ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 123 ผู้จัดชุมนุม
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 123 ผู้จัดชุมนุม
ตอนที่ 123 ผู้จัดชุมนุม
แผนเดิมของลูเมี่ยนคือการไปร้านกาแฟเมสันก่อนเที่ยง เพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแถวนั้น เผื่ออาจเกิดเหตุไม่คาดฝันในการรักษาวันพรุ่งนี้ จะได้มีทางหนีทีไล่ล่วงหน้า แต่เรื่องของบารอนบรินิแยร์ทำให้เขาเสียเวลาไปมาก จึงต้องแวะไปหาออสตา·ทรูเอลก่อน แล้วค่อยไปเขตสวนพฤกษศาสตร์ในช่วงบ่าย
ออสตายังอยู่ที่เดิม ชิดขอบสุสานใต้ดิน พิงเสาหิน ก่อกองไฟ
ได้ยินเสียงฝีก้าวที่ไม่เร็วไม่ช้าจากไกลเข้ามาใกล้ ชายสวมเสื้อคลุมสีดำติดฮู้ดเงยหน้ามองผู้มาเยือน
ทีแรกคิดว่าเป็นก้อนเงินลอยมา แต่ทันใดนั้นก็พลันหน้าแข็ง
เขารีบลุกพรวด คลี่รอยยิ้ม ชิงกล่าวก่อนที่ลูเมี่ยนจะได้ถาม
“เช้านี้ผมติดต่อกับผู้จัดชุมนุมให้แล้วนะครับ แจ้งว่ามีเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่นชอบศาสตร์เร้นลับอยากเข้าร่วมชุมนุมด้วย แต่อีกฝ่ายยังไม่ตอบกลับมา”
ลูเมี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ถามว่าออสตาติดต่ออย่างไร เพียงเดินไปที่กองไฟ หาหินนั่ง แล้วเริ่มพูดอย่างเป็นกันเอง
“นายน่าจะเคยหลอกคนมาไม่น้อย แต่กลับยังปักหลักอยู่ที่เดิม ไม่กลัวว่าพวกเขาจะย้อนกลับมาเอาเรื่องบ้างหรือไง”
ออสตาหัวเราะ ‘หึหึ’ และกล่าว
“ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ถือว่าเป็นการหลอกลวง ผมเป็นผู้วิงวอนความลับ ผู้วิเศษตัวจริงเสียงจริง สามารถใช้พลังวิญญาณทำนายดวงชะตาให้พวกเขาได้ มันไม่ถือเป็นการหลอกลวง”
“ผลการทำนายของผมแม่นยำกว่าคนส่วนใหญ่ในสโมสรศึกษาศาสตร์เร้นลับมาก!”
“แต่ถ้าเป็นคำขอร้องประเภทอื่น แต่ละคนจะใช้ลูกไม้หลอกล่อแตกต่างกัน ถ้าถูกเปิดโปงจริงๆ ก็ต้องกลบเกลื่อนด้วยคำพูด”
“กลบเกลื่อนยังไง?” ลูเมี่ยนยิ้ม
ออสตาไอเบาๆ
“สิ่งสำคัญก็คือ ทีแรกห้ามใช้คำพูดที่เฉพาะเจาะจงเกินไป ในภายหลังจะได้โทษว่าฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดไปเอง”
ลูเมี่ยนยิ้มพลางคิดตาม
“แต่ตอนที่หลอกฉันเรื่องบ่อน้ำสตรีซามาเรีย นายตอบรับง่ายๆ เลยนี่? อีกทั้งยังรับปากเป็นมั่นเหมาะ”
สีหน้าออสตาเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง
“ก็จริง… ผมถูกบารอนบรินิแยร์กดดันจนร้อนรน อยากได้เงินเร็วๆ”
“วิธีที่ถูกต้องก็คือ ผมต้องเปรยกับคุณว่าพอจะมีวิธีอยู่บ้าง แต่มันทำได้ยาก รอให้คุณตามตื๊อขอร้องสักพักจึงค่อยรับเงินคุณไว้อย่างไม่เต็มใจ และย้ำว่าไม่รับประกันผลสำเร็จ…”
ค่อนข้างชัดเจนว่า เมื่อคืนนี้ออสตาทบทวนข้อผิดพลาดของตัวเองอย่างถี่ถ้วน ครุ่นคิดว่าหากมีโอกาสได้แก้ตัวใหม่ จะทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงตามหลัง ยิ่งเขาเล่าก็ยิ่งตื่นเต้น จนกระทั่งเห็นสีหน้าที่คล้ายกับยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้มของลูเมี่ยน จึงตัดสินใจหยุดพูด
ทำไมเราถึงต้องเล่ากลลวงของตัวเองต่อหน้าคนอันตรายแบบนี้ด้วย? ออสตาเพิ่งตระหนักได้เมื่อสาย จึงฝืนยิ้ม ฝืนอธิบาย
“แต่ผมเชื่อว่าวิธีนี้ก็คงหลอกคุณไม่ได้อยู่ดี คุณรอบคอบที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นเลย”
ลูเมี่ยนยิ้มพลางส่ายหัว
“นายเดินหมากผิดจริงๆ นั่นแหละ”
ออสตาไม่กล้าสานต่อหัวข้อเดิม เพียงเปลี่ยนไปถามว่า
“เมื่อคืนผมลองมาคิดอย่างจริงจัง… ในตอนที่เราคุยกัน ผมยังไม่ได้พูดถึงชุมนุมศาสตร์เร้นลับเลย แค่บอกว่าซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถมา คุณทราบได้อย่างไรว่าได้มาจากชุมนุมศาสตร์เร้นลับ?”
ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ
“สัญชาตญาณมันบอกน่ะ”
ในเวลาเดียวกัน เขาก็อดพำพึมในใจไม่ได้
ก็เพราะมันมีแค่สองความเป็นไปได้ยังไงล่ะ… หากไม่ใช่การซื้อขายตัวต่อตัว ก็ต้องเป็นชุมนุมลับทำนองนี้ โอกาสเดาถูกไม่ต่ำกว่าห้าในสิบส่วน และตอนนั้นเราก็ทำเหมือนพูดลอยๆ ถ้าผิดก็ไม่มีอะไรต้องเสีย!
ออสตามองลูเมี่ยนด้วยสายตาที่หวาดหวั่นเป็นเท่าตัว
เขายิ่งเดาไม่ออกว่าบุคคลอันตรายตรงหน้า อยู่บนเส้นทางใด ลำดับใด อีกฝ่ายไม่เพียงดูเหมือนชำนาญการต่อสู้ แต่ยังเฉลียวฉลาด อีกทั้งสัญชาตญาณก็ยังแหลมคมราวกับทำนายอนาคต
ลูเมี่ยนสัมผัสถึงความอบอุ่นจากกองไฟ ซักถามอย่างเป็นกันเอง
“นายเริ่มเข้าชุมนุมศาสตร์เร้นลับนั่นได้ยังไง”
ออสตาทำหน้าคล้ายย้อนรำลึกอดีต
“ทุกคนล้วนมาทรีอาร์ด้วยความคาดหวัง ศิลปินบางคนฝันอยากให้ผลงานของตน ถูกเลือกไปจัดแสดงในนิทรรศการของศิลปินที่ยังมีลมหายใจ แต่ส่วนใหญ่ย่อมไม่ใช่ผู้ถูกเลือก ต้องพานพบกับความผิดหวัง ทุกปีจะมีคนทนรับความล้มเหลวไม่ได้ จนกลายเป็นบ้าหรือฆ่าตัวตาย”
“พวกนักเขียนจนๆ ที่อาศัยในอพาร์ตเมนต์ถูกๆ ต่างก็หวังจะเจริญรอยตามตำนานความสำเร็จของนักเขียนขายดี อย่างพวกโอลัวร์หรือเมนิแยร์ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ขายผลงานให้กับหนังสือพิมพ์หัวเล็ก ต้องทนรับคำวิจารณ์อย่าง ‘ต่ำช้า’ ‘ห่วย’ ‘จำเจ’ มีหลายคนตกอับจนต้องเขียนนิยายกามราคะให้กับร้านหนังสือใต้ดิน วันดีคืนดีก็ถูกตำรวจสอยเอาง่ายๆ”
“สิบกว่าปีก่อน ผมจากแคว้นซีเดลิสมาเข้ากรุงทรีอาร์ พร้อมกับความปรารถนาที่จะร่ำรวย เคยต้องนอนในห้องใต้หลังคาที่น้ำรั่วในคืนฝนตก เคยปีนนั่งร้าน เคยทำงานในโรงงาน เคยลักลอบขนหนังสือใต้ดิน เคยขายน้ำอัดลม… แม้จะโชคดีออมเงินได้ก้อนหนึ่ง แต่ปีแล้วปีเล่าล่วงผ่านไป มันก็ยิ่งชัดเจนว่าผมไม่มีทางร่ำรวยได้แน่ ไม่มีทางมีบ้านเป็นของตัวเอง ไม่มีทางได้ใช้ชีวิตสบายๆ ในเมือง ไม่มีทางได้กินมื้อเช้าที่บ้านพลางอ่านหนังสือพิมพ์ รอจนใกล้เวลาค่อยออกไปทำงาน”
“หลังจากนั้น ผมมีโอกาสได้อ่านนิตยสารเกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับอย่าง ‘สื่อวิญญาณ’ หรือ ‘อุปนิษัท’ … หึหึ คงเพราะผมมีความฝัน เชื่อว่าตัวเองจะได้รับพลังวิเศษที่แข็งแกร่งในชั่วข้ามคืน… เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมอันน่าอดสูนี้ ผมเริ่มเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มคนที่มีความชอบเดียวกัน… ก็นะ ในนิตยสารก็มีเขียนข้อมูลการชุมนุมพวกนี้อยู่”
“เมื่อช่วงต้นปี อยู่ดีๆ เพื่อนจากชมรมที่เคยเข้าร่วมก็เป็นฝ่ายติดต่อมา ถามไถ่ว่าผมอยากเข้าร่วมชุมนุมที่เกี่ยวข้องกับพลังวิเศษของจริงหรือไม่… ผมปฏิเสธไม่ลง เรื่องหลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่คุณทราบ”
ลูเมี่ยนเงียบฟังโดยไม่พูดไม่จา ไม่ขัดจังหวะการเล่าของออสตา
เมื่ออีกฝ่ายหยุด เด็กหนุ่มจึงค่อยถาม
“เพื่อนของนายคนนั้น ใช่คนจัดชุมนุมหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ครับ” ออสตาส่ายหัว “คนจัดชุมนุมเรียกตัวเองว่า ‘มิสเตอร์ K’ ทุกครั้งที่เข้าร่วมงานจะสวมหมวกปีกกว้าง ปกปิดใบหน้าไว้เกือบหมด”
“มิสเตอร์ K…” ลูเมี่ยนจดจำชื่อนี้ไว้ “เขามีพลังแบบไหนบ้าง”
ออสตาส่ายหน้าอีกครั้ง
“ผมก็ไม่เคยเห็น”
“แต่ว่า… หลังจากที่ผมกลายเป็นผู้วิงวอนความลับ เมื่อได้พบเขาอีกครั้ง ผมรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับเงามืดที่อยู่ส่วนลึกของใต้ดิน… เขาน่าจะแข็งแกร่งมาก”
ก็ฟังดูแข็งแกร่งจริงๆ นั่นแหละ ไม่รู้ว่าถ้าเทียบกับอธิการโบสถ์หรือคุณนายปัวริส ใครจะน่ากลัวกว่า… ลูเมี่ยนพึมพำเงียบ ก่อนจะถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“แล้วตอนที่เห็นฉัน นายรู้สึกยังไงบ้าง”
ออสตา ‘เอ่อ’ สักพัก แล้วตัดสินใจพูดความจริง
“ไม่เห็นอะไรเลย… แต่คุณมีบรรยากาศที่ดูอันตราย ทำให้ผมกลัวได้ยิ่งกว่าบารอนบรินิแยร์”
ลูเมี่ยนก้มมองหน้าอกซ้ายของตน แล้วพูดยิ้มๆ
“ดีมาก”
ออสตาทำหน้าฉงน ไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
ลูเมี่ยนไม่สานต่อบทสนทนา เพียงเปลี่ยนเรื่องถาม
“เคยได้ยินเรื่องวิญญาณมงต์ซูรีไหม”
“เคยครับ” ในฐานะจอมเวทกำมะลอที่หลอกเอาเงินชาวบ้าน ออสตาย่อมทราบหลายตำนานที่เกี่ยวข้องกับโลกใต้ดินของทรีอาร์ “ตำนานเล่าว่า ในพื้นที่อันมืดมิดและกว้างใหญ่ของใต้ดิน มีวิญญาณมารที่เอาแต่เตร็ดเตร่เร่ร่อน มักล่องลอยอย่างเดียวดายในความมืด คล้ายกับไม่มีวันไปถึงจุดหมาย ใครที่ได้พบเจอกับวิญญาณจะตายในทันที หรือตายในปีนั้น รวมถึงญาติสายตรงทั้งหมด ก็ล้วนต้องตายอย่างลึกลับ”
“จนถึงตอนนี้ ผู้ที่อ้างว่าเคยพบกับวิญญาณมงต์ซูรีล้วนเป็นบ้าไปหมด และต่างก็ตายภายในหนึ่งปี ผมได้ยินว่าสองศาสนจักรใหญ่ได้ตั้งทีมยอดฝีมือขึ้นมาตามล่าวิญญาณมารนั่นแล้ว แต่ก็คว้าน้ำเหลว”
ฟังดูมีมูลความจริงอยู่บ้าง… ลูเมี่ยนไม่ได้ถามต่อ เพียงลุกขึ้นยืนและกล่าวกับออสตา
“ฉันจะกลับมาหานายอีกครั้งวันพรุ่งนี้ หรือไม่ก็เช้าวันมะรืน”
“เข้าใจแล้วครับ” แม้ออสตาจะไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะลงไม้ลงมือกับตน แต่การส่งตัวอันตรายกลับไป ช่วยให้เขาโล่งอกโล่งใจขึ้นมาก
คนปกติไม่มีทางชินกับการอยู่กับเสือ!
ขณะเดินกลับขึ้นไปบนผิวดิน ลูเมี่ยนถือโคมไฟคาร์ไบด์ ผ่านทางเข้าสุสานใต้ดิน แลเห็นซุ้มโค้งที่แกะสลักเป็นรูปกระดูก ดอกทานตะวัน ตลอดจนสัญลักษณ์ไอน้ำอีกครั้ง
เด็กหนุ่มมองไปยังป้ายที่เขียนว่า ‘หยุด! ข้างหน้าคือจักรวรรดิแห่งความตาย!’ แล้วลองเดินเข้าใกล้ประตูหินที่เกิดจากธรรมชาติ ซึ่งแบ่งแยกมิติภายในกับภายนอกสุสาน
ทันใดนั้น ร่างของใครบางคนเดินออกจากซุ้มโค้งใหญ่ ตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“หยุด!”
ร่างดังกล่าวสวมเสื้อกั๊กสีน้ำเงิน กางเกงขายาวสีเหลือง เป็นชายชราผมหงอกขาวและเต็มไปด้วยริ้วรอย
ดวงตาสีเหลืองอ่อนที่พร่าเลือนไปบ้าง ตรึงอยู่กับลูเมี่ยนไม่ไปไหน
“ห้ามเข้าหรือ?” ลูเมี่ยนถามด้วยสีหน้าอันใสซื่อบริสุทธิ์ดุจดังคนต่างถิ่น
ชายชรามองสำรวจลูเมี่ยน
“ต้องไปซื้อตั๋วข้างบนก่อน แล้วนำเทียนไขสีขาวลงมาด้วย”
“ผมมีเพื่อนถูกฝังอยู่ข้างใน ยังต้องซื้อตั๋วมาไว้อาลัยอีกหรือ?” ลูเมี่ยนปั้นน้ำเป็นตัวทันที
ชายชราทำหน้ากังขา
“คุณไม่ใช่เด็กมหา’ลัยจากเขตหอรำลึกหรอกหรือ?”
“พวกเด็กเปรตนั่นขอบกุเรื่องเพื่อเข้าไปในสุสาน แล้วก็ร้องรำทำเพลง เต้นแร้งเต้นกา จัดงานเลี้ยงในห้องเก็บกระดูก!”
“เข้าไปได้ครับ แต่ต้องถือเทียนสีขาวที่จุดไฟแล้วเท่านั้น นั่นเป็นเงื่อนไขเดียวของผม!”
ลูเมี่ยนเคยกังวลว่าหากตนสอบติดมหาวิทยาลัย นิสัยแบบนี้อาจเข้ากับเพื่อนร่วมรุ่นได้ยาก แต่ดูเหมือนจะคิดมากเกินไป
นักศึกษาพวกนั้นหลุดโลกยิ่งกว่าเขาเสียอีก!
“เข้าใจแล้วครับ” ลูเมี่ยนทำหน้าผิดหวัง “คราวหน้าผมจะพกเทียนสีขาวมาด้วย”
ชายชราพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ
ลูเมี่ยนหันหลังกลับ เดินไปตามทางที่ซ่อมแซมแล้ว ตรงไปยังบันไดที่นำไปสู่ผิวดิน
หลังจากเดินไปได้ประมาณหนึ่งร้อยเมตร เขาสังเกตเห็นว่ามีเงาดำวาบวับเข้ามาในสายตา
เงานั้นโค้งเล็กน้อย ก้าวเดินเชื่องช้าอยู่หลังทิวแถวเสาหินฝั่งซ้าย
แวบแรกที่เห็น ลูเมี่ยนรู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่มีตัวตนจริง เป็นเชิงมายาเสียมากกว่า
อาศัยสัญชาตญาณ เด็กหนุ่มยกโคมไฟคาร์ไบด์ขึ้น ส่องแสงสีฟ้าอมเหลืองไปยังจุดต้องสงสัย
แต่เงาดำนั้นหายลับไป ราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
ลูเมี่ยนรีบมองกวาดไปรอบตัว แต่ก็ไม่พบสิ่งใดเลย
“ภาพหลอน? หรือวิญญาณใต้ดิน?” ลูเมี่ยนลองคาดเดา ทันใดนั้นก็ฉุกคิดได้ “หรือว่าจะเป็นวิญญาณมงต์ซูรี? นี่เราได้เจอกับวิญญาณมงต์ซูรี?”
รูม่านตาพลันเบิกกว้าง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมกว่าทุกที
แต่ผ่านไปไม่กี่วินาที ลูเมี่ยนหัวเราะ หัวเราะจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ หัวเราะจนน้ำตาไหล
“ฮะฮะ! ฉันก็อยากเห็นเหมือนกัน ว่าแกจะทำให้ฉันตายทั้งโคตรได้ยังไง จะทำให้ฉันตายอย่างลึกลับด้วยวิธีไหน!”
……………………………………………………..