ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 13 ลอง
ตอนที่ 13 ลอง
กลางดึกสงัด ทุกสรรพสิ่งเงียบสงบ
ลูเมี่ยนตื่นจากความฝันอีกครั้ง สิ่งแรกที่เห็นคือหมอกสีเทาจางๆ
ด้วยจิตใต้สำนึก เด็กหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อผ้า
สัมผัสเย็นๆ ของโลหะแล่นเข้ามาในความคิด
เขาหยิบวัตถุสีทองในมือออกมาดู กระจกตาสะท้อนแสงวับๆ สีทอง
เหรียญทอง
หนึ่งลูอิดอร์
“มันยังอยู่…” ลูเมี่ยนลุกนั่งและเริ่มสำรวจตัวเอง
ยังคงสวมเสื้อกับกางเกงผ้าฝ้าย และแจ็กเกตหนังที่ใส่ในการสำรวจครั้งล่าสุด โดยมีส้อมเหล็กยาวเกือบสองเมตรและขวานเหล็กดำแหลมๆ อยู่ใกล้มือ
สภาพเดียวกับตอนที่ออกจากโลกความฝันทุกประการ
“หรือก็คือ…ความฝันนี้กำลังดำเนินไป ไม่ได้เริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่เข้ามา…” ลูเมี่ยนเล่นกับลูอิดอร์ ก่อนจะสอดเข้าไปเก็บในกระเป๋าเสื้อผ้าฝ้ายตัวใน
แม้นไม่อาจนำกลับโลกความจริง แต่แค่ได้มองก็มีความสุขแล้ว
ลูเมี่ยนลุกออกจากเตียง มองไปนอกหน้าต่างสักพักเพื่อยืนยันว่า ภูเขาสีแดงใจกลางซากปรักหักพังยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม
เด็กหนุ่มหยิบขวานกับส้อมเหล็กเดินออกจากห้อง เข้าสู่ทางเดินสลัวๆ
ประตูห้องนอนและห้องอ่านหนังสือของโอลัวร์ยังถูกเปิดทิ้งไว้เช่นเดิม
ลูเมี่ยนมองไปรอบๆ พร้อมกับเกิดความคิด
“ในความฝัน ห้องของเราใกล้เคียงความจริงมาก โดยมีทุกอย่างตามที่ควรจะมี…ห้องของโอลัวร์ถ้าดูเผินๆ ก็คล้ายกันอยู่”
“ถ้างั้น…เราอาจได้พบบันทึกเกี่ยวกับเวทมนตร์ สูตรยาลับ หรือวิธีกลายเป็นจอมเวทจากในห้องนอนสินะ?”
ความคิดดังกล่าวเปรียบดังเสียงกระซิบของปีศาจ ลูเมี่ยนเริ่มตื่นเต้นและอยากลองทำ
เมื่อเทียบกับการสำรวจซากปรักหักพังที่ไม่มีข้อมูล อันตราย และลึกลับพิสดาร การรื้อค้นห้องนอนโอลัวร์ดูจะเป็นตัวเลือกที่ง่ายและปลอดภัยกว่ามาก
ไม่…ไม่ได้! ลูเมี่ยนส่ายหัวแรงๆ เพื่อสลัดความคิดดังกล่าวทิ้ง
เด็กหนุ่มขอเสี่ยงอันตรายดีกว่าแอบเข้าไปรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของโอลัวร์ หากไม่ได้รับอนุญาตจากพี่สาว เขาจะไม่รื้อค้นห้องนอนเธอเด็ดขาด
นี่คือการแสดงความเคารพต่อโอลัวร์
หากไม่ใช่เพราะโอลัวร์ ตนคงตายตั้งแต่ยังเป็นเด็กจรจัดเมื่อห้าปีก่อน
ลูเมี่ยน ด้วยความเจ็บปวดพอประมาณ เขาถอนสายตาแล้วเดินตรงไปที่บันได
หากเป็นห้องนอนของใครก็ตามที่ไม่ใช่โอลัวร์ เขาคงเข้าไปควานหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์แล้ว
หลังจากลงบันได ลูเมี่ยนไม่รีบร้อนออกนอกบ้าน แต่เริ่มตรวจสอบสิ่งของในครัว
น้ำมันมะกอก น้ำมันข้าวโพด และไขมันสัตว์ที่โอลัวร์เก็บไว้ ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบในถังและกระป๋องแบบเดียวกับโลกความจริง
ด้วยจิตใต้สำนึก ลูเมี่ยนหยิบน้ำมันข้าวโพดออกมาหนึ่งถังแล้ววางไว้ข้างเตา
เหตุผลเดียวที่เลือกมัน เพราะไขมันสัตว์กับน้ำมันมะกอกมีราคาแพงกว่า
จากนั้น เขาก่อไฟในเตาอย่างชำนาญด้วยถ่านหินและฟืน เพื่อเตรียม ‘คบเพลิงพร้อมจุด’ ไว้หลายๆ อัน
สำหรับเผาเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นโดยเฉพาะ
แน่นอนว่าถ้าเลือกได้ก็อยากแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่น นี่จะเป็นหนทางสุดท้าย
จัดการทั้งหมดเสร็จ เด็กหนุ่มหยิบขวานแล้วเดินออกจากบ้าน
ลูเมี่ยนพบความแตกต่างจากครั้งก่อนทันที
หมอกสีเทาจางๆ ที่ปกคลุมทั่วความฝันดูชื้นกว่าคราวก่อน และดินใต้ฝ่าเท้าดูเปียกๆ คล้ายโคลน
“ฝนตก? เหตุการณ์ในนี้ยังคงดำเนินไปภายใต้กฎเกณฑ์บางอย่างในระหว่างที่เราไม่อยู่…ในระหว่างที่เราไม่ได้ฝัน?” ลูเมี่ยนประหลาดใจเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้มองเป็นเรื่องใหญ่โต
ระหว่างกำลังระลึกถึงเรื่องเล่าแปลกๆ ของโอลัวร์ เด็กหนุ่มก็ผุดแนวคิดขึ้นมา
“หรือว่าที่นี่จะเป็นโลกความจริง…?”
“ความฝันของเราเชื่อมโยงกับโลกความจริง? และจุดประสงค์ของไพ่ทาโรต์ใบนั้น…ไพ่ทำให้เรามีสติ คือการข้ามกำแพงระหว่างความฝันกับซากปรักหักพัง?”
ลูเมี่ยนรีบมองไปรอบๆ และสังเกตเห็นว่าทั้งสองฝั่งของซากปรักหักพัง— ‘ขอบ’ ของดินแดนความฝัน—คือสายหมอกสีเทาอันไร้สิ้นสุด
“ไว้ค่อยทดสอบทีหลัง…ถึงตอนนั้น เราจะเดินไปทางหมอกสีเทาแทนซากปรักหักพัง เพื่อดูว่าไกลออกไปคือโลกความฝันที่พิสดารและไร้เหตุผล หรือดินแดนที่มีท้องฟ้า หมู่บ้าน และเมืองของจริง…”
หากเป็นอย่างแรก เท่ากับว่าที่นี่ยังเป็นความฝัน แต่ถ้าไม่ใช่ ลูเมี่ยนต้องหาให้เจอว่าดินแดนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใดของโลก
ตามความคิดของเด็กหนุ่ม ในเมื่อใช้เหรียญลูอิดอร์ ที่นี่ก็ควรอยู่ในสาธารณรัฐอินทิส แต่อาจไม่ใช่ยุคปัจจุบัน เป็นได้ทั้งสถานที่สาบสูญหรือถูกลืม อาจเก่าแก่หลายสิบปีไปจนถึงหลายร้อยปี
อย่างไรก็ดี ลูเมี่ยนรู้สึกว่ามีโอกาสค่อนข้างมาก ที่ตนจะไม่อาจเดินพ้นเขตหมอกสีเทารอบๆ
รวบรวมสติเสร็จ เด็กหนุ่มมุ่งหน้าไปยังซากปรักหักพัง
เขายังไม่ลืมว่าจุดประสงค์ของการฝันครั้งนี้คือการ ‘ลอง’ จัดการเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น
หลังจากเดินไปราวๆ หนึ่งถึงสองร้อยเมตร บนพื้นที่รกร้างที่เต็มไปด้วยโคลน ก้อนหิน และรอยแตกระแหง ลูเมี่ยนชะงักฝีเท้ากะทันหัน
เขาตระหนักถึงปัญหา
การเตรียมตัวก่อนหน้านี้มีช่องโหว่!
เดิมที บ้านของเขาไม่มีแสงไฟ เป็นสถานที่ปลอดภัยในโลกความฝันที่ปกคลุมด้วยสายหมอก แต่ตอนนี้ เตาไฟที่กำลังส่องสว่างอาจดึงดูดสัตว์ประหลาดเข้ามา จนทำให้เขตปลอดภัยไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
ด้วยจิตใต้สำนึก ลูเมี่ยนมองย้อนไปตามทางที่ตนเดินมา ตาเห็นหมอกสีเทาจางๆ อยู่ทั่วไป เห็นแสงไฟสีแดงบนหน้าต่างของบ้านสองชั้นครึ่งรวมใต้ดิน
ยังกับประภาคารในโลกมืด…
เมื่อคำนึงว่าเวลาผ่านมาก็นานพอสมควรแล้ว กลับไปดับตอนนี้คงเปล่าประโยชน์ ลูเมี่ยนเร่งฝีเท้าทันที ตรงเข้าไปในซากปรักหักพัง ซ่อนตัวอยู่ในซากตึกหลังริมๆ ที่น่าจะถล่มเพราะถูกไฟไหม้
เด็กหนุ่มสอดขวานไว้กับเข็มขัดด้านหลัง ปืนขึ้นกำแพงอย่างคล่องแคล่ว เร้นกายหลบในมุมมืดที่เกิดจากอิฐและไม้
ลูเมี่ยนคอยสังเกตการณ์จากระยะไกล มองไปทางบ้านของตนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของพื้นที่รกร้าง
ผ่านไปสักพักแล้ว แต่เขายังไม่เห็นสัตว์ประหลาดตัวใดถูกแสงไฟดึงดูดให้เข้าใกล้บ้าน
“แสงไฟคงไม่มีผลสินะ…อย่างน้อยก็ไม่ทำให้บ้านถูกสัตว์ประหลาดล้อม…” ลูเมี่ยนถอนหายใจเงียบๆ ด้วยความโล่งอก
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าตนจะเผชิญอันตรายแบบใด ขอเพียงหนีกลับบ้านให้เร็วและรีบนอนหลับก็พอ
เด็กหนุ่มเริ่มตรึกตรองหาวิธีล่อลวงและจัดการกับสัตว์ประหลาดตัวก่อนหน้า
“จากการดวลกันสั้นๆ เมื่อคราวก่อน…ทั้งความแข็งแกร่ง ความเร็ว ปฏิกิริยา และความไวของมันพอๆ กับเรา แต่เห็นได้ชัดว่ามันสู้ด้วยสัญชาตญาณดิบ ยังขาดประสบการณ์และทักษะ แถมยังไม่มีไหวพริบ…หรือก็คือ เราสามารถตอบโต้และฆ่ามันได้ด้วยการโจมตีทีเผลอ…”
“มันสับสนได้ มึนงงได้ จุดนี้ไม่ต่างจากมนุษย์…”
“นอกเหนือจากทักษะการต่อสู้ เรายังมีจุดแข็งที่เหนือกว่าสองเรื่อง…หนึ่งคือความฉลาด และสองคือฝีมือการใช้อาวุธกับเครื่องไม้เครื่องมือ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบหลักๆ ที่ทำให้มนุษย์เจ๋งกว่าสัตว์ประหลาด…”
“แค่รอบคอบหน่อยก็ล้มมันอีกครั้งได้สบายๆ …กุญแจสำคัญคือการฆ่าให้ตายสนิทต่างหาก…”
ขณะที่ลูเมี่ยนเตรียมจะส่งเสียงเพื่อล่อสัตว์ประหลาดใกล้ๆ เข้ามา เด็กหนุ่มเห็นร่างหนึ่งย่างกรายเงียบเชียบเข้ามาใกล้ซากตึกข้างๆ
ร่างของมันฉาบด้วยเลือดสีแดง ไม่มีผิวหนัง เผยให้เห็นกล้ามเนื้อ เส้นเลือด และพังผืด เป็นสัตว์ประหลาดชนิดเดียวกับก่อนหน้านี้ไม่ผิดแน่
อย่างไรก็ดี แตกต่างจากคราวก่อน สิ่งมีชีวิตตัวนี้ถือส้อมโกยมูล
ส้อมโกยมูล!
“เอามาใช้เป็นอาวุธได้ด้วยสินะ…” ใบหน้าลูเมี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง แววตาเปลี่ยนเป็นตึงเครียด
ใจเริ่มฝ่อนิดๆ แล้ว
ระหว่างที่สัตว์ประหลาดเข้ามาใกล้ในท่าหันหลัง ลูเมี่ยนสังเกตเห็นแผลเหวอะหวะบนแผ่นหลัง คอ และท้ายทอย แต่ไม่มีหนองไหลออกมา คล้ายกับว่าเริ่มหายดีแล้ว
“เป็นตัวเดียวกับที่เราเคยเจอจริงๆ …”
ลูเมี่ยนหายใจเข้าเงียบเชียบ
ในใจฝืนสงบสติ เร่งวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันแบบเร็วๆ
ในช่วงเวลาสั้นๆ ลูเมี่ยนได้ข้อสรุป
นี่คือโอกาสทอง และเมื่อมันเกิดขึ้น ก็ต้องคว้าไว้โดยไม่ลังเล!
เขาบรรจงดึงก้อนอิฐจากข้างๆ โดยไม่ให้เกิดเสียง เฝ้ารอจนกว่าสัตว์ประหลาดจะเดินไปยังตำแหน่งที่เล็งไว้
เพียงหนึ่งหรือสองก้าว สัตว์ประหลาดเข้าสู่ ‘ระยะลอบสังหาร’ ของลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มลงมือขว้างก้อนอิฐ เป้าหมายคือพื้นดินด้านหลังสัตว์ประหลาด
ตุก!
เมื่ออิฐกระแทกพื้น สัตว์ประหลาดพลันเหลียวกลับหลัง หวังค้นหาต้นตอของการโจมตี
เห็นดังนั้น ลูเมี่ยนจับขวานด้วยสองมือ กระโดดสุดแรงจากริมกำแพง พุ่งเข้าหาสัตว์ประหลาดจากฝั่งด้านข้าง
ซ่อก!
ขวานที่เพิ่มน้ำหนักจากแรงโน้มถ่วง สับใส่คอของสัตว์ประหลาดอย่างไร้ความปรานี แหวกเป็นทางไปกว่าครึ่งลำคอ
เกิดเสียงตึกตักสองครั้ง ทั้งลูเมี่ยนและสัตว์ประหลาดต่างก็ล้มลง
ลูเมี่ยนรีบลุกพรวด คว้าขวานแล้ววิ่งไปสับคอสัตว์ประหลาดเต็มแรงอีกครั้ง
หนึ่งที สองที สามที หัวของสัตว์ประหลาดถูกสับขาดโดยไม่มีโอกาสได้ตอบโต้
ระหว่างที่หัวกลิ้งออกไป ร่างกายซึ่งปราศจากผิวหนัง ชักกระตุกสองหนจนกระทั่งนอนแน่นิ่ง
ลูเมี่ยนยังไม่หยุดแค่นั้น สืบเท้าก้าวเฉียงๆ พร้อมกับหมุนด้ามขวาน เพื่อใช้สันขวานทุบศีรษะอันน่ารังเกียจเต็มแรง บดบี้ขยี้จนสิ้นซาก
จากนั้น เด็กหนุ่มหันกลับมายังร่างที่หุ้มด้วยกล้ามเนื้อ เส้นเลือด และพังผืด แล้วใช้ขวานสับใส่ย้ำๆ อีกหลายครั้ง กระหน่ำทุบหัวใจ ทุบอวัยวะสำคัญอื่นๆ เต็มแรง
ทำทั้งหมดเสร็จ ลูเมี่ยนถอยหลังสองก้าว มองดูผลงานฝีมือตนพลางหายใจหอบ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง
“นึกว่าจะฆ่าไม่ได้…ก็ไม่เท่าไรนี่หว่า!”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่กลั้นไม่อยู่ ศพไร้หัวพลันกระตุก
ลูเมี่ยนหรี่ตาลงทันที เตรียมหันหลังหนีตามสัญชาตญาณ
แต่สุดท้ายก็ข่มความปอดแหกเอาไว้ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเงื้อขวานค้างไว้
หลังจากกระตุกอยู่สองสามหน ศพแน่นิ่งไปอีกครั้ง ราวกับพยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้ายแต่ไม่สำเร็จ
ลูเมี่ยนยืนสังเกตศพอีกสักพัก จนกระทั่งมั่นใจว่าสัตว์ประหลาดตายแล้วจริงๆ
“พลังชีวิตบ้าบอดีแท้…” ลูเมี่ยนรำพันเงียบ จากนั้นก็เดินเข้าใกล้และย่อตัวลง ใช้ขวานแหวกกล้ามเนื้อและพังผืดเพื่อสำรวจศพ
ส่วนประกอบต่างๆ ของสัตว์ประหลาดไม่ต่างจากร่างกายมนุษย์มากนัก แต่พละกำลังกลับเหนือกว่าหลายขุม อวัยวะบางส่วนยังคงขยับเบาๆ แม้จะตายไปแล้ว
“ไม่มีสมบัติ ไม่มีพลังวิเศษถ่ายโอนเข้ามาในร่างกายเรา…” ลูเมี่ยนสำรวจร่างกายของตนด้วยใบหน้าผิดหวังนิดๆ
แนวคิดที่ว่า ยิ่งฆ่าสัตว์ประหลาดก็ยิ่งแข็งแกร่ง คงมีอยู่แต่ในเรื่องเล่าของโอลัวร์เท่านั้น
เด็กหนุ่มย้ายศพและหัวของสัตว์ประหลาดเข้าไปในซากตึก แล้วใช้ก้อนอิฐกับไม้ปิดไว้พอเป็นพิธี
จากนั้นก็ลงมือค้นบ้านหลังที่ถูกไฟไหม้ โดยหวังว่าจะพบสิ่งของมีค่า
…………………………………………………….