ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 133 ความทุกข์ยาก
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 133 ความทุกข์ยาก
ตอนที่ 133 ความทุกข์ยาก
ลูเมี่ยนที่ยังไม่พบคำตอบ ไม่มัวขบคิดให้ปวดหัว เพียงม้วนแขนเสื้อข้างขวาขึ้นจนเผยท่อนแขน แล้วใช้ปรอทเสื่อมทรามกรีดลงไปเบาๆ
อาการชาเล็กๆ ที่เคยลิ้มรสมาหลายหน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เด็กหนุ่มเพ่งมองหยดเลือดที่ไหลออกมา เปลี่ยนคมมีดสีเงินดำให้เปื้อนสีแดง
โดยไม่ต้องให้รอนาน ลูเมี่ยนเห็นภาพหนึ่งลอยอยู่ตรงหน้า เป็นแม่น้ำมายาสีปรอทที่ประกอบกันจากสัญลักษณ์ซับซ้อนจำนวนมาก
หยดน้ำชะตากรรมที่กักเก็บอยู่ในใบมีดประหลาด เริ่มซึมออกจากส่วนปลายสุด แล้วไหลเข้าไปในแผลที่ไม่ลึกนัก
ลูเมี่ยนเพ่งสมาธิ พยายามจำแนกชะตากรรมที่อยากแลกเปลี่ยน
เขา ‘เห็น’ ตัวเองที่ได้รับการรักษา ‘เห็น’ ตัวเองหลับลึกหลังจากปลดปล่อยอารมณ์ ‘เห็น’ ตัวเองที่กำลังจะไปหาออสตา·ทรูเอล…
ฉากเหล่านี้พร่างพรายในหัวลูเมี่ยน ราวกับเด็กหนุ่มกำลังเห็นมันด้วยตาตัวเอง
ผ่านไปสักพัก เขาได้พบชะตากรรมในช่วงไม่กี่วันก่อน ‘เห็น’ ตัวเองกำลังเดินอยู่นอกสุสานใต้ดินและพบกับวิญญาณมงต์ซูรี
เด็กหนุ่มรีบยกปลายมีดขึ้น จิ้มลงไปยังสัญลักษณ์อันซับซ้อนนั่น ซึ่งดูเหมือนกำลังรัดพันด้วยลำธารฉวัดเฉวียนสีปรอท
ชะตากรรมดังกล่าวค่อนข้าง ‘หนัก’ ลูเมี่ยนมิอาจเคลื่อนย้ายมันได้ในทีแรก
เมื่อเห็นว่าแม่น้ำมายาใกล้เลือนหาย ภาพในหัวเริ่มจางลง เด็กหนุ่มรีบถ่ายพลังวิญญาณเกือบทั้งหมดเข้าไปในมีด
หลังจากพยายามเคลื่อนย้ายมันเป็นหนที่สอง ในที่สุด ‘ชะตากรรมที่ได้พบวิญญาณมงต์ซูรี’ ก็ถูกแยกออกจากแม่น้ำปรอทมายา ควบแน่นกลายเป็นหยดเล็ก เหมือนกับปรอทหยดจากเทอร์โมมิเตอร์ที่แตก
หยดของเหลวลวงตาผสานเข้ากับมีดสั้นอย่างรวดเร็ว
ลูเมี่ยนเพิ่งจะได้หายใจคล่องคออย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก เพิ่งจะสบายใจว่าตนรอดพ้นจากวิญญาณมงต์ซูรีแน่นอนแล้ว และปรอทเสื่อมทรามกลับมาเป็น ‘มีดคำสาป’ อีกครั้งหนึ่ง
เด็กหนุ่มทำแผลอย่างง่าย แล้วทันใดนั้นก็เกิดลางสังหรณ์ประหลาด
ลูเมี่ยนตามลางสังหรณ์ดังกล่าวไป เดินออกจากโรงแรมระกาทอง ผ่านกลุ่มคนเมาที่บ้างก็ตะโกนโหวกเหวก บ้างก็ร้องไห้ ผ่านกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้เอาเป็นเอาตาย เดินกลับไปยังถนนไนติงเกล หยุดอยู่หน้าซอยที่ตนเคยดวลกับมาร์โกต์
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินเข้าไปในซอยอย่างระแวดระวัง กระโดดข้ามเครื่องกีดขวางนั่น
ณ ตรงนั้น บางสิ่งบางอย่างกำลังนอนนิ่งภายใต้เงาความมืด
ลูเมี่ยนพลันกระจ่าง พลางเดินดุ่มเข้าไปหามัน คุกเข่าลง หยิบสิ่งนั้นด้วยฝ่ามือข้างซ้ายที่สวมถุงมือ
วัตถุดังกล่าวคือกระเป๋าเงินโป่งๆ สีน้ำตาล
“มาร์โกต์ทำตกไว้? เงินที่สมุนของมันหามาให้?” ลูเมี่ยนพอจะเข้าใจแล้ว ว่าการแลกเปลี่ยนชะตากรรมทำงานอย่างไร
แม้เด็กหนุ่มจะจำไม่ได้เลยว่า ระหว่างที่ตนสู้กับมาร์โกต์อย่างดุเดือด กระเป๋าเงินของอีกฝ่ายหลุดหล่นลงไปตอนไหน แต่ไม่ว่าจะตกตั้งแต่ตอนนั้น หรือถูก ‘เติม’ เข้ามาในภายหลัง ก็ไม่มีผลกับความจริงที่ว่า ลูเมี่ยนได้รับเงินก้อนนี้มาแล้ว
เขาดึงธนบัตรปึกหนาๆ ออกมา เทเหรียญทอง เงิน และทองแดงออกจากถุงเหรียญ ก่อนจะทิ้งกระเป๋าเงินไว้แล้วเดินออกจากซอย
เมื่อกลับถึงห้อง 207 โรงแรมระกาทอง ลูเมี่ยนจุดโคมไฟคาร์ไบด์ เริ่มนับของรางวัลจากการล่า
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,265 เฟลคิน 15 โกเปต์ ส่วนใหญ่เป็นธนบัตรสิบเฟลคินและต่ำกว่า มีใบใหญ่แค่ธนบัตร 200 เฟลคินหนึ่งใบ ธนบัตร 100 เฟลคินหนึ่งใบ 50 เฟลคินสองใบ เหรียญลูอิดอร์อีกสองสามเหรียญ
มองดูเงินเหล่านั้นสักพัก ลูเมี่ยนพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
“รับบริจาคจาก ‘คนใจบุญ’ สิบครั้ง ยังไม่เท่าการฆ่าหัวหน้าหน่วยครั้งเดียว…”
แน่นอน เงินเหล่านี้มิใช่ของมาร์โกต์ทั้งหมด อีกฝ่ายเพียงครอบครองแทนคนในแก๊งหนามพิษ
ลูเมี่ยนหยิบธนบัตรใบเล็กที่มีมูลค่ารวมสองร้อยเฟลคินออกมา ถือมันออกจากห้อง 207 เดินขึ้นบันไดไปทีละขั้น
ไม่ถึงหนึ่งนาที เขามาถึงชั้น 4 และหยุดยืนอยู่หน้าห้องหมายเลข 8
เด็กหนุ่มยังไม่ลืมว่า ที่มาร์โกต์มาโรงแรมระกาทองในตอนเย็น ก็เพื่อรีดไถจากโสเภณีผิดกฎหมายนามว่าอีแซงซ์
ในตอนนั้น คนที่รับผิดชอบคงเป็นลูกน้องสักคนของมาร์โกต์ แต่ในภายหลัง เงินก้อนดังกล่าวถูกส่งถึงมือมาร์โกต์ไม่ผิดแน่
ลูเมี่ยนไม่เคาะประตู เพียงโน้มตัวลง ยัดปึกธนบัตรผ่านช่องใต้ประตูเข้าไป
เด็กหนุ่มรีบดีดตัวยืนตรง หันหลังเดินกลับบันได อันตรธานหายไปกับทางเดินอันมืดมิด
…
ลูเมี่ยนนอนจนถึงหกโมงเช้า โสตประสาทก้องกังวานไปด้วยเสียงระฆังวิหาร
เมื่อคืนเขาหลับสบายมาก อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่า โอสถนักยั่วยุถูกย่อยคืบหน้าไปบางส่วน
“เช้านี้ไปหาออสตา·ทรูเอล เพื่อยืนยันว่ามิสเตอร์ K ตอบกลับมาบ้างหรือยัง… แวะไปซื้อเสื้อผ้ากับเครื่องสำอางดีๆ ในเขตหอดูดาว… ตอนบ่ายไปดูร้านขายเสื้อผ้าถูกๆ ที่เขตตลาดคนซื่อ…” ลูเมี่ยนไม่รีบร้อนลุกจากเตียง เพียงนอนแช่พลางออกแบบตารางกิจกรรม
หลังรอดพ้นจากภัยคุกคามของวิญญาณมงต์ซูรี เด็กหนุ่มวางแผนแปลงโฉมตัวเองใหม่
นอนเล่นบนเตียงสักพัก ลูเมี่ยนเดินออกจากห้อง 207 อย่างไม่รีบ เข้าห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดร่างกายเบื้องต้น จากนั้นก็เดินลงชั้นล่าง ซื้อไซเดอร์ (Cider) แอปเปิลครึ่งลิตร กับขนมปังไส้หมูจากแผงลอย
หลังจากท้องอิ่ม เด็กหนุ่มตรงไปยังลานจัตุรัสวิหารใกล้ๆ เพื่อหามุมเงียบฝึกวิชาต่อสู้ที่โอลัวร์เคยสอน
จนกระทั่งเกือบเก้าโมงครึ่ง ลูเมี่ยนกลับโรงแรมระกาทอง ตั้งใจว่าจะพักผ่อนสักหนึ่งชั่วโมงก่อนจะออกไปหาออสตา·ทรูเอล
พอเข้ามาในโถงโรงแรม ก็เห็นแม่บ้านสามคนกำลังทำความสะอาดคราบสกปรก โดยมีนางเฟลล์คอยคุม
เจ้าของโรงแรมจะจ้างคนมาทำความสะอาดทุกวันจันทร์สินะ… ลูเมี่ยนถอนสายตากลับ เดินตรงไปทางบันได
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังอึกทึกมาจากด้านบน
ไม่ถึงสิบวินาที ชาร์ลีที่สวมเสื้อเชิ้ตลินิน กางเกงขายาวสีเข้ม รองเท้าหนังไร้เชือก ปรากฏตัวต่อหน้าลูเมี่ยน
“นายไม่ไปโรงแรมหรือไง?” ลูเมี่ยนถามด้วยท่าทีปนฉงน
ชาร์ลีหาว กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือตื่นเต้น
“นายไม่รู้หรือ? วันนี้ฉันหยุด”
“เราทุกคนจะได้หยุดหนึ่งวันต่อสัปดาห์ เลือกวันเองได้”
ลูเมี่ยนยิ้ม
“วันหยุดแบบนี้ คุณนายอลิซไม่ลด ‘เงินเดือน’ เอาหรือไง?”
ชาร์ลียิ้มเขินๆ
“เธอก็มีงานสังคมของเธอนะ”
ขณะทั้งสองพูดคุยกัน กลิ่นเหม็นๆ ลอยโชยมาจากประตูใหญ่ คู่สามีภรรยารูเอลและมิเชลที่ค่อนข้างเตี้ย สวมเสื้อผ้าเก่าโทรม ผมสีหงอก เดินเข้ามาในโรงแรม
“พวกคุณไม่ได้ไปแถวๆ สถานีรถไฟไอน้ำกันหรือ?” ชาร์ลีทักทายอย่างเป็นกันเอง
รูเอลเดินเข้ามาใกล้ หยุดโดยเว้นระยะห่างพอประมาณแล้วพูด
“วันนี้ที่เขตตลาดวุ่นวายนิดหน่อย เราจึงตัดสินใจหยุดพักกัน”
“เกิดอะไรขึ้น?” ลูเมี่ยนถามด้วยความ ‘สงสัย’
รูเอลลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว
“มาร์โกต์แห่งแก๊งหนามพิษตายแล้ว สมาชิกแก๊งจำนวนหนึ่งกำลังล่าตัวใครสักคนอยู่ อาจเกิดการปะทะกับแก๊งอื่นได้ง่ายๆ ตำรวจก็มาคุมเชิงด้วย”
“มาร์โกต์ตายแล้ว?” ชาร์ลีโพล่งด้วยน้ำเสียงตกตะลึง
เมื่อวานนี้เขาเพิ่งคิดว่าอีกฝ่ายสมควรตาย มาวันนี้กลับตายจริง?
รูเอลพยักหน้าขึงขัง
“ได้ยินเขาพูดกันอย่างนั้นน่ะ”
“เฮ้อ… วันนี้คงออกไปหาเงินไม่ได้แล้ว”
ภรรยาของเขา มิเชล พูดปลอบใจ
“ไม่ต้องออกก็ไม่ต้องกินมื้อกลางวัน ก็พอช่วยประหยัดเงินได้บ้าง”
โดยไม่รอให้ลูเมี่ยนซักไซ้สถานการณ์ด้านนอก ชาร์ลีฉุกคิดบางอย่างได้ จึงรีบหันกลับแล้ววิ่งขึ้นข้างบน
ลูเมี่ยนตามอีกฝ่ายขึ้นไป
ชาร์ลซอยเท้าถี่ๆ จนไม่กี่อึดใจก็ถึงชั้น 4 ก่อนจะวิ่งไปหยุดอยู่หน้าห้องหมายเลข 8
หายใจหอบอยู่สักพัก เขาเริ่มเคาะประตูไม้ดัง ‘ตึงตึงตึง’
“ใคร?” น้ำเสียงเจือความแหบแห้งของสตรีดังมาจากด้านใน
ชาร์ลีตะโกนบอกชื่อตัวเอง
“เคยบอกไปแล้วนี่ว่าฉันพักตอนเช้า? มาอีกทีบ่ายๆ ก็แล้วกัน สิบเฟลคินนะ คราวนี้ไม่ลดให้จริงๆ แล้ว!” เสียงของหญิงสาวหลังประตู ตอบกลับอย่างไม่พอใจ พลางเปิดประตูห้องออกมารับ
เป็นครั้งแรกที่ลูเมี่ยนได้พบกับหญิงสาวนามว่าอีแซงซ์ ผมสีป่านปล่อยตามธรรมชาติ ห้อยคล้อยอยู่บนไหล่ นัยน์ตาสีเดียวกับเส้นผมเผยท่าทีหวาดระแวง ใบหน้าเจือความตึงเครียดอยู่หลายส่วน
อายุราวๆ ยี่สิบสามยี่สิบสี่ หน้าตามิได้สวยฟ้าประทาน แต่ดูรวมๆ แล้วน่ารัก ทั้งผิวหน้าและเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ชุดกระโปรงยาวสีแดงเผยผิวพรรณอันขาวเนียนบนเนินอก
ชาร์ลีกล่าวกับอีแซงซ์อย่างตื่นเต้น
“เธอได้ข่าวหรือยัง? มาร์โกต์ตายแล้ว!”
“หมอนั่นตายแล้วจริงๆ!”
“…” อีแซงซ์ตะลึงงันจนนิ่งไป
ผ่านไปสักพัก เสียงของเธอเปลี่ยนเป็นแหลมเล็ก
“ไอ้ปีศาจนั่น… ตายแล้วจริงๆ หรือ?”
“จริงสิ” ชาร์ลีพยักหน้าโดยปราศจากลังเล “เธอเป็นอิสระจากไอ้ปีศาจนั่นแล้ว! กลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้แล้ว!”
อีแซงซ์กลอกตาไปรอบๆ อย่างเหม่อลอย พบเพียงแววตาไร้อารมณ์ของลูเมี่ยน กับสีหน้าอันตื่นเต้นของชาร์ลี
“มันตายแล้ว… จริงๆ ใช่ไหม?” ขณะพึมพำ อีแซงซ์นึกถึงปึกธนบัตรที่โผล่ในห้องเธออย่างลึกลับ
เธอเริ่มเชื่อว่ามาร์โกต์ตายจริง ไม่นานการมองเห็นก็พร่ามัว
น้ำตาไหลรินทีละหยด หญิงสาวคุกเข่าลงอย่างอ่อนแรง ซุกหน้าไว้กับแขนทั้งสองข้าง
เสียงสะอื้นเริ่มดัง และดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกขณะ
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเริ่มดังมาจากทางบันได
ลูเมี่ยนหันหัวไปมอง แลเห็นชายคนหนึ่ง สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว แจ็กเกตสีดำ กำลังเดินขึ้นบันไดมา
ตามหลังด้วยอดีตลูกน้องทั้งสามของมาร์โกต์
ชายหนุ่มเจ้าของผมสีน้ำตาลหยักศกเป็นลอน บนใบหน้ามีร่องเส้น เดินเข้าไปหาอีแซงซ์ที่กำลังร่ำไห้ แล้วก้มตัวลงพูด
“ฉันคือวิลสันจากแก๊งหนามพิษ นับตั้งแต่นี้ไป ฉันจะคอยดูแลเธอแทนมาร์โกต์”
สีหน้ากระตือรือร้นของชาร์ลีพลันแข็งค้าง
เสียงสะอื้นของอีแซงซ์ก็หยุดลงเช่นกัน
หญิงสาวบรรจงยกใบหน้าที่รื้นไปด้วยน้ำตาขึ้นมา แลเห็นรอยยิ้มของวิลสัน กับร่มเงาที่ร่างของอีกฝ่ายสร้างขึ้น
เงาดังกล่าวกว้างใหญ่จนหลบยังไงก็ไม่พ้น
ลูเมี่ยนเงียบมองทุกสิ่ง แล้วจึงเงยหน้าเบาๆ จนยากจะสังเกตเห็น
…
ขณะเดินลงชั้นหนึ่ง ชาร์ลีที่ปิดปากเงียบมาตลอดทาง ถามอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ความทุกข์ของคนจน… ไม่มีวันสิ้นสุดเลยหรือไง?”
“ฉันชอบประโยคหนึ่งที่โอลัวร์·ลีเขียนเอาไว้” ลูเมี่ยนตอบหน้านิ่ง “ในบางครั้ง ที่ผิดไม่ใช่เรา แต่เป็นโลกใบนี้”
สิ้นคำดังกล่าว มีคนสามคนเดินสวนขึ้นมาด้วยเสียงฝีเท้าดังๆ
เป็นกลุ่มตำรวจสวมเครื่องแบบสีดำ เสื้อกั๊กสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาว สวมบูตหนังไร้เชือก
ตำรวจคนหน้าสุดสูงราวๆ 1.85 เมตร เหล่มองชาร์ลีกับลูเมี่ยน แล้วชะงักฝีเท้ากะทันหัน
เขาเลื่อนมือมาจับปืนที่เหน็บเอว เอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ
“ชาร์ลี·คอร์แรงต์?”
ชาร์ลีผงะ
“ใช่ครับ ผมเอง… มีอะไรให้ช่วยหรือครับ?”
ตำรวจขยิบตาให้เพื่อนร่วมงาน แล้วหยิบกุญแจมือเหล็กออกมา
เมื่อพวกพ้องอีกสองคนเข้ามาล้อมชาร์ลี ตำรวจคนดังกล่าวพูดเสียงขรึม
“คุณคือผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม เราขอจับกุมคุณ”
“ฆาตกรรม?” ชาร์ลีทำหน้าตกตะลึงปนหวาดกลัว
ลูเมี่ยนก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
ตำรวจคนนั้น กล่าวพลางใส่กุญแจมือให้ชาร์ลีโดยมีพรรคพวกคอยช่วย
“คุณนายอลิซเสียชีวิตแล้ว!”