้างก็ขาดรุ่งริ่ง บางกลุ่มกำลังมีปากเสียงอย่างดุเดือด เสียงดังล้งเล้งราวกับไม่มีทางสงบลง
ลูเมี่ยนยืนอยู่ตรงปากทางออกอุโมงค์ใต้ดิน มองไปรอบตัว พบเห็นอาคารห้าชั้นที่มีชื่อว่า ‘โรงแรมระกาทอง’
เป็นอาคารสีน้ำตาลอมเหลืองสูงห้าชั้น สองชั้นบนสุดดูราวกับเพิ่งถูกต่อเติม ผิดกับชั้นล่างสามชั้นที่ตกแต่งด้วยต้นเสา ซุ้มโค้ง หน้าต่างบานใหญ่ และลวดลายประดับจากยุคโรซายล์ ดูเรียบง่ายราวกับถูกย้ายมาจากหมู่บ้านกอร์ตู
ลูเมี่ยนถือกระเป๋าเดินทางและโคมไฟคาร์ไบด์ เดินผ่านกลุ่มเด็กที่กำลังคุกเข่าหาเปลือกส้มบนพื้น เดินผ่านผู้ใหญ่ที่กำลังโต้เถียงหน้าดำหน้าแดง จนไปถึงประตูโรงแรมระกาทอง
เด็กหนุ่มเงยหน้ามอง พบว่าพื้นของโรงแรมสกปรกโสโครก มีคราบน้ำลายสีเหลือง มีเศษกระดาษขาดๆ เกลื่อนกลาด มีคราบซอสมะเขือเทศหก มีรอยเปื้อนที่ส่งกลิ่นคล้ายแอลกอฮอล์ บนเพดานกับผนังมีตัวเรือดเดินเรียงแถวผ่านไปผ่านมา
หากมิใช่เพราะว่าถือของอยู่ในมือ ลูเมี่ยนคงจะปรบมือให้กับฉากตรงหน้าดังๆ สักหลายๆ ครั้ง
ร้านเหล้าคร่ำครึของหมู่บ้านกอร์ตูยังสะอาดกว่าตั้งเยอะ!
เด็กหนุ่มมองหาเส้นทางที่สกปรกน้อยที่สุด เดินย่องแย่งไปยังแผนกต้อนรับด้วยฝีก้าวไม่ช้าไม่เร็ว
ที่นั่นมีหญิงวัยกลางคนร่างท้วมนั่งอยู่ สวมชุดกระโปรงยาวสีเทาขาวที่เปื้อนคราบมันหลายจุด เรือนผมสีน้ำตาลถักเรียบง่ายไว้ด้านหลังหัว
หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้น มองลูเมี่ยนด้วยนัยน์ตาสีน้ำเงิน ดูไม่แปลกใจกับท่าทีต่อต้านปนอคติที่เด็กหนุ่มแสดงออกมา
“บนถนนอลเวง ในย่านตลาด นี่คือโรงแรมที่ดีที่สุด ราคาถูกที่สุด แต่เจ้าของมีนิสัยน่ารังเกียจและขี้ตืด ไม่ยอมจ้างแม่บ้านอยู่ประจำ เพียงหาคนมาทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้ง”
“เขาก็ขี้ตืดค่าแรงคุณด้วย?” ลูเมี่ยนถามยอกย้อนด้วยน้ำเสียงของเด็กทะเล้นอยากรู้อยากเห็น
หญิงวัยกลางคนชักสีหน้าทันที
“มาเช่าห้องใช่ไหม?”
“ใช่” ลูเมี่ยนสะดุ้งไปบ้าง รีบพูดต่อเพื่อยืนยันเจตจำนง “คิดราคายังไง”
หญิงวัยกลางคนเริ่มคลายอารมณ์บึ้งตึง
“ขึ้นอยู่กับห้องที่จะเช่า สองชั้นบนสุดราคาสามเฟลคินต่อสัปดาห์ ถัดลงมาอีกสองชั้นราคาห้าเฟลคินต่อสัปดาห์ ถ้าคิดว่ายังแพงไป ลองไปไล่เคาะประตูแต่ละห้องดู ถามหาคนที่ยินดีแบ่งเตียงหรือให้เช่าพื้นห้องบางส่วน ราคาประมาณ 1 ถึง 1.5 เฟลคินต่อสัปดาห์”
“เอาเป็นห้องสองชั้นล่าง” ลูเมี่ยนเลือกด้วยเหตุผลที่ว่า ทั้งการกระโดดหน้าต่างและปีนบันไดหนี ต่างก็ทำได้สะดวกกว่าชั้นบนๆ
หญิงร่างท้วมจ้องมองลูเมี่ยนหัวจรดเท้า
“ถ้าคุณจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าเป็นรายเดือน ราคาจะเหลือแค่ 15 เฟลคินเท่านั้น”
“ทำไมถึงถูกกว่ากันขนาดนั้น?” ลูเมี่ยนแสดงออกชัดเจนว่าไม่เข้าใจ ประหนึ่งชาวนาบ้านนอกเพิ่งเคยเข้ากรุง
หญิงวัยกลางคนยิ้มเยาะ
“เพราะคนส่วนใหญ่พักแค่หนึ่งถึงสองสัปดาห์ก็ย้ายออกแล้ว หรือไม่ก็ออกจากเมืองทรีอาร์ไปเลย…”
“ที่นี่เป็นทั้งสวรรค์และนรก”
ลูเมี่ยนหยิบปึกธนบัตรออกมา ดึงธนบัตรสีฟ้าออกมาสามใบ
แต่ละใบมีมูลค่าห้าเฟลคิน ด้านหน้าเป็นภาพครึ่งตัวของประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐอินทิส—เลวองก์ พร้อมกับภาพชาวนาและสัตว์เลี้ยงกำลังทำงาน ส่วนด้านหลังเป็นภาพเทือกเขาโฮนาซิส
หลังจากได้รับค่าเช่าทั้งเดือน สีหน้าของหญิงร่างท้วมผ่อนคลายลงมาก ไม่นานก็โยนกุญแจทองเหลืองสองดอกที่ร้อยเข้าด้วยกันให้กับลูเมี่ยน
“ห้อง 207 ชั้น 2… ที่ชั้นหนึ่งมีร้านอาหารเล็กๆ ใต้ดินเป็นบาร์ ในลิ้นชักโต๊ะแต่ละห้องมีกำมะถันสำหรับไล่แมลง… ฉันชื่อเฟลล์ ถ้าติดปัญหาอะไรก็มาหาได้”
“ขอบคุณครับ คุณนายเฟลส์” ลูเมี่ยนรับกุญแจไว้ ถือกระเป๋าเดินทางกับโคมไฟคาร์ไบด์ เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง
ระหว่างทาง เด็กหนุ่มพบว่าหลายจุดบนผนังถูกปิดทับด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์หรือกระดาษสีชมพูถูกๆ ซ้อนกันหลายชั้น บางแผ่นเริ่มหลุดลอกจนเห็นรอยแตกร้าวและฝูงตัวเรือดที่ซ่อนอยู่
บนชั้นสองมีห้องพักแปดห้อง ห้องน้ำสองห้อง แต่ละห้องคับแคบ ฝั่งขวาของห้องเป็นเตียงนอน โต๊ะริมหน้าต่างถูกวางชิดกับเตียงและผนัง ใกล้กันเป็นเก้าอี้ที่ขาจะหักแหล่มิหักแหล่
นอกเหนือจากเครื่องเรือนเหล่านี้ ก็ไม่มีอะไรอีกเลยนอกจากตัวเรือดที่เดินสวนสนามบนเพดาน
อยู่กับโอลัวร์ที่สะอาดและเป็นระเบียบจนเคยชิน ลูเมี่ยนวางกระเป๋าเดินทางกับโคมไฟคาร์ไบด์ลงบนพื้น ดึงลิ้นชักโต๊ะออกมา แล้วหยิบกำมะถันออกมาจุดไฟเผา
กลิ่นกำมะถันฉุนๆ ทำให้ตัวเรือดพากันหนีออกจากห้อง อพยพย้ายไปถิ่นอื่น
ไม่กี่วินาทีถัดมา ลูเมี่ยนสูดลมหายใจเข้า ได้กลิ่นกำมะถันคล้ายๆ เดิมลอยมาจากห้องข้างๆ
พร้อมกันนั้น ตัวเรือดบางส่วนย้อนกลับเข้ามาในห้องเด็กหนุ่ม มองหาแหล่งพักพิงอันสงบสุข
ลูเมี่ยนลองคิดอยู่สักพัก ก็ค่อยๆ เข้าใจความเป็นไปของเรื่องราว
ตนใช้กำมะถันไล่ตัวเรือดไปห้องข้างๆ และผู้เช่าห้องดังกล่าวก็ใช้กำมะถันไล่มันกลับมา
ลูเมี่ยนหัวเราะเบาๆ อย่างอดไม่ได้ โน้มตัวลงเปิดกระเป๋าเดินทางแล้วหยิบกระดาษกับปากกาออกมา
ท่ามกลางกลิ่นกำมะถันเหม็นฉุน เด็กหนุ่มนั่งลงหน้าโต๊ะไม้แล้วเริ่มเขียนจดหมาย
“เรียนมาดามเมจิกเชี่ยน”
“ผมเดินทางมาถึงทรีอาร์ตามที่นัดหมายแล้ว บอกได้หรือยังว่าควรทำอะไรต่อ ต้องเข้าร่วมองค์กรใด และจะติดต่อกับพวกเขาอย่างไร…”
“วันนี้นักจิตวิทยาสองคนนั้นว่างไหม ผมจะได้รับการรักษาเมื่อไร?”
“เกี่ยวกับกิโยม·เบเนต์และคุณนายปัวริส ไม่ทราบว่าคุณพบเบาะแสใหม่หรือยัง…”
หลังจากเขียนจดหมายฉบับไม่ยาวนี้จบ ลูเมี่ยนนำเทียนสีส้มทองที่ได้จากห้องพี่สาวออกมา
เมื่อใช้พลังวิญญาณจุดเทียน กลิ่นหอมของส้มผสมลาเวนเดอร์ก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว
ลูเมี่ยนหลับตาลงโดยสัญชาตญาณ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสงบสำรวม
หลังจากยืนนิ่งราวๆ หนึ่งถึงสองนาที เด็กหนุ่มนำกริชเงินพิธีการออกมา ลงมือชำระล้าง สร้างกำแพงวิญญาณ แล้วหยดน้ำมันหอมระเหยลงบนเปลวเทียน
หลังจากเตรียมพิธีเสร็จ ลูเมี่ยนก็วางไพ่ ‘เดอะเมจิกเชี่ยน’ ลงบนแท่นบูชา
นี่คือสื่อกลางสำหรับอัญเชิญผู้ส่งสาร ช่วยให้คาถาที่มีเป้าหมายคลุมเครือแม่นยำและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
ลูเมี่ยนถอยกลับไปหนึ่งก้าว มองไปยังเปลวไฟสีส้มทองอันเลือนราง พลางอ่านคาถาด้วยเสียงหนักแน่นเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“ตัวข้า!”
สายลมล่องหนพัดหมุนวนภายในกำแพงวิญญาณ พร้อมกันกับแสงในห้องที่ค่อยๆ หม่นลง
ถัดมา ลูเมี่ยนเปลี่ยนไปพูดด้วยภาษาเฮอร์มิส
“ขออัญเชิญในนามของข้า”
“วิญญาณที่เตร็ดเตร่ในโลกมายา สิ่งมีชีวิตจากโลกเบื้องบนที่เป็นมิตรกับมนุษย์ ผู้ส่งสารของเดอะเมจิกเชี่ยนแต่เพียงผู้เดียว”
ท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิว เปลวเทียนเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอ่อน บรรยากาศโดยรอบกลายเป็นมืดสลัวเจือหนาวเหน็บ
ลูเมี่ยนจ้องเปลวเทียนอย่างตั้งใจ รอคอยให้ผู้ส่งสารของมาดามเมจิกเชี่ยนปรากฏตัว
เด็กหนุ่มรออยู่หลายวินาที แต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
จนกระทั่งจดหมายที่วางไว้บนแท่นบูชา รวมถึงโต๊ะไม้ ต่างก็ลอยขึ้นไปในอากาศ
ลูเมี่ยนเงยหน้าด้วยอารามตกใจ และเห็น ‘ตุ๊กตา’ ขนาดเท่าแขนชายฉกรรจ์นั่งอยู่บนกรอบหน้าต่างแกะสลัก
ตุ๊กตามีผมยาวสีบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าอ่อน ผิวขาวซีด สวมชุดกระโปรงยาวประณีตงดงาม ใบหน้าคล้ายกับคนจริง แต่ก็ดูเกินจริง ทั้งแปลกตาและน่าขนลุกขนพอง
วินาทีถัดมา จดหมายก็ร่อนลงบนมือของตุ๊กตา ผิวพรรณของฝ่ามือทั้งเรียบเนียนและเงางาม แต่ไม่มีความรู้สึกเหมือนผิวหนังจริง
“คุณคือผู้ส่งสารของมาดามเมจิกเชี่ยนใช่ไหม?” ลูเมี่ยนถามเพื่อยืนยัน
ตุ๊กตาบรรจงก้มหัวลง นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนที่ไร้ความแวววาว ไร้ชีวิตชีวา สะท้อนร่างของลูเมี่ยน
มันพูดด้วยเสียงล่องลอยปนโกรธขึ้ง
“คราวหน้าเปลี่ยนเป็นที่ที่สะอาดกว่านี้หน่อย!”
เมื่อเสียงพูดซาลง ตุ๊กตาก็อันตรธานหายไปพร้อมจดหมาย
ลูเมี่ยนยืนตะลึงงันราวๆ สองวินาที แล้วจึงพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“…ไหนโอลัวร์บอกว่าแค่แท่นบูชาสะอาดๆ ก็พอแล้วไง”
แทบจะในเวลาเดียวกัน เด็กหนุ่มเห็นซากตัวเรือดจำนวนมากนอนกองอยู่บนพื้น
ในห้องของเขาไม่เหลือแมลงที่มีชีวิตเลยสักตัว
“เจ๋งกว่ากำมะถันอีกไม่ใช่หรือไง…” ลูเมี่ยนลูบคาง พลางสิ้นสุดพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสาร
เด็กหนุ่มทำความสะอาดห้องตามนิสัย จากนั้นก็คุกเข่าลงข้างๆ กระเป๋าเดินทาง หยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดร่างกายออกมา
ก้นกระเป๋ามีสมุดบันทึกเวทมนตร์สีเข้มของโอลัวร์นอนนิ่งอยู่
ระหว่างทางไปทรีอาร์ ลูเมี่ยนลองพลิกอ่านคร่าวๆ ดูแล้ว แต่ไม่พบอะไรที่น่าสงสัย เพราะท้ายที่สุดแล้ว โอลัวร์ไม่ใช่คนที่ชอบเขียนไดอารีบันทึกเรื่องจุกจิก สมุดบันทึกเวทมนตร์ของเธอคือหนังสือศาสตร์เร้นลับที่เต็มไปด้วยคาถา ทั้งสัญลักษณ์ และการเลือกวัสดุ
อาจเพราะโอลัวร์ชอบจดบัญชี คาถาเหล่านี้จึงถูกบันทึกด้วยว่าได้มาตอนไหน จากที่ใด และแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใด
สมุดเล่มนี้ทำให้ลูเมี่ยนทราบว่า ‘สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก’ มีกลุ่มความสนใจย่อยอยู่หลายกลุ่ม โอลัวร์มักเข้าร่วมประชุมกับ ‘วิทยาลัย’ และได้รับคาถาจากสมาชิกของ ‘วิทยาลัย’ มาไม่น้อย ส่วนกลุ่มอื่นที่เข้าบ่อยๆ ก็อย่างเช่น กลุ่ม ‘วันเอพริลฟูล’ ที่คอยแลกเปลี่ยนคาถาต่างๆ และเปิดโลกศาสตร์เร้นลับ
เนื่องจากสมุดบันทึกดูไม่มีปัญหา ตอนนี้ลูเมี่ยนทำได้แค่รักษากับนักจิตวิทยาไปก่อน พลางสืบค้นความจริงโดยการตามหาตัวหลวงพ่อกับปัวริส
แน่นอน เด็กหนุ่มทราบดี ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต โอลัวร์ไม่มีทางเอ่ยถึงสมุดบันทึกลอยๆ แน่ มันต้องซุกซ่อนข้อความสำคัญที่เธออยากส่งต่อ
มองไปยังสมุดบันทึกเล่มสีเข้ม ลูเมี่ยนตัดสินใจเริ่มศึกษาสิ่งที่พี่สาวบันทึกไว้ตั้งแต่คืนนี้เลย โดยเริ่มจากหน้าสุดท้ายไปยังหน้าแรก
จริงอยู่ สำหรับ ‘นักล่า’ แล้ว ถึงตนจะศึกษาคาถาอาคมอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็คงนำไปใช้ในการต่อสู้จริงได้ยาก แต่อย่างน้อยการอ่านก็ช่วยให้เขาระบุได้ว่า ‘ภูมิปัญญาศาสตร์เร้นลับ’ ที่ถูกบันทึกไว้ถูกต้องหรือไม่ มีความผิดปกติบ้างหรือไม่
จัดของในกระเป๋าเสร็จ ลูเมี่ยนได้ยินเสียงท้องไส้ร้องคำราม
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน มองไปทางหน้าต่าง แลเห็นภาพสะท้อนของตัวเองบนกระจกที่มืดสลัวในยามพลบค่ำ
เส้นผมถูกย้อมทอง ยาวขึ้นจากแต่ก่อนเล็กน้อย ใบหน้าแทบไม่เคยผ่านเครื่องประทินผิว เมื่อจับคู่กับเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีดำ เสื้อนอกสุภาพสีเข้ม แววตาเย็นชาเฉยเมย เขาดูโตขึ้นหลายปี ต่อให้เจอกับอธิการโบสถ์กิโยม·เบเนต์ตอนนี้ เกรงว่าอีกฝ่ายก็คงทำได้แค่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา
ลูเมี่ยนตบหน้าเบาๆ พลางบรรจงปั้นยิ้ม จากนั้นก็เปิดประตูห้องเดินออกไป
…………………………………………………….