ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 12 คลื่นใต้น้ำ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 12 คลื่นใต้น้ำ
ตอนที่ 12 คลื่นใต้น้ำ
หลังออกจากร้านเหล้าคร่ำครึ ลูเมี่ยนทำตัวลับๆ ล่อๆ อีกครั้ง
ในสภาพดังกล่าว เด็กหนุ่มย่องเข้าใกล้ถนนที่ใช้กลับบ้านเป็นประจำ
และไม่ผิดจากที่คาด เขาเห็นหนึ่งในลิ่วล้อของปงส์·เบเนต์ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้เขียวข้างถนน คอยจับตาทุกคนที่เดินผ่านไปมา
หลวงพ่อคงไม่หยุดถ้าไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ…ลูเมี่ยนถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
และเหนือสิ่งอื่นใด ตนยังไม่มีวิธีแก้เผ็ดเจ๋งๆ
แง่หนึ่งก็เพราะความอ่อนหัดของตัวเอง แต่อีกแง่หนึ่งก็คือ หากเกิดอะไรขึ้นกับบาทหลวงประจำโบสถ์ ศาสนจักรสุริยันเจิดจรัสมุขมณฑลดาลีแอชจะต้องตื่นตัวแน่ เริ่มจากการส่งคนของศาลมาสืบ ซึ่งนั่นจะเพิ่มความเสี่ยงให้โอลัวร์
เว้นเสียแต่จะถูกต้อนให้จนมุม จนต้องทิ้งหมู่บ้านกอร์ตูไปอยู่ที่อื่น ตอนนี้ลูเมี่ยนทำได้เพียงคอยสะสมเรื่องฉาวโฉ่ของหลวงพ่อ โดยหวังว่าในสักวัน การเปิดโปงความลับจะทำให้บาทหลวงอธิการโบสถ์ถูกย้ายไป ‘เกษียณอายุ’ ที่อารามใหญ่
มิหนำซ้ำ การเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวต้องใช้ฝีมือ เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้เคยชักนำคนต่างถิ่นเข้าไปดูการเสพสวาทของคุณนายปัวริสกับหลวงพ่อ
ลูเมี่ยนเลื่อนการแฉออกไป เนื่องจากไม่อยากพาตัวเองไปอยู่ที่แจ้ง
จากการสังเกตของเขา เจ้าหน้าที่ปกครองและผู้พิพากษาเขตที่ชื่อบีโอสเป็นพวกไม่ชอบเสียหน้า หากลูเมี่ยนแฉเรื่องอื้อฉาวของคุณนายปัวริส นอกจากบีโอสจะไม่ซาบซึ้ง ยังจะแยกเขี้ยวอย่างโกรธแค้นเสียด้วยซ้ำ
หากถูกจ้องเล่นงานจากทั้งหลวงพ่อและเจ้าหน้าที่ปกครองพร้อมกัน ทางเลือกเดียวของลูเมี่ยนคงเป็นการย้ายหนีออกจากหมู่บ้าน
ด้วยความระมัดระวัง เด็กหนุ่มอ้อมไปยังเส้นทางอื่นที่คั่นกลางระหว่างบ้านสองสามหลัง
ตลอดทาง ลูเมี่ยนอาศัยกำแพง ประตู และต้นไม้เพื่อซ่อนตัว จนกระทั่งเข้าใกล้ ‘ทางออก’ เขาได้ยินเสียงคนคุยกัน
“กิโยม ทำไมเราไม่ไปบ้านโอลัวร์ตอนกลางคืนแล้วจับเด็กนั่นมาซะล่ะ? มัวรอดักซุ่มทั้งวันก็ไม่เป็นอันทำอะไรพอดี มันเจ้าเล่ห์ยังกับหมาป่าบนภูเขา” น้ำเสียงถ่อยๆ ของปงส์·เบเนต์ดังมาถึงหูลูเมี่ยน “ฉันรู้ว่าโอลัวร์ต่อยตีเก่ง แต่เรามีคนเยอะกว่ามาก แถมยังเรียกกำลังเสริมจากในเมืองได้ด้วย”
กิโยม…หลวงพ่อก็อยู่ที่นี่ด้วยสินะ…ลูเมี่ยนหยุดฝีเท้าทันที รีบซ่อนตัวตรงมุมกำแพง เพราะอยากฟังคำตอบจากปากอธิการโบสถ์ เพื่อเตรียมตัวรับมืออย่างเหมาะสม
กิโยม·เบเนต์ตอบด้วยเสียงที่แฝงความน่าดึงดูด
“นายคิดว่าโอลัวร์มีดีแค่เท่าที่เห็นหรือไง”
“เธอคงมีพลังวิเศษที่แม้แต่ฉันคนนี้ก็ปรารถนา”
“อะ…!” ปงส์·เบเนต์ส่งเสียงประหลาดใจ “เธอเป็นแม่มด? กิโยม ทำไมนายไม่ไปที่ดาลีแอชแล้วพาคนจากศาลมาจับ? ถ้านังนั่นเป็นแม่มดตัวจริง นายจะได้รางวัลก้อนโตจากศาสนจักร! แถมยังจะได้พลังวิเศษที่โหยหามานานด้วย”
“เจ้าโง่” กิโยม·เบเนต์ตะคอกใส่น้องชาย “ดูสถานการณ์ในหมู่บ้านไม่ออกหรือไง? คนของศาลจมูกดียังกับสุนัข พวกมันไม่ละเลยความผิดปกติทุกรูปแบบแน่ ซึ่งนั่นจะกลายเป็นปัญหา”
“ต่อให้โอลัวร์คิดจะท้าทายเรา ฉันก็ยังมีวิธีอื่น…ไม่ว่ายังไงก็ห้ามให้ล่วงรู้ไปถึงหูของศาลเด็ดขาด เว้นแต่เราจะเข้าตาจนจริงๆ”
สรุปแล้ว…สถานการณ์หมู่บ้านมันเป็นยังไง? ลูเมี่ยนทั้งกังวลและอยากรู้
ผนวกบทสนทนานี้เข้ากับความผิดปกติที่เคยสังเกตเห็น เด็กหนุ่มเชื่อว่าสิ่งเลวร้ายกำลังตั้งเค้าอยู่ภายในหมู่บ้าน เฉกเช่นคลื่นวารีอันเชี่ยวกรากใต้ผิวน้ำสงบนิ่ง
แต่ก็ต้องผิดหวัง ปงส์·เบเนต์ไม่ต่อความยาวสาวความยืด เพียงเปลี่ยนประเด็นพูดคุย
“นายคิดจะรับมือกับแม่มดยังไง”
“ไม่จำเป็นต้องรู้” อธิการโบสถ์กิโยม·เบเนต์กล่าวเสียงขึงขัง “ตอนนี้เราพักเรื่องลูเมี่ยนไว้ก่อนก็ได้ แต่ฉากหน้าต้องทำประหนึ่งว่ายังไม่รามือ ห้ามมิให้ใครสงสัยในเจตนาแก้แค้นของฉันเด็ดขาด เพราะนั่นอาจทำให้พวกคนต่างถิ่นจับประเด็นบางอย่างได้ จนทุกอย่างพังพินาศ…ที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือ คอยตักเตือนพวกที่มีส่วนเกี่ยวข้อง สร้างความกลัวให้ชาวบ้านที่ระแคะระคาย ป้องกันมิให้พวกมันแพร่งพรายเรื่องใดๆ แก่คนต่างถิ่น”
“กิโยม นายกำลังจะบอกว่า คนนอกมาที่นี่เพื่อสืบเรื่องนั้น?” น้ำเสียงปงส์·เบเนต์แฝงความกลัวเจือกังวล
ดูทำเข้าสิ…มีแต่กล้ามเนื้อ สมองกลวงโบ๋…ไม่สุขุมเยือกเย็นเหมือนพี่ชายที่เกิดมาพร้อมภาวะผู้นำ…ลูเมี่ยนแอบเหน็บแนมปงส์·เบเนต์
แม้เขาจะเกลียดหลวงพ่อ โดยมองว่าเป็นคนหยาบช้า ถ่อย และโลภมาก ขัดกับภาพจำของนักบวชโดยสิ้นเชิง แต่ลูเมี่ยนก็ต้องยอมรับว่า ในพื้นเพชนบทเช่นนี้ ความห่าม ก้าวร้าว และตรงไปตรงมาจะทำให้ผู้คนยำเกรงได้มากกว่า เมื่อผนวกกับสถานะทางสังคม อำนาจ ความมั่งคั่ง ความเลือดเย็น ไหวพริบที่พอใช้ และคารมคมคาย ลูเมี่ยนจำใจต้องยอมรับว่า ชายคนนี้มีเสน่ห์ดึงดูดบางอย่าง ง่ายต่อการทำให้คนรอบข้างชื่นชมและอยากพึ่งพา
กิโยม·เบเนต์แสยะยิ้ม
“ไม่ต้องกังวลไป ตราบเท่าที่พวกคนต่างถิ่นไม่มีหลักฐานเด็ด ฉันจะยังได้เป็นหลวงพ่อแห่งหมู่บ้านกอร์ตูต่อไป”
“ปงส์ จำเอาไว้นะ…การปกครองน่ะ จะพึ่งพาแค่การข่มขู่ ความกลัว และการกดขี่ไม่ได้ นายจะไม่มีวันได้พบเจอสันติสุขหรือผลลัพธ์ที่ต้องการ…คิดว่าศาสนจักรอยากปกครองเหนือซากปรักหักพังที่ไม่จ่ายภาษีหรือ? ในเมื่อเราฆ่าผู้ใหญ่ทุกคนไม่ได้ ก็ต้องสร้างมิตร สร้างผู้ติดตาม โดยแลกกับการคุ้มครองพวกมันในระดับหนึ่ง”
“ที่ศาสนจักรปล่อยให้เราดูแลที่นี่แทนการแต่งตั้งคนนอก เพราะเราคือคนท้องถิ่นยังไงล่ะ พวกเรามีญาติพี่น้อง เพื่อน ผู้ติดตามที่ช่วยให้ปกครองหมู่บ้านได้โดยไม่สร้างความวุ่นวาย ดังนั้น ตราบเท่าที่ยังไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรม เบื้องบนย่อมเลือกที่จะเชื่อใจฉันต่อไป”
“เอาล่ะ ฉันจะกลับโบสถ์แล้ว”
ฟังดูสมเหตุสมผลและชวนให้คล้อยตามอย่างยิ่ง แต่วิสัยทัศน์และการรับรู้ของหลวงพ่อยังถูกจำกัดอยู่แค่ในเขตดาลีแอช…ลูเมี่ยนยังจำเรื่องที่โอลัวร์เคยเล่าให้ฟังได้ หากต้องเผชิญหน้ากับหมู่บ้านที่ถูกเทพมารกัดกร่อนอย่างหนัก สิ่งที่ศาสนจักรจะทำก็คือ ‘กวาดล้างอย่างราบคาบ’ คนที่ตายจะมิใช่แค่ผู้ใหญ่ แต่รวมถึงลูกเล็กเด็กแดงในหมู่บ้าน ลูเมี่ยนเกือบจะ ‘คล้อยตาม’ คำพูดกิโยม·เบเนต์ แต่โชคยังดี โอลัวร์เคยเล่าวีรกรรมอันน่าพรั่นพรึงของศาสนจักรสุริยันเจิดจรัสกับเทพจักรกลไอน้ำให้ฟัง
หลังจากกลุ่มของหลวงพ่อกลับไป ลูเมี่ยนเปลี่ยนเส้นทาง จนกระทั่งกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
ข้างๆ เตาอบ โอลัวร์ในผ้ากันเปื้อนสีขาวกำลังง่วนอยู่กับบางสิ่ง
“ทำอะไรอยู่” ลูเมี่ยนถามอย่างใคร่รู้
ยังเหลืออีกนานกว่าจะถึงมื้อกลางวัน มากกว่าสองชั่วโมงด้วยซ้ำ
โอลัวร์ทัดปอยผมสีบลอนด์ไว้หลังใบหูพลางกล่าวยิ้มๆ
“กำลังจะลองทำโทสต์ (ขนมปังปิ้ง) รสใหม่น่ะ โทสต์แป้งข้าว”
“ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนี้เลย…” ลูเมี่ยนพลันซาบซึ้งใจ
เขาคิดว่าโอลัวร์ทำไปเพราะอยากให้ตนได้กินของดีๆ
โอลัวร์หลุดขำ
“คิดไปถึงไหนน่ะ? อย่าหลงตัวเองนักเลย!”
“แล้วทำไมไม่ออกไปข้างนอกล่ะ? ข้างนอกสนุกกว่าตั้งเยอะ” ลูเมี่ยนเชื่อว่า ที่โอลัวร์เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน เพราะกลัวภัยอันตรายจากการเป็น ‘จอมเวท’
โอลัวร์หันมาจ้องเด็กหนุ่ม
“ดื่มเหล้ากับเล่นไพ่?”
“จำเอาไว้นะ ฉันคือโลกของฉันเอง ไม่เคยคิดไขว่คว้าความสุขจากภายนอก!”
ลูเมี่ยนเข้าใจครึ่งแรก แต่ที่เหลือฟังแล้วค่อนข้างฉงน
“หา…?”
“ช่วยอธิบายความหมายด้วยสิ”
โอลัวร์เหล่ด้วยหางตา
“ถ้าจะให้สรุปก็คือ พี่สาวของนายเป็นโรคกลัวการเข้าสังคมแทบจะตลอดเวลายังไงล่ะ!”
“แทบจะตลอดเวลา?” ลูเมี่ยนถามอย่างไม่เข้าใจ
“มนุษย์คือกลุ่มก้อนของความขัดแย้ง” โอลัวร์กล่าวพลางหันกลับไปมองเตาย่าง “นายจำไม่ได้หรือ บางครั้งฉันก็เป็นคนช่างจ้อ วันดีคืนดีก็อยากออกไปฟังหญิงชราจับกลุ่มซุบซิบนินทา บางวันก็แกล้งเด็ก เล่าเรื่องต่างๆ ให้พวกเขาฟัง บางครั้งก็บ้าบอยิ่งกว่านั้น ยืมม้าน้อยของคุณนายปัวริสเพื่อขี่รอบๆ ภูเขาอย่างโลดโผน พร้อมกับแหกปากโหวกเหวกโวยวาย”
ตัวเธอในตอนนั้นเปรียบดังกุหลาบอาบน้ำค้างยามย่ำรุ่ง เจิดจ้าจนดึงดูดให้ผู้คนเอื้อมมาจับ แต่ขณะเดียวกันก็คอยบาดมือพวกเขา…ลูเมี่ยนรำพันในใจอย่างอดไม่ได้
ในเมื่อคุณนายปัวริสถูกเอ่ยถึง เด็กหนุ่มชิงเปลี่ยนเรื่องคุย
“โอลัวร์ เอ่อ…พี่…ฉันเพิ่งได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคุณนายปัวริสมา”
“ข่าวลือ?” หญิงสาวไม่ปิดบังความอยากรู้
“เธอเป็นจอมเวทที่สามารถคุยกับวิญญาณคนตาย…” ลูเมี่ยนถ่ายทอดคำพูดของเอวาให้พี่สาวของตนฟัง รวมถึงความผิดปกติที่ตนสังเกตเห็น รวมถึงคำพูดของหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์
โอลัวร์หยุดงานที่ทำเพื่อตั้งใจฟังน้องชาย
สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
พอลูเมี่ยนพูดจบ หญิงสาวยิ้ม พูดเพื่อให้น้องชายสบายใจ
“ไม่ต้องกังวลไป คนต่างถิ่นพวกนั้นคงมาที่นี่เพราะเรื่องที่หลวงพ่อกับพวกลิ่วล้อแอบทำ ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับคุณนายปัวริสด้วย”
“ช่วงนี้อย่าเพิ่งไปยุ่งกับคุณนายปัวริสก็แล้วกัน ฉันจะคอยจับตาดูพวกเขาไว้”
“ใช้เวลาในหมู่บ้านให้มากขึ้น สานสัมพันธ์กับคนต่างถิ่นให้มากขึ้น ลองหยั่งเชิงดูว่าสามารถสืบเบื้องหลังได้ไหม หึหึ…เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้หญิงที่ให้ไพ่ ‘ไม้’ มายังควรค่าแก่การสนใจยิ่งกว่า”
“แต่ถ้าสถานการณ์แย่ลงจริงๆ เราควรคิดเรื่องการย้ายออกจากหมู่บ้านกอร์ตูเผื่อเอาไว้…หืม…จะเริ่มเตรียมเลยก็ได้”
“ตกลง” ลูเมี่ยนเห็นด้วยกับวิธีของพี่สาวอย่างยิ่ง
เว้นวรรคครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มถามต่อด้วยความสงสัย
“โอลัวร์ ถ้าเราต้องออกจากหมู่บ้านกอร์ตูจริงๆ …คิดไปจะตั้งรกรากที่ไหน?”
“ทรีอาร์อยู่แล้ว!” โอลัวร์ตอบโดยไม่ลังเล
กรุงทรีอาร์คือเมืองหลวงของสาธารณรัฐอินทิส อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางศิลปะและวัฒนธรรมของทวีป
“เหตุผล?” แม้ลูเมี่ยนจะนึกถึงทรีอาร์เช่นกัน แต่เขาก็ยังอยากฟังคำอธิบาย
ชาวอินทิสทุกคนล้วนใฝ่ฝันจะไปทรีอาร์
ในสายตาชาวกรุงทรีอาร์ ชาวอินทิสมีอยู่สองจำพวก
คือชาวกรุงทรีอาร์ กับพวกนอกแคว้น
โอลัวร์พูดราวกับอยู่ในภวังค์
“นักพยากรณ์เคยกล่าวไว้ว่า…”
“ตราบเท่าที่ทรีอาร์ยังยืนหยัด ความสุขของโลกจะคงอยู่ตลอดไป”
…………………………………………………….