ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 135 ยืนยันสถานการณ์
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 135 ยืนยันสถานการณ์
ตอนที่ 135 ยืนยันสถานการณ์
Ink Stone_Fantasy
เจ้าหน้าที่ตำรวจชายคนนั้นวางหนังสือพิมพ์ลง เงยหน้ามองลูเมี่ยน ถูกท่าทางอันเปิดเผยและมั่นใจครอบงำ ก่อนจะชี้ไปยังสมุดบันทึกกับปากกาคอแร้งที่วางตรงหน้า
“ขอดูใบอนุญาตทนายด้วยครับ และลงทะเบียนด้วยชื่อของคุณ กับเหตุผลที่มา”
อะไรนะ ต้องแสดงใบอนุญาตทนาย? ลูเมี่ยนที่เป็นทนายปลอม ตกตะลึงอยู่ในใจ
ในหลายๆ ฉากของนิยาย หรือในบางคอลัมน์ของหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่ว่าการแสดงตัวเป็นทนายอาสา จะช่วยให้พบลูกความได้ทันทีหรอกหรือ?
ลูเมี่ยนโน้มตัวลง หยิบปากกาคอแร้งสีดำขึ้นมา ความคิดแล่นพล่าน เร่งหาทางออกให้กับสถานการณ์อันยากลำบาก
ในเวลาเดียวกัน เด็กหนุ่มสังเกตเห็นอย่างเฉียบแหลมว่า ตำรวจชายฝั่งตรงข้ามกลับไปสนใจหนังสือพิมพ์ ‘หนุ่มสาวชาวทรีอาร์’ ที่ตัวเองเพิ่งวางลง จุดสนใจคือการแข่งจักรยานรอบกรุงทรีอาร์ที่จัดขึ้นในทุกปี
ก็ไม่ได้อยากดูใบอนุญาตทนายเท่าไรนี่… ลูเมี่ยนผุดความคิดทันที จึงเขียนชื่อ ‘ตัวเอง’ ลงไป โดยเลียนแบบลายมือของโอลัวร์
“กิโยม·ปิแยร์ ทนายความอาสา มาพบกับลูกความ ชาร์ลี·คอร์แรงต์”
เขียนเสร็จแล้ว ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน แกล้งทำเป็นมองด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ
ทันใดนั้น ใบหน้าของเด็กหนุ่มฉายแววประหลาดใจปนยินดี ยกแขนขึ้นมาพร้อมกับตะโกน
“กะหล่ำปลีน้อยของฉัน ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ!”
หลายคนหันขวับมาด้วยสายตางุนงง ลูเมี่ยนบิดตัวกลับมาเล็กน้อย พยักหน้าให้ตำรวจชายที่รับผิดชอบการลงทะเบียน พลางกล่าวเสียงเบา
“พอดีผมเจอเพื่อนน่ะครับ”
ประโยคนี้แฝงนัยว่า ‘เดี๋ยวจะกลับมาแสดงใบอนุญาตทนายความ’
ไม่รอคำตอบจากตำรวจชาย ลูเมี่ยนรีบเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องโถง
ตำรวจชายหยิบสมุดลงทะเบียนขึ้นมาดู ก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือพิมพ์ ‘หนุ่มสาวชาวทรีอาร์’ ต่อ
เมื่อลูเมี่ยนไปถึงมุมโถง ก็บิดตัวเล็กน้อย เหล่มองตำรวจชายที่รับผิดชอบการลงทะเบียน เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้แยแสเลยสักนิด จึงเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนแกมขอโทษ กล่าวกับหลายๆ คนที่มองมาทางตนด้วยความสงสัย
“ต้องขอโทษด้วยครับ พอดีผมจำคนผิด”
เด็กหนุ่มรีบคว้ากระเป๋าเอกสาร เดินไปหาตำรวจที่ตน ‘เลือก’ ไว้เมื่อสักครู่ – ตำรวจที่เห็นเขาเดินออกจากจุดลงทะเบียน
“ผมอยากพบกับลูกความของผม ชาร์ลี·คอร์แรงต์” ลูเมี่ยนเชิดคางขึ้นเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงแฝงความเย่อหยิ่ง
ในสาธารณรัฐอินทิส ทนายความมีสถานะทางสังคมสูงกว่าตำรวจทั่วไป
ตำรวจคนนั้นมองไปยังจุดลงทะเบียน เห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จึงพยักหน้าและพูด
“เดี๋ยวผมไปถามคนที่รับผิดชอบคดีให้”
สิบห้านาทีต่อมา ลูเมี่ยนได้พบกับชาร์ลีในห้องปิดทึบ โดยมีตำรวจสองนายเฝ้าอยู่หน้าประตู
“คุณคือ?” ชาร์ลีนั่งลง มองลูเมี่ยนฝั่งตรงข้ามด้วยความสงสัย
สีหน้าของเขาดูซีดเซียว ไม่เหมือนแต่ก่อนตอนที่มีเคยมีเลือดฝาด แววตาเจือความหวาดกลัว
เขาเคยได้ยินเรื่องทนายอาสาจากสมัยที่คุยเล่นกับเด็กเสิร์ฟคนอื่นในโรงแรม จึงเข้าใจว่าทนายความเหล่านี้มาจากรัฐบาลหรือองค์กรการกุศล เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ไม่มีเงินทอง แต่ชาร์ลีก็ไม่คิดว่าทนายอาสาจะมาหาตนหลังจากถูกจับเพียงครึ่งวันเท่านั้น
ไอ้พวกที่ใส่ปกเสื้อปลอม ทำงานกันขยันขันแข็งขนาดนี้เชียว?
ลูเมี่ยนเผยรอยยิ้ม ถอดแว่นตาสีดำ ขยิบมุมตาขวาเล็กน้อย แล้วใช้เสียงจริงของตนพูดกับอีกฝ่าย
“จำผมไม่ได้หรือ? ทนายความอาสาของคุณไงครับ”
ชาร์ลีตกตะลึงไปชั่วขณะ เพ่งมองอย่างตั้งใจนานหลายวินาที ก่อนจะค่อยๆ ทำเหมือนเข้าใจ
พอเขาเตรียมจะพูด ลูเมี่ยนก็ใส่แว่นกลับไปแล้วชิงพูดก่อน
“เงียบ แล้วฟังผม”
“อ้อ… ใช่… ได้ครับ” ชาร์ลีรีบตั้งสติกลับมา
ลูเมี่ยนเก็บรอยยิ้ม เน้นย้ำเสียงเคร่งขรึม
“ผมจำเป็นต้องรู้รายละเอียดทั้งหมดของคดี จึงจะสามารถช่วยคุณพ้นผิดได้”
“จริงหรือ?” ชาร์ลีร้อนรนถามกลับ ท่าทางเหมือนคนจมน้ำตะเกียกตะกายคว้าฟางเส้นสุดท้าย
ลูเมี่ยนสอบถามเสียงขรึม
“คุณกับคุณนายอลิซอยู่ในห้องตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมงครับ”
ชาร์ลีขยี้ใบหน้า พยายามระลึกด้วยความทรมาน
“คุณนายอลิซเรียกใช้บริการห้องพัก… ผมเข้าไปในห้องเธอช่วงก่อนสองทุ่ม อยู่กับเธอตลอดเวลาจนคุณนายรู้สึกเหนื่อย… ราวๆ เที่ยงคืนถึงจะกลับ ตอนนั้นเธอเพิ่งจะเริ่มนอน ยังไม่หลับ ยังมีชีวิตอยู่แน่นอน!”
สองทุ่มถึงเที่ยงคืน? ทุกวัน? เงินห้าร้อยเฟลคินก็ไม่ได้หามาง่ายๆ เหมือนกันสินะ… ลูเมี่ยนครุ่นคิดอยู่ในใจ แล้วจึงกล่าวด้วยบรรยากาศใกล้เคียงทนายความตัวจริง
“คุณต้องซื่อสัตย์กับผมนะ การปิดบังใดๆ สุดท้ายมันจะทำร้ายคุณเอง”
“ผมไม่ได้โกหก เรื่องราวมันเป็นแบบนั้นจริงๆ!” ด้วยคำพูด สีหน้า ท่าที และน้ำเสียงของลูเมี่ยน ชาร์ลีเริ่ม ‘อิน’ ราวกับบุคคลตรงหน้าคือทนายความอาสาตัวจริง
เมื่อลูเมี่ยนสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเสร็จ ก็เปลี่ยนคำถาม
“หลังจากคุณได้รับความโปรดปรานจากคุณนายอลิซ มีใครแสดงความอิจฉาคุณบ้างไหม?”
“มากมาย… ทั้งเด็กเสิร์ฟฝึกหัดและประจำ หลายคนอิจฉาผม…” ชาร์ลีเล่าพลางทำหน้านึกย้อน
ทั้งสองคุยเรื่องนี้กันสักพัก จนกระทั่งลูเมี่ยนหยิบภาพคนออกมา ส่งให้ชาร์ลีดู
“ลองดู แล้วตอบผมว่าคุณรู้จักคนในรูปไหม”
ชาร์ลีรับมาดู แล้วร้องอุทานด้วยความตกตะลึง
“นี่มัน… นักบุญวีฟไม่ใช่หรือ?”
ทำไมถึงได้ใส่ชุดกระโปรงยาวเย้ายวนที่เผยเนินอกล่ะ?
“ผมตรวจสอบจนมั่นใจแล้วว่า ภาพที่ติดอยู่บนผนังห้องของคุณ ไม่ใช่ภาพของนักบุญวีฟ แต่เป็น ‘ผีเสื้องานสังคม’ คนดัง ซูซานน่า·มาติส” ลูเมี่ยนใช้คำว่า ‘ผีเสื้องานสังคม’ แทน ‘โสเภณี’ เพื่อเลี่ยงการทำให้ชาร์ลีถูกกระทบกระเทือนจิตใจ
“อะไรนะ?” ชาร์ลีมองด้วยสายตาสับสน
นี่เราสวดวิงวอนถึงผีเสื้องานสังคม ไม่ใช่เทวทูตผู้พิทักษ์?
แล้วทำไมโชคชะตาถึงดีขึ้นล่ะ?
ไม่สิ ถ้าดีขึ้นจริงคงไม่ถูกจับมาอยู่สถานีตำรวจ…
ลูเมี่ยนหยิบรูปคนออกมาอีกใบ นางแบบยังคงเป็นซูซานน่า·มาติส เพียงแต่ทาผมของผีเสื้องานสังคมรายนี้ให้เป็นสีเขียว กอปรกับการ ‘ปรับแต่ง’ อีกเล็กน้อย
“แล้วคนนี้ล่ะ รู้จักไหม”
ชาร์ลีมองอย่างละเอียดอยู่หลายสิบวินาที สีหน้าค่อยๆ เผยอาการตกตะลึง
“นี่มันเธอนี่! ทำไมถึงได้…?”
“รู้จักใช่ไหมครับ?” ลูเมี่ยนยิ้ม
ชาร์ลีเงยหน้าขึ้น พูดออกมาราวกับคนวิญญาณหลุดออกจากร่าง
“ธ…เธอคือ นางเอกในความฝันอันสวยงามของผม…”
“ผมเคยเล่าให้คุณฟังไปแล้วนี่… มีช่วงหนึ่งผมฝันดีติดกันหลายคืน ฝันถึงการทำเรื่องอย่างว่ากับเธอ… เป็นคนที่เร่าร้อนมาก… ขณะเดียวกันก็อ่อนโยนมาก…”
“ค…คุณรู้ได้ยังไงว่าผมฝันถึงเธอคนนี้? ผมไม่เคยบอกใครเลยนะ! แล้วทำไมถึงมีรูปของเธอล่ะ…?”
ชาร์ลีมองลูเมี่ยนด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
นี่คือเด็กหนุ่มจากภาคใต้ที่เรารู้จักจริงๆ น่ะหรือ?
นอกจากถนัดเรื่องเล่นพิเรนทร์ แล้วก็หน้าตาค่อนไปทางดี เขาก็ไม่มีความพิเศษอะไรอีก!
ลูเมี่ยนยกมุมปาก ยิ้มมองชาร์ลีก่อนจะพูด
“ลองดูอีกครั้ง เพ่งมองดีๆ ว่าคนในรูปคือใคร”
ชาร์ลีจ้องรูปสตรีผมสีเขียวด้วยสายตาไม่เข้าใจ
ขณะมองๆ ไป สีหน้าของเขาพลันเผยอาการตกตะลึง ร่างกายขยับถอยหลังโดยอัตโนมัติ จนเก้าอี้ส่งเสียงร้องเอี๊ยดอ๊าด
“ม…ไม่มีทาง! ซ…ซูซานน่า… เธอคือโสเภณีคนนั้น!” ชาร์ลีโพล่งตะโกนอย่างมิอาจควบคุม
การค้นพบครั้งนี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับตนถูกวิญญาณมารตามหลอกหลอน
หลังจากสวดวิงวอนต่อภาพของโสเภณี ไม่เพียงจะหลุดพ้นจากภาวะอดอยากได้รวดเร็ว หางานใหม่ได้ทันที แต่ยังคอยฝันถึงเธออยู่เนืองนิจ แถมยังได้หลับนอนด้วยกัน!
ถ…ถ้าไม่เรียกว่าผีหลอกแล้วจะเป็นอะไรไปได้?
ลูเมี่ยนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ขอแสดงความยินดีด้วย อย่างน้อยคุณก็ไม่ได้ตาบอด”
ความตั้งใจที่จะช่วยชาร์ลี และการแกล้งให้ชาร์ลีกลัวด้วยข้อเท็จจริง เป็นสองสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
ประตูห้องสอบปากคำถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าด ตำรวจที่เฝ้าอยู่ด้านนอกถามเข้ามาด้วยท่าทีระแวดระวัง
“เกิดอะไรขึ้น คุณตะโกนทำไม?”
“ผมช่วยให้เขานึกถึงรายละเอียดสำคัญขึ้นมาได้น่ะครับ” ลูเมี่ยนอธิบายอย่างสงบ
ชาร์ลีกลับมามีสติอย่างรวดเร็ว
“ใช่! ผมจำเรื่องสำคัญได้แล้ว!”
สำคัญอย่างแท้จริง!
ตำรวจรายนั้นไม่ถามต่อ เพียงปิดประตูห้องกลับไป
ชาร์ลีรีบโน้มตัวมาข้างหน้า กดมือลงบนขอบโต๊ะ ถามอย่างร้อนรน
“ผมถูกวิญญาณมารหญิงสาวหลอกเข้าแล้วใช่ไหม?”
“ไม่เสมอไปว่าต้องเป็นวิญญาณอาฆาตหรือวิญญาณมาร” เมื่อลูเมี่ยนเห็นสีหน้าของชาร์ลีผ่อนคลายลงเล็กน้อย ก็เสริมต่อทันที “มันอาจจะแย่ยิ่งกว่านั้น”
ในสายตาเด็กหนุ่ม สีหน้าของชาร์ลีกลายเป็นห่อเหี่ยวอย่างรวดเร็ว
หลังจากเงียบไปสักพัก ชาร์ลีถามอย่างเป็นกังวล
“ค…คุณกำลังจะบอกว่า คุณนายอลิซถูกวิญญาณมารฆ่าตาย?”
“ยังไม่แน่ชัด” ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน “ผมต้องไปดูศพของคุณนายอลิซก่อน”
“คุณจะตรวจสอบศพเพื่อหาสาเหตุการตายที่แท้จริง?” ชาร์ลีรู้สึกห่างไกลกับเพื่อนบ้านรายนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ลูเมี่ยนได้ยิน แต่ไม่ตอบ
ในฐานะทนายอาสาของชาร์ลี เขามีสิทธิ์ตรวจสอบศพภายใต้ความดูแลของตำรวจ หรือจะติดต่อให้แพทย์นิติเวชอิสระมาช่วยตรวจก็ยังได้
หลังจากลูเมี่ยนลงนามในเอกสารสองฉบับด้วยชื่อ ‘กิโยม·ปิแยร์’ เขาถูกนำทางไปยังชั้นใต้ดินของสถานีตำรวจเขตตลาด จนกระทั่งถึงห้องเก็บศพ
ตำรวจที่คอยนำทาง ดึงลิ้นชักออกมา เปิดถุงเก็บศพ แล้วชี้ไปที่ศพหญิงสาว
“นี่คือคุณนายอลิซ”
คุณนายอลิซดูแลตัวเองได้ค่อนข้างดีสมัยยังมีชีวิต มีเพียงริ้วรอยบางๆ ตรงหางตาและมุมปากเท่านั้น คิ้วสีน้ำตาลดูดกหนา กล้ามเนื้อแก้มเริ่มหย่อนคล้อย ผิวพรรณซีดเซียวเหมือนคนตาย
ลูเมี่ยนมองผ่านๆ แล้วพูดกับตำรวจ
“ผมตรวจสอบเสร็จแล้ว”
เด็กหนุ่มมิใช่นักชันสูตรศพ การมาตรวจสอบศพมิใช่จุดประสงค์ที่แท้จริง เป้าหมายของเขามีเพียงการยืนยันตำแหน่งของศพคุณนายอลิซเท่านั้น
เดินออกจากห้องเก็บศพ ลูเมี่ยนหันไปถามตำรวจที่คอยตามประกบตน
“ห้องน้ำใกล้ๆ อยู่ตรงไหน”
“เดินไปจนสุดทางแล้วเลี้ยวขวา” แม้ตำรวจจะดูเบื่อหน่าย แต่ก็ยอมตอบคำถาม
ลูเมี่ยนเร่งฝีเท้า เดินเข้าห้องน้ำบนชั้นใต้ดิน
เด็กหนุ่มล็อกประตูไม้จากด้านใน แล้วเริ่มเต้นระบำเรียกสถิตในห้องอันคับแคบ
ระหว่างเต้นอย่างบ้าคลั่ง เต้นอย่างบิดเบี้ยว สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในห้องน้ำ ร่างอันพร่ามัวทยอยปรากฏขึ้นทีละหนึ่ง ใบหน้าซีดเซียวเขียวคล้ำจำนวนมากมองมาทางลูเมี่ยนอย่างเหม่อลอย
ส่วนใหญ่เป็น ‘ความยึดมั่นถือมั่น’ ที่ยังหลงเหลือของผู้ล่วงลับ
ลูเมี่ยนไม่เคยพบเจอเป็นจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน ชั่วขณะหนึ่ง เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกวิญญาณล้อมไว้ทุกทิศ
เขาพยายามสงบจิตใจ พอเต้นมาได้ครึ่งทางก็เริ่มมองหาคุณนายอลิซ
จนกระทั่งเห็นหญิงสาวเจ้าของคิ้วสีน้ำตาลดกหนา ใบหน้าค่อนข้างโมโหร้าย
ลูเมี่ยนชักกริชเงินพิธีกรรมออกมา กรีดผิวหนังตัวเองเพื่อสร้างบาดแผล แล้วออกคำสั่งให้คุณนายอลิซสิงร่างตน
อีกฝ่ายกลืนเลือดหยดดังกล่าวเข้าไป แล้วเข้าสิงร่างลูเมี่ยนทันที
เด็กหนุ่มเย็นวาบไปทั้งตัว หน้าอกเริ่มหนักหน่วง
การหายใจเป็นไปอย่างยากลำบาก
โดยไม่ลังเล เขาเลือก ‘ขยาย’ ความยึดมั่นถือมั่นของคุณนายอลิซ โดยไม่สนใจจะเลือกความสามารถหรือจุดเด่นของเธอ
การมองเห็นของลูเมี่ยนมืดลงทันที แลเห็นคุณนายอลิซนอนอยู่บนเตียง ปากและจมูกถูกหมอนขนเป็ดอุดไว้ แต่ไม่มีใครกำลังกดหมอนใบนี้!
……………………………………………………..