ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 127 ร้านกาแฟ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 127 ร้านกาแฟ
ตอนที่ 127 ร้านกาแฟ
ได้เห็น ‘คำขวัญ’ บนผนัง ลูเมี่ยนอดยิ้มไม่ได้
สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงคำพูดเก่าๆ ของโอลัวร์
“ในกรุงทรีอาร์ ร้านกาแฟจะมีสถานะพิเศษมาก เป็นจุดเริ่มต้นของจลาจล แดนสวรรค์ของทฤษฎีสมคบคิด และแหล่งกำเนิดเรื่องอื้อฉาว”
ตามประวัติศาสตร์ของอินทิส ความวุ่นวายหลายครั้งหลายคราเกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนทรรศนะในร้านกาแฟ ซ้ำเป็นแหล่งบ่มเพาะชิ้นงานวรรณกรรมและความขัดแย้งทางการเมืองอีกไม่รู้ตั้งเท่าไร
แตกต่างจากอาณาจักรเพื่อนบ้านอย่างโลเอ็น แม้อินทิสจะมีสโมสรปิดอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสโมสรมืออาชีพ หรือไม่ก็ระดับสูงไปเลย ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าร่วม ทั้งพวกอดีตขุนนาง สมาชิกรัฐสภาชุดปัจจุบัน ข้าราชการระดับสูง นักการเงิน นายธนาคาร ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม นักเขียนชื่อดัง บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ นายพลจากกองทัพ หรือศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย ซึ่งล้วนเป็นตัวแทนของแวดวงชนชั้นสูง ต่างก็มีความสุขกับการได้นั่งคุยกันในร้านกาแฟ เพลิดเพลินไปกับบทสนทนาอย่างเป็นกันเอง อีกทั้งยังเป็นการแสดงด้านที่เป็นมิตรต่อประชาชน ต้องไม่ลืมว่า คำขวัญทางการเมืองและภาพลักษณ์ที่แสดงออกทั้งภายในและภายนอกสาธารณรัฐก็คือ ‘เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ’
แน่นอน ผู้คนจากต่างชนชั้นมีแนวโน้มที่จะเข้าร้านกาแฟต่างกัน ส่วนมากจะแบ่งแยกโดยทำเล ราคา และลักษณะจำเพาะของร้าน ด้วยประการฉะนี้ ลูเมี่ยนจึงไม่ประหลาดใจหรืองุนงงเมื่อได้ยินจากชาร์ลีว่า ‘โลรองต์’ นำเงินที่นางลาคาซานหามาได้ ไปเข้าร้านกาแฟแพงๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางสังคมให้กับตัวเอง หลายคนก็ทำเช่นนี้ ถึงขั้นกลายเป็นต้นแบบของตัวละครในนิยาย แม้จะมีเพียงหยิบมือเดียวที่ประสบความสำเร็จก็ตาม
ขณะเดียวกัน งานเลี้ยงกับซาลอนต่างก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในกรุงทรีอาร์ หากบุคคลในแวดวงชั้นสูงไม่จัดซาลอนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้คนจะสงสัยว่าตระกูลนั้นๆ กำลังเผชิญปัญหาหรือวิกฤติทางการเงิน จนทำให้สูญเสียอำนาจทางการเมือง
หนึ่งในเหตุผลที่โอลัวร์ ผู้ชื่นชอบมหานครแห่งนี้เป็นชีวิตจิตใจ เลือกที่จะไม่ปักหลักอยู่ในทรีอาร์ ก็เนื่องมาจากการที่เหล่าศิลปินอย่างนักเขียน กวี จิตรกร และประติมากร ต่างถูกมองเป็นเพียงผีเสื้อในกรงเลี้ยง ต้องคอยตระเวนบินไปเกาะตามซาลอนต่างๆ ของสมาชิกรัฐสภา นักการเงิน นักการเมือง และข้าราชการระดับสูง ราวกับว่าหากไม่ถูกคนเหล่านี้ยอมรับ ผลงานของตนก็จะไร้คุณค่า
ในเมื่อมีซาลอนกับร้านกาแฟ ชาวอินทิสก็ไม่จำเป็นต้องมีสโมสร
ในแง่นี้ หน้าที่ของผับ โรงเบียร์ คาบาเร่ต์ และร้านกาแฟล้วนคล้ายคลึงกัน แต่อย่างหลังมีความสำคัญและยึดโยงกับสถานะทางสังคมมากกว่า
เมื่อเห็นลูกค้าเดินเข้าร้าน บริกรหญิงในชุดกระโปรงยาวสีเทาขาวเดินตรงเข้ามา ถามไถ่อย่างยิ้มแย้ม
“อยากนั่งตรงไหนเป็นพิเศษไหมคะ? หรือว่านัดกับเพื่อนเอาไว้?”
ลูเมี่ยนผงกหัว
“บูธ D ครับ”
บริกรหญิงพาเด็กหนุ่มไปยังบูธตรงมุมร้าน
นั่งชิดกับหน้าต่าง มองออกไปก็เห็นสวนพฤกษศาสตร์เขียวชอุ่มหนาแน่น
“รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ?” บริกรหญิงวางเมนูที่หุ้มด้วยปกสีน้ำตาลลงบนโต๊ะ
ลูเมี่ยนหยิบขึ้นมากาง ไล่อ่านด้วยความละลานตาไปกับเมนู
“กาแฟเฟอร์โม่ กาแฟที่ราบสูง รีมูเอสเปรสโซ…”
“ชาดำซิบป์ ชาดำมาร์ควิส ชาดำไบลัมตะวันออก”
“น้ำผลไม้ น้ำลีลาวดี น้ำมะนาวอำพันวาฬ เครื่องดื่มพิเศษน้ำมันมนตร์ ‘วีนัส’ …”
“ไวน์ฤดูร้อน ไวน์แดงอ่อน ไวน์กุหลาบ เหล้าขาววอลนัท ไวน์ส้มมะนาว ไวน์เชอร์รี…”
“อัปแซ็งต์ อัปแซ็งต์แอนีซ ยิน คูราเซา บรั่นดีแอปเปิล บรั่นดีกากองุ่น”
“ไวน์หวาน: ความรักไร้บกพร่อง บาร์บาเรียนครีม กุหลาบแดงน้อย เวสต์ปาโล”
คำนึงจากการที่ตนกำลังจะได้รับการรักษาโดยนักจิตวิทยา ลูเมี่ยนเชื่อว่าตนยังไม่ควรดื่มทั้งแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
“น้ำมะนาวอำพันวาฬครับ”
“สี่ริกต์ค่ะ” บริกรหญิงถามต่อ “จะรับเค้ก ขนมปัง หรืออาหารอื่นๆ ด้วยไหมคะ?”
“ตอนนี้ยังครับ ไว้ค่อยคิดหลังจากเพื่อนมาถึง” ลูเมี่ยนมองไปรอบๆ ร้านเมสันอีกครั้ง และสังเกตเห็นว่าช่วงนี้ยังมีลูกค้าไม่มาก
คนที่เข้าร้านมาเพื่อกินมื้อเที่ยง ล้วนออกจากร้านก่อนบ่ายสองโมงครึ่ง ส่วนชามื้อบ่ายก็ต้องรออีกไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง
ผ่านไปไม่นาน บริกรหญิงเดินกลับมาพร้อมกับถาดหนึ่งใบ ด้านบนวางแก้วบรรจุของเหลวไร้สี โดยมีมะนาวฝานแว่นลอยอยู่สองสามแผ่น
ลูเมี่ยนมองไปยังเก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้ามตน ยกแก้วขึ้นมาจิบ
กลิ่นหอมละเมียดละไมโชยเข้าโพรงจมูก รสชาติของความหวานอมเปรี้ยวอย่างสดชื่นช่วยทำให้จิตใจกระชุ่มกระชวย
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป จนกระทั่งนาฬิกาแขวนผนังแจ้งเวลาบ่ายสามโมงครึ่งกว่าๆ ลูเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะหันกายไปมองทางเข้าร้านกาแฟ
ตรงนั้นมีพืชพรรณสีเขียวบางตา แต่ไม่มีลูกค้าเดินเข้าร้าน
ขณะเด็กหนุ่มเตรียมถอนสายตากลับด้วยความผิดหวัง เสียงอันอ่อนโยนของสตรีที่บอกอายุไม่ได้ ดังมาจากบูธฝั่งด้านหลังตน
“ฉันมาถึงแล้ว…”
“ทิวาสวัสดิ์ มิสเตอร์ลูเมี่ยน·ลี”
ลูเมี่ยนเดาว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากคุยกันต่อหน้า จึงไม่พยายามชะโงกไปมอง เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงสำรวมปนสุภาพ
“ทิวาสวัสดิ์ครับ ผมควรเรียกคุณว่าอะไร? เสียงผมเบามาก คุณได้ยินไหม?”
“ได้ยิน” เสียงอันอ่อนโยนตอบกลับ “เรียกฉันว่าซูซี่”
“สวัสดีครับ มาดามซูซี่” ด้วยเหตุผลบางอย่าง การคุยกับนักจิตวิทยาช่วยให้จิตใจลูเมี่ยนสงบลง ลดอาการ ‘พึมพำในใจ’ ที่เป็นนิสัยติดตัว
วินาทีถัดมา เขาบังเกิดความรู้สึกอึดอัดที่อธิบายไม่ได้
“เป็นอะไรหรือ” ซูซี่ถามอย่างอ่อนโยนจากบูธด้านหลัง
ลูเมี่ยนครุ่นคิดอยู่สองวินาที ตัดสินใจไม่ปิดบังความรู้สึก
“ผมรู้สึก… ค่อนข้างอึดอัด เป็นประสบการณ์ที่ไม่คุ้นเคยเลย”
“เอ่อ… มันน่าจะคล้ายกับตอนที่นัดเจอนักค้าข่าวเมื่อวาน”
ซูซี่พูดเร็วขึ้นเล็กน้อย เนื้อหาค่อนไปทางขอโทษขอโพย
“ต้องอภัยเป็นอย่างสูง… ด้วยความเคยชิน ฉันเผลออ่านความคิดของคุณ นั่นอาจเป็นต้นตอของความอึดอัด”
“ร่างกายคุณมีมลพิษร้ายแรงผนึกอยู่ ในสภาพที่สมดุลอย่างยิ่ง การถูกรบกวนเพียงเล็กน้อยจึงทำให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่าง หรือกล่าวโดยสรุป คุณจะอ่อนไหวต่ออิทธิพลลอบเร้นที่มองไม่เห็น เสียยิ่งกว่าผู้วิเศษในลำดับเดียวกันหรือสูงกว่า”
“อย่างนี้นี่เอง…” ลูเมี่ยนไม่โกรธ
ตามความเห็นของเขา นักจิตวิทยาจะรักษาอย่างไรถ้าไม่อ่านใจ? พึ่งพาเพียงบทสนทนา?
แต่ไม่นานก็ต้องขมวดคิ้ว
“อ็องโตนี·รีดก็อ่านใจผมเหมือนกันหรือ? เอ่อ… หมายถึงนักค้าข่าวคนนั้น”
“ฉันจำได้” ซูซี่กล่าวเป็นนัยว่าเข้าใจ “อ็องโตนี·รีดมาจากไหน ประกอบอาชีพอะไรก่อนมาเป็นนักค้าข่าว?”
“เขามีสำเนียงของชายฝั่งตะวันตก… เป็นทหารปลดระวาง” ลูเมี่ยนรำลึก
ซูซี่เงียบไปสักพัก แล้วจึงกล่าว
“ถ้าเขามาจากชายฝั่งตะวันตกจริง ก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้วิเศษเส้นทาง ‘ผู้ชม’”
เส้นทางผู้ชม… ลูเมี่ยนเคยอ่านข้อมูลเส้นทางผู้วิเศษจากสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ แต่พี่สาวของตนทราบเพียงลำดับ 9 ที่ชื่อ ‘ผู้ชม’ เก่งกาจด้านการมองสำรวจ สามารถถอดรหัสความคิดได้จากสีหน้าแววตาและภาษากายเล็กๆ น้อยๆ
ลำดับที่สูงขึ้นของผู้ชมคือ ‘นักจิตวิทยา’ สินะ… ลูเมี่ยนคิดถึงตรงนี้ ก็ได้ยินซูซี่ช่วยแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง
“นักจิตบำบัดน่ะ”
“ฟังดูอุ่นใจกว่าเดิมอีกนะครับ” ลูเมี่ยนยิ้ม “คิดว่าอ็องโตนี·รีดอยู่ในลำดับเท่าไรหรือ?”
หลังจากได้ทราบเส้นทางของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มเชื่อว่าอ็องโตนี·รีดคงจะจดจำตนได้ในทันที ซ้ำยังมองเห็นความตึงเครียดและความกังวลจากภายใน รวมถึงความพยายามที่จะข่มขู่ให้กลัว
“จากคำอธิบายของคุณ อย่างน้อยก็ลำดับ 8” ซูซี่แสดงความเห็น
ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ
“คงจะตลกน่าดูถ้าเขาคือ ‘นักจิตบำบัด’ แต่ไม่สามารถรักษาอาการ PTSD จากสงครามให้ตัวเอง”
“นั่นไม่แปลกหรอกนะ นักจิตบำบัดที่มีบาดแผลทางใจส่วนใหญ่รักษาตัวเองไม่ได้ จำเป็นต้องพึ่งพานักจิตบำบัดคนอื่น มิหนำซ้ำ การรักษานักจิตบำบัดยังอันตรายยิ่งกว่าคนปกติ หากเผอเรอเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ผู้รักษา ‘ติดเชื้อ’ อาการทางจิตแบบเดียวกับคนไข้ได้ง่ายๆ” ซูซี่อธิบายรวบรัด
เมื่อหัวข้อเปลี่ยนไป บวกกับอีกฝ่ายพูดคุยอย่างเป็นกันเองมากขึ้น จิตใจลูเมี่ยนจึงเริ่มสงบ เป็นอิสระจากความอึดอัดและตึงเครียด
เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายถาม
“เริ่มการรักษาเลยไหมครับ?”
“การพูดคุยก็เป็นส่วนหนึ่งของการรักษานะ” น้ำเสียงอันอ่อนโยนของซูซี่แฝงไว้ด้วยความอารมณ์ดี
เมื่อได้ทราบว่าขั้นแรกของการรักษาคือการพูดคุยตามปกติ ลูเมี่ยนยิ่งผ่อนคลาย เอนกายพิงฉากกั้นบูธ พลางซักถามด้วยความใคร่รู้
“ผมทราบดีว่ามันคือความฝัน แต่มีรายละเอียดในบางจุดที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจ…”
“ทำไมกันนะ… ถ้ามันคือความฝันของผมจริง เหตุใดผมถึงล่วงรู้พลังวิเศษต่างๆ ของนักสืบทั้งสาม? เหตุใดผมถึงทราบรายละเอียดพลังของหลวงพ่อกับคนเลี้ยงแกะนั่นชัดเจนนัก?”
ซูซี่ตอบอย่างอบอุ่น
“ผู้วิเศษทางการสามคนนั้นถูกฝืนดึงเข้าสู่ความฝันของคุณ เท่ากับเป็นการนำจิตใต้สำนึกของพวกเขาเข้ามาใกล้คุณด้วย เป็นสภาวะกึ่งเปิด…”
“ทั้งสามจะมีส่วนร่วมกับความฝัน เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดที่ตัวเองล่วงรู้ ถึงจะแค่คิดในใจ แต่จิตใต้สำนึกของคุณสามารถสัมผัสถึงได้”
หรือก็คือ หลังจากพวกไรอัน ลีอา วาเลนไทน์ถูกเพิ่มเข้ามา การมี ‘ปฏิสัมพันธ์’ กับพวกเขาทำให้เกิดความฝันส่วนใหม่? และผลสะท้อนกลับที่พวกเขาได้รับ ก็เกิดจากการผสมผสานระหว่างจิตใต้สำนึกของเรากับของพวกเขา ส่งผลให้เรื่องราวยังดำเนินไปตามกฎ? ลูเมี่ยนทบทวนปัญหาบางประเด็นที่ตนเคยไม่เข้าใจในทีแรก
ซูซี่พูดด้วยน้ำเสียงโทนเดิม
“ส่วนเหตุผลที่คุณเข้าใจความสามารถของสาวกเทพมาร… เรื่องนี้คงเดาได้เองอยู่แล้วกระมัง… หรือไม่อยากเผชิญหน้ากับมันล่ะ?”
ได้ยินแบบนี้ เปลือกตาลูเมี่ยนกระตุกอย่างฝืนไม่ได้
“ตามข้อมูลที่มาดามเมจิกเชี่ยนแจ้งมา พลังวิเศษส่วนใหญ่ของกิโยม·เบเนต์และปิแยร์·แบรีมาจากลำดับ ‘ผู้ถือพันธสัญญา’ ของเส้นทางเทพมาร ส่งผลให้คาดเดาความสามารถได้ยาก เพราะต้องขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่อีกฝ่ายทำพันธสัญญาด้วย” ซูซี่วิเคราะห์ด้วยเสียงอ่อนโยน “กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราสามารถตัดประเด็นที่จิตใต้สำนึกของคุณได้รับความรู้จากมลพิษบนหน้าอกทิ้งไปได้เลย… แต่หากไม่มีความรู้พื้นฐาน คุณก็ไม่มีทางจินตนาการพลังเหล่านี้ขึ้นมาเองได้เช่นกัน”
น้ำเสียงของมาดามเปลี่ยนเป็นจริงจังกะทันหัน
“ค่อนข้างชัดเจนว่า ก่อนที่หมู่บ้านกอร์ตูจะถูกทำลาย คุณได้เห็นการใช้พลังของกิโยม·เบเนต์ ปิแยร์·แบรี และคนอื่นๆ ด้วยตาตัวเอง โดยที่คุณไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเกิดบาดแผลทางใจจากเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่อย่างนั้นมันจะต้องปรากฏในความฝันของคุณด้วย”
“จากการวิเคราะห์ความฝัน สิ่งที่ทิ้งเงามืดไว้ในใจคุณ คือพฤติกรรมของปัวริสและพรรคพวก”
“เช่นนั้นแล้ว… คุณคิดว่าตัวเองเคยเห็นสาวกของเทพมารใช้พลังวิเศษในสถานการณ์ใด?”
คำพูดของซูซี่เปรียบดังคมศร พุ่งชนผิวความทรงจำของลูเมี่ยน จนแนวป้องกันอันเหนียวแน่นเริ่มสั่นคลอน
ใบหน้าลูเมี่ยนบิดเบี้ยวเล็กน้อย
ท่ามกลางความเจ็บปวดที่ฝืนอดกลั้นได้ยากลำบาก เห็นภาพต่างๆ ถูกดึงออกจากส่วนลึกของความทรงจำ
เหตุการณ์เกิดขึ้นบนชั้นสามของปราสาทจวนเจ้าหน้าที่ปกครอง ผนังปราสาทเต็มไปด้วยใบหน้าซีดเซียวกึ่งโปร่งใส แต่คนที่กำลังต่อสู้ด้วยมิใช่ไรอัน ลีอา และวาเลนไทน์ หากแต่เป็นกิโยม·เบเนต์ ปิแยร์·แบรี และฌิบริล·แบรี!
……………………………………………………..