ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 137 คึกคัก
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 137 คึกคัก
ตอนที่ 137 คึกคัก
หลังจากสวมถุงมือ ตรวจสอบกระดาษจดหมายอย่างละเอียด ในที่สุดลูเมี่ยนก็โล่งใจ
คราวนี้ไม่มีปัญหา!
การประกอบพิธีกรรมอัญเชิญวิญญาณสามครั้งติดๆ ทำให้เด็กหนุ่มเหนื่อยล้าอยู่หลายส่วน
ครุ่นคิดสักพัก ลูเมี่ยนกล่าวกับสัตว์โลกวิญญาณที่มีรูปร่างคล้ายกระต่าย
“ช่วยอะไรฉันอีกสักเรื่องได้ไหม?”
‘กระต่าย’ คิดอย่างจริงจังหลายอึดใจ แล้วจึงผงกศีรษะเบาๆ
ลูเมี่ยนเปิดกระเป๋าเสื้อของชุดคนงานสีเทาน้ำเงิน
“งั้นช่วยตามฉันมาหน่อย”
กระต่ายสีใสคล้ายภาพลวงตา กระโดดลอยมาอยู่กลางอากาศข้างๆ ลูเมี่ยน ทำท่าเตรียมจะลอยตาม
ลูเมี่ยนถอนหายใจเล็กๆ แล้วจึงกล่าว
“ความหมายของฉันก็คือ ให้แกมาซ่อนตัวในกระเป๋าเสื้อของฉันก่อน จะได้ไม่สะดุดตาผู้วิเศษที่มีสัมผัสวิญญาณแรงๆ”
กระต่ายยังคงทำหน้างงงัน แต่ก็ยังกระโดดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของลูเมี่ยนพร้อมกับหดตัว
เนื่องจากมันไม่มีปริมาตรหรือน้ำหนักในแง่ความจริง กระเป๋าเสื้อจึงปิดสนิทได้โดยไม่มีรอยโป่งพอง
หลังจากยัดจดหมายใส่ในกระเป๋าเสื้อช่องเดียวกัน ลูเมี่ยนสลายกำแพงวิญญาณ ถอดถุงมือ และเดินออกจากห้อง 207
เขาเดินไปตามถนนใหญ่ตลาด เข้าใกล้สถานีรถไฟไอน้ำซูสิต
ปัจจุบันเพิ่งจะเลยห้าโมงเย็นมาเล็กน้อย หลายคนยังไม่เลิกงาน คนบนถนนไม่มากแต่ก็ไม่น้อย ผู้คนจับกลุ่มทยอยออกจากสถานีไปเป็นระลอก บ้างก็ตรงไปยังป้ายรถม้าสาธารณะ บ้างก็หาทางลงรถไฟใต้ดิน บ้างก็ถือสัมภาระเดินเท้าไปยังถนนใกล้ๆ เพื่อหาที่พักค้างคืนชั่วคราว
ลูเมี่ยนตบกระเป๋าเสื้อด้านขวา ชี้ไปทางตู้ไปรษณีย์ที่ห่างออกไปสิบเมตร พูดโดยกดเสียงเอาไว้
“เห็นกระบอกโลหะสีเขียวๆ นั่นไหม”
เด็กหนุ่มสัมผัสถึงแรงสะเทือนในกระเป๋าเสื้อ นี่คงเป็นวิธี ‘ตอบ’ ของกระต่าย
ลูเมี่ยนถอนหายใจโล่งอก
“นำจดหมายที่อยู่ข้างๆ แก ไปใส่ลงในกระบอกโลหะนั่น”
พูดจบ ลูเมี่ยนบีบขมับทั้งสองข้างเพื่อเปิดเนตรวิญญาณ
เขาเห็นกระต่ายลอยออกไป ร่างกายห่อหุ้ม ‘จดหมายขอความช่วยเหลือ’ เอาไว้ ลอยผ่านผู้คนที่คลาคล่ำ ไปจนถึงกระบอกโลหะสีเขียว
ขณะลูเมี่ยนคิดว่ากระต่ายคงหย่อนจดหมายลงในตู้ไปรษณีย์ และปิดฉากภารกิจอย่างราบรื่นไร้ปัญหา
กระต่ายตัวดังกล่าว ลอยเข้าไปในตู้พร้อมกับจดหมาย
ผ่านไปสักพัก มันลอยออกจากตู้ไปรษณีย์ บินกลับมาหาลูเมี่ยนโดยทิ้งจดหมายไว้ในตู้
เด็กหนุ่มหลับตาลง พึมพำปลอบใจตัวเอง
“ช่างเถอะ จดหมายก็เข้าไปอยู่ในตู้เหมือนกัน…”
เขาพากระต่ายออกจากถนนใหญ่ตลาด หาซอยเปลี่ยวแล้วบอกกับมันด้วยภาษาเฮอร์มิสว่า การอัญเชิญสิ้นสุดลงแล้ว
ตลอดเวลาที่เรียกสัตว์โลกวิญญาณ พลังวิญญาณของเขาจะถูกสูบไปเรื่อยๆ
เมื่อกระต่ายกลับสู่โลกวิญญาณ ลูเมี่ยนกลับมาสบายตัวอีกครั้ง
เด็กหนุ่มตัดสินใจว่าจะช่วยชาร์ลีถึงแค่ตรงนี้ ที่เหลือก็ดูว่าผู้วิเศษทางการจะตอบสนองอย่างไร
“ถ้าเรื่องนี้ไม่น่าสนใจพอ เราคงไม่ยุ่งตั้งแต่แรก… ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องช่วยหมอนั่นสู้กับซูซานน่า·มาติส สิ่งมีชีวิตประหลาดๆ ที่ดูแข็งแกร่งนั่นเลย” ลูเมี่ยนรำพันในใจ
จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ
หากพวกนิสัยหยาบช้าในหมู่บ้านกอร์ตู ทราบถึง ‘ลักษณะพิเศษ’ ของซูซานน่า·มาติส พวกเขาคงจะถามด้วยเจตนาไม่ดีว่า จะสู้กันบนเตียงหรือบนกองฟาง?
แน่นอน เมื่อเผชิญหน้ากับคนพวกนั้น ลูเมี่ยนก็สามารถหยาบคายได้ทัดเทียมกัน
ระหว่างทางกลับถนนอลเวง เด็กหนุ่มแวะร้านพายเนื้อเพื่อซื้อ ‘พายเนื้อร้อนกะพงแดง’ มากินเป็นมื้อเย็น
จับคู่กับน้ำอัดลมที่ขายตามริมทาง ลูเมี่ยนกินไปพลางเดินผ่านฝูงชน บางคราวก็หลบมือที่แอบยื่นมาควานหากระเป๋าสตางค์ของตน
เมื่อเทียบกับพายเนื้อรูอ็อง พายเนื้อร้อนกะพงแดงไม่เลี่ยนเท่า ความสดชื่นและความละมุนของเนื้อปลา ความหอมนุ่มของเนื้อวัว รสหวานอ่อนๆ ของแป้งที่เคี้ยวสนุก และกลิ่นหอมที่เกิดจากเครื่องเทศกับไขมันผสมกัน มอบรสชาติอันซับซ้อนลุ่มลึกให้กับต่อมรับรสของลูเมี่ยนอย่างต่อเนื่อง
หลังจากกินอิ่มและดื่มจนสาแก่ใจ ขณะถือขวดแก้วที่ยังเหลือน้ำหวานสีชมพูอ่อนอยู่ราวหนึ่งในสาม เขาแสดงความรู้สึกจากใจจริง
“ไม่แปลกใจเลยที่ชาวทรีอาร์ชอบพายเนื้อ…”
“ถ้ามีโอกาสได้ไปแถวๆ ถนนรีเฌอเลียร์ในเขตห้องสมุด จะลองแวะร้านแรกที่เป็นต้นตำรับพายเนื้อร้อนกะพงแดงดูสักครั้ง…”
จากที่เคยอ่านเจอในหนังสือพิมพ์กับนิตยสาร พายเนื้อดังๆ ที่เขานึกออกเร็วๆ ประกอบด้วย:
พายเนื้อเดอก็อง พายเนื้อเปริเกอต์ พายเม็ดมะม่วงหิมพานต์ตูด็อง พายซอสเนื้อ…
ขณะดื่มน้ำอัดลมรสทับทิม ลูเมี่ยนเดินเลี้ยวเข้าถนนอลเวง
แล้วก็ได้พบกับสถานการณ์อันยุ่งเหยิง กลุ่มคนที่ดูเหมือนสมาชิกแก๊ง กำลังถือขวานถือกระบอง ยืนแยกเขี้ยวใส่กันบนถนน
ผู้คนต่างพากันเดินเลี่ยง พ่อค้าแม่ขายทยอยถอนตัวออกจากถนน ผู้อยู่อาศัยริมถนนทั้งสองฝั่งรีบปิดหน้าต่างด้วยเสียงโครมคราม
ลูเมี่ยนไม่เดินเข้าไปต่อ เพียงถอยหลังกลับมาสองสามก้าว หาเสากำแพงบังกาย แล้วชะโงกมองสถานการณ์ด้วยความสนอกสนใจ
เด็กหนุ่มสงสัยว่า หลังจากที่มาร์โกต์แห่งแก๊งหนามพิษถูกตนสังหาร คนของแก๊งหนามพิษระแวงแก๊งอื่นในเขตตลาดไปทั่ว จนพัฒนาไปเป็นการกระทบกระทั่งด้วยกำลัง
รอไปรอมา ผ่านไปเกือบจะสิบห้านาทีแล้ว ลูเมี่ยนก็ยังไม่ได้ดูการตีรันฟันแทงของชาวแก๊งเสียที
ทำเอาคนที่อยากเห็นความวุ่นวายอย่างเขารู้สึกผิดหวังสถานหนัก จึงก่นด่าอยู่ในใจเบาๆ
“ไอ้พวกนี้ไม่ได้เรื่องกันเลย… ยึดครองถนนไว้แต่ไม่ยอมทำอะไร เอาแต่ยืนบื้อยังกับถูกทำโทษ คิดว่าตัวเองมีเวลาทั้งวันหรือไง?”
ท่ามกลางกระแสความคิด ลูเมี่ยนหันไปมองอาคารสีเทาขาวข้างๆ ที่สูงห้าชั้น
เด็กหนุ่มเริ่มคิดเป็นจริงเป็นจัง ว่าจะสุ่มเลือกสักห้องเพื่อแอบขึ้นไป โยนขวดน้ำอัดลมที่เพิ่งดื่มเสร็จ ลงไปยังจุดตรงกลางระหว่างสองแก๊ง ให้พวกนั้นคิดว่าเป็น ‘สัญญาณเริ่มศึก’ จากหัวหน้าหน่วยของแก๊งฝั่งตรงข้าม
ถ้าไปได้สวย ลูเมี่ยนก็จะมีเรื่องสนุกๆ ให้ดู
ขณะเตรียมนำความคิดไปปฏิบัติจริง กองกำลังตำรวจในเครื่องแบบสีดำ พลันโผล่มาจากทั้งสองฝั่งของถนนอลเวง
ตำรวจสองสามแถวหน้าสุด ขี่ม้าตัวสูงใหญ่ สีน้ำตาลบ้างดำบ้าง ถือโล่กับกระบอง ค่อยๆ ขับม้าย่างสามขุมเข้าหาสมาชิกแก๊ง
ฉากดังกล่าวสร้างความกดดันอย่างยิ่ง จนชาวแก๊งหลายคนเริ่มอกสั่นขวัญแขวน
เมื่อตำรวจม้าเริ่มพุ่งเข้าปราบปราม สมาชิกแก๊งที่กระจุกตัวบนถนนอลเวงพลันแตกฮือไปทุกทิศ บางคนหนีรอด บางคนถูกกระแทกล้มลงไปกับพื้น
ลูเมี่ยนที่เห็นทุกอย่าง อยากจะยืนตรงปรบมือเกรียวกราว หัวใจที่แสวงหาความบันเทิงถูกเติมเต็มจนอิ่มเอม
ฉากแบบนี้ เขาเคยอ่านจากนิยายกับข่าวเท่านั้น และอย่างหลังก็มักจะเล่าแค่ผ่านๆ!
เพียงครู่เดียว ถนนอลเวงก็กลับสู่ความคึกคักตามปกติ
ลูเมี่ยนดื่มน้ำอัดลมรสทับทิมคำสุดท้าย เดินกลับโรงแรมระกาทองอย่างเป็นสุข กลับเข้าห้อง 207
นั่งลงข้างเตียง เด็กหนุ่มลองทบทวนขั้นตอนการ ‘เขียนและส่งจดหมาย’ ของตน เพื่อดูว่าละเลยจุดใดไปหรือไม่ จะได้ไม่ตกเป็นเป้าสายตาของผู้วิเศษทางการ
ไตร่ตรองอยู่สักพัก ลูเมี่ยนพึมพำเสียงต่ำ
“ถ้าเรามีผู้ส่งสารก็คงดี จะได้ไม่ต้องยุ่งยากแบบนี้”
น่าเสียดาย ผู้ส่งสารไม่ได้มีกันง่ายๆ แม้แต่โอลัวร์ พี่สาวของตนก็ยังไม่มี
จนถึงตอนนี้ ลูเมี่ยนรู้จักคนที่มีผู้ส่งสารแค่สองคน
หนึ่งคือมาดามเมจิกเชี่ยน อีกหนึ่งคือรองประธานสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิกที่โอลัวร์เคยเล่าให้ฟัง — เฮล่า
“เฮล่า…” สีหน้าของลูเมี่ยนเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง
หากเศษเสี้ยววิญญาณของโอลัวร์มีอิทธิพลต่อความฝันของเขาจริง นั่นจะเท่ากับว่าโอลัวร์เชื่อใจในตัวรองประธาน ‘เฮล่า’ อย่างมาก ทันทีที่พบปัญหา ก็รีบนึกถึงการอัญเชิญผู้ส่งสารของ ‘เฮล่า’ เพื่อขอความช่วยเหลือ
“เฮล่าจะรู้จักตัวตนจริงๆ ของโอลัวร์ไหม… ได้ข่าวการตายของโอลัวร์จากหนังสือพิมพ์หรือยัง…?” ลูเมี่ยนพึมพำกับตัวเอง
ขณะครุ่นคิด เด็กหนุ่มก็ฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง
บางที ตนอาจอัญเชิญผู้ส่งสารของ ‘เฮล่า’ ออกมาได้!
คาถาอัญเชิญมีแค่สามประโยค และลูเมี่ยนมั่นใจว่าท่อนสุดท้ายคือ ‘ผู้ส่งสารของเฮล่าแต่เพียงผู้เดียว’ ส่วนสองประโยคแรกก็มีรูปแบบและข้อกำหนดตายตัว แค่ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ ก็อาจได้พบกับส่วนผสมที่ถูกต้อง!
และในสถานการณ์ดังกล่าว ต่อให้เกิดความผิดพลาดในสองท่อนแรก ลูเมี่ยนก็ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยง เนื่องจากประโยค ‘ผู้ส่งสารของเฮล่าแต่เพียงผู้เดียว’ ได้ตัดอันตรายอื่นๆ ออกไปแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผลลัพธ์จะมีเพียง ‘อัญเชิญไม่ได้’ หรือ ‘อัญเชิญได้ผู้ส่งสารของเฮล่า’ เท่านั้น
“ควรเขียนจดหมายบอกเรื่องของโอลัวร์ให้เฮล่ารับรู้ดีไหม?” ลูเมี่ยนลังเลอยู่สักพัก
คำนึงจากการที่พี่สาวพูดว่า ‘สมุดบันทึกของฉัน’ ขณะผลักตนออกมา ผนวกกับในสมุดบันทึกเต็มไปด้วยความรู้ศาสตร์เร้นลับที่ได้จากสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก เด็กหนุ่มเชื่อว่าถ้าหากตนสามารถผูกมิตรกับองค์กรดังกล่าว ก็อาจได้รู้ข้อมูลสำคัญที่ซุกซ่อนอยู่ในสมุดบันทึกจอมเวท
ลูเมี่ยนคิดไวทำไว
เขาจะอัญเชิญผู้ส่งสารของเฮล่าออกมาเดี๋ยวนี้!
แม้จะยังไม่เชื่อใจรองประธานสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิกมากนัก แต่เด็กหนุ่มเชื่อว่า ตนไม่ได้มีค่าพอที่จะถูกหลอกลวงจากอีกฝ่าย และสมัยยังมีชีวิต โอลัวร์ก็เชื่อใจเฮล่าพอสมควร
ลูเมี่ยนเดินไปทางโต๊ะไม้ นั่งลงแล้วเริ่มเขียน
“เรียนมาดามเฮล่า:”
“ต้องขออภัยที่ผมถือวิสาสะเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงคุณ ผมเป็นน้องชายของ ‘มักเกิ้ล’ ผมไม่อยากแจ้งข่าวนี้สักเท่าไร แต่ก็ต้องบอกให้คุณทราบว่า เธอได้เผชิญกับเคราะห์กรรมและจากโลกนี้ไปแล้ว”
“เรื่องนี้เกี่ยวพันกับภัยพิบัติที่เกิดจากลัทธิเทพมาร มีเพียงผมกับอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่เหลือรอด”
“ผมไม่แน่ใจว่าคุณสนใจเรื่องนี้หรือไม่ จึงไม่ขยายความเพื่อไม่เป็นการรบกวนเวลาของคุณ”
“สิ่งที่ผมอยากทราบก็คือ ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ‘มักเกิ้ล’ ได้คุยเรื่องที่น่าสงสัยกับคุณบ้างไหม?”
“…”
จ้องจดหมายที่เขียนเสร็จอยู่สักพัก ลูเมี่ยนผ่อนลมหายใจพร้อมกับพับกระดาษ
ถัดมา เด็กหนุ่มทำความสะอาดห้อง จัดระเบียบแท่นบูชาใหม่ และเริ่มทดสอบสูตรแรก
“วิญญาณที่เตร็ดเตร่ในโลกมายา สิ่งมีชีวิตเป็นมิตรที่ยอมทำตามคำสั่ง ผู้ส่งสารของเฮล่าแต่เพียงผู้เดียว”
หลังจากบริกรรมคาถา ลูเมี่ยนมองเปลวไฟเทียนไขที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเทา รอคอยการปรากฏตัวของผู้ส่งสารอย่างมีน้ำอดน้ำทน
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในแท่นบูชา
ลูเมี่ยนไม่ผิดหวัง เพียงเอ่ยปากอีกครั้ง
“ตัวข้า!”
“ขออัญเชิญในนามของข้า”
“วิญญาณที่เตร็ดเตร่ในโลกเบื้องบน”
“สิ่งมีชีวิตเป็นมิตรที่ยอมทำตามคำสั่ง”
“ผู้ส่งสารของเฮล่าแต่เพียงผู้เดียว…”
เปลวเทียนสีเขียวอมเทาพลันวูบวาบพร้อมกับขยายใหญ่
ในเวลานี้ บรรยากาศด้านบนไม่เพียงจะไม่สว่าง แต่กลับยิ่งมืดมิด
ท่ามกลางทิวทัศน์สีดำทึมทึบ บางสิ่งบางอย่างก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างด้วยความไว
มันคือกะโหลกศีรษะที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ พื้นผิวดูคล้ายแร่เงินบริสุทธิ์ ส่องแสงอ่อนๆ ขับไล่ความมืดมิดรอบข้าง
ตรงเบ้าตามีเปลวไฟสีซีดลุกโชน ลูเมี่ยนเห็นแล้วรู้สึกถึงอันตราย
จ้องมองเด็กหนุ่มอยู่ไม่กี่อึดใจ กะโหลกศีรษะเงินบริสุทธิ์ก็อ้าปาก กัดจดหมายที่ลอยอยู่เหนือแท่นบูชา
เมื่อมันจากไป ความมืดมิดได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
……………………………………………………..