ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 14 สัตว์ประหลาดต่างๆ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 14 สัตว์ประหลาดต่างๆ
ตอนที่ 14 สัตว์ประหลาดต่างๆ
หลังจากค้นหาอย่างละเอียด ลูเมี่ยนพบเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดงจำนวนมาก รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 197 เฟลคิน 25 โกเปต์
ในจำนวนนี้มีลูอิดอร์อยู่เพียงห้าเหรียญ
ในส่วนของธนบัตร เขาพบเพียงเศษๆ ที่ดูแล้วน่าจะใช่
นอกจากเงินทอง ลูเมี่ยนยังพบหนังสือสีฟ้าเล่มเล็ก
ปกสีเทาน้ำเงิน ขนาดราวๆ กระดาษ A4 พบเห็นได้บ่อยตามหมู่บ้านและเมืองต่างๆ ของอินทิส
โดยพื้นฐานคือปฏิทิน แต่รวมจดหมายเหตุกับหลักคำสอนของสองศาสนจักรใหญ่เข้าไปด้วย มีบทบาทสำคัญในการแนะแนวเกษตรกรกับคนเลี้ยงสัตว์ ในแง่ของการเพาะปลูก การผลิต และการเลี้ยงสัตว์ ช่วยเสริมคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น
จริงอยู่ แม้นโยบาย ‘การศึกษาภาคบังคับ’ ของจักรพรรดิโรซายล์จะถูกสานต่อมานานเกือบสองร้อยปี แต่ชาวนา คนเลี้ยงสัตว์ และแรงงานจำนวนมากยังคงไม่รู้หนังสือ จดจำคำศัพท์ได้แค่หยิบมือเดียว จำเป็นต้องพึ่งพาคนใกล้ตัวเพื่อให้เข้าใจคำชี้แนะจาก ‘หนังสือเล็กปกฟ้า’
ลูเมี่ยนพลิกดูสองสามหน้าอย่างไม่ใส่ใจ และพบว่าหนังสือเล็กปกฟ้าเล่มนี้แทบไม่ต่างจากเล่มที่บ้านตน อาจเก่ากว่าเล็กน้อยในแง่ภาพรวม
“ทั้งหนังสือเล็กปกฟ้า ทั้งเงินอีกหลักร้อยเฟลคิน…ถ้าอยู่ชนบทจะถือเป็นครอบครัวร่ำรวยแน่นอน ในหมู่บ้านกอร์ตูมีแบบนี้ไม่เกินห้าหลัง…” ลูเมี่ยนโยนหนังสือเล็กปกฟ้าทิ้ง แล้วแยกเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง ลงในช่องกระเป๋าต่างกัน บ้างก็ซ่อนลึกในกระเป๋าด้านในสุดของเสื้อผ้าฝ้าย บ้างก็ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง บ้างก็ยัดกระเป๋าแจ็กเกตหนังตัวนอกแบบไม่ใส่ใจ
แม้ลูเมี่ยนจะทราบดีว่าคงนำเงินกลับโลกความจริงไม่ได้ แต่เขาก็ยังอยากรวบรวมเก็บไว้
วัตถุเล็กๆ พวกนี้ ไม่ว่าจะสีทอง เงิน หรือทองแดง มักดึงดูดสายตาเขาได้ชะงักงันเสมอ
สมัยก่อนที่เคยเร่ร่อน เด็กหนุ่มหวงแหนแม้กระทั่งเหรียญทองแดงหนึ่งโกเปต์ หรือเหรียญริกต์ และมักจะต่อสู้หรือยอมทำอะไรเสี่ยงๆ เพื่อให้ได้มา
มองไปรอบตัวหนึ่งครั้ง ลูเมี่ยนหยิบขวานขึ้นมา บรรจงย้ายตำแหน่งไปทางซากตึกใกล้กับภูเขาสีน้ำตาลแดง
เด็กหนุ่มสำรวจลึกเข้าไปทีละนิด หัวใจจะเต้นแรงทุกครั้งที่ผ่านพื้นที่ว่างระหว่างวงแหวน ด้วยเกรงกลัวว่าจู่ๆ สัตว์ประหลาดนับสิบจะพุ่งออกมาล้อมตนในพื้นที่เปิดโล่ง
ในหมอกสีเทาจางๆ ลูเมี่ยนเดินย่อตัวมาจนถึงผนังหินที่พังไปกว่าครึ่ง แล้วนั่งยองๆ เพื่อซุกซ่อนร่างกาย
เขาชะโงกออกไปอย่างระมัดระวัง ตามองตรง
เบื้องหน้าคือพื้นที่ยาวและแคบ ขนาบข้างไปด้วยซากตึกสองฝั่ง ไม่มีต้นไม้ ไม่มีวัชพืช มีแต่หินขรุขระ รอยแตก และดินเหนียวเหนอะ
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งกระโดดเข้ามาในการมองเห็นของลูเมี่ยน
‘เขา’ ยืนอยู่ด้านในอาคารฝั่งตรงข้าม ไม่แน่ใจว่ากำลังมองหาอะไร
อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมสีดำมีฮู้ด แผ่นหลังปราศจากสิ่งแปลกปลอม ดูไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
หัวใจลูเมี่ยนพลันบีบรัด ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นทันที
ในซากปรักหักพังแห่งความฝันเช่นนี้ การเห็นมนุษย์ปกติ น่ากลัวยิ่งกว่าการเห็นสัตว์ประหลาด!
ราวกับสัมผัสถึงสายตา ร่างดังกล่าวค่อยๆ หันกลับมา
ลูเมี่ยนจ้องอยู่เสี้ยวอึดใจแล้วรีบชักศีรษะกลับ หันหลังเข้าหากำแพง หวาดกลัวจนไม่กล้าเคลื่อนไหว
เพียงได้มองแวบเดียว เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับได้เห็นภาพหลอนที่ตนอยู่ในนรกหรือห้วงลึก
อีกฝ่ายเป็นมนุษย์ แต่ ‘เขา’ มีสามใบหน้า กับตาอีกหกดวง!
ใบหน้าตรงกลางมีดวงตาขุ่นมัว ขนคิ้วบาง เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นคล้ายชายแก่
ใบหน้าฝั่งซ้ายมีเหลี่ยมมุม ดวงตาสีฟ้าสดใส หนวดเครารกครึ้ม ดูแล้วคงเป็นชายฉกรรจ์
ทางฝั่งขวาผิวเนียนละเอียดปานไข่ต้มปอกเปลือก ดวงตาสีน้ำเงินแฝงความไร้เดียงสาเจือสับสน เห็นได้ชัดว่ามีอายุไม่เกินห้าขวบ
“นี่มันสัตว์ประหลาดบ้าอะไร…” ลูเมี่ยนรีบตั้งสติ ควบคุมลมหายใจเพื่อมิให้หัวใจเต้นแรง
กระทั่งในเรื่องเล่าสยองขวัญของโอลัวร์ก็ไม่เคยมีสัตว์ประหลาดเทือกนี้ อาจพบได้แค่ในฝันร้ายที่ลึกสุดใจและเหลวไหลสุดขีดเท่านั้น
แม้จะไม่ควรตัดสิน ‘คน’ จากภายนอก แต่ลูเมี่ยนก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ว่าสัตว์ประหลาดสามหน้าตัวนี้ น่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดไร้ผิวหนังตัวก่อนหลายเท่า!
เหนือสิ่งอื่นใด คงไม่แคล้วมีพลังวิเศษติดตัว
“ข้าแต่องค์สุริยันเจิดจรัส…มหาบิดาผู้ยิ่งใหญ่…ได้โปรดอวยพรให้ข้าพเจ้าไม่ถูกพบเห็นด้วยเถิด…” ในสถานการณ์เช่นนี้ ลูเมี่ยนที่เป็นผู้ศรัทธาแบบขอไปที อดไม่ได้ที่จะสวดวิงวอนถึงเทพสุริยันเจิดจรัส
หากมิใช่เพราะยังถือขวานในมือ หากมิใช่เพราะสภาพแวดล้อมช่างอันตรายเหลือเกิน เด็กหนุ่มคงจะกางแขนสองข้างกว้างๆ พร้อมกับเปล่งเสียง ‘สุริยันจงเจริญ!’
คล้ายกับเวลาหยุดนิ่งไป ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนได้เห็นภาพหลอน
ยังกับมีใครมองทะลุกำแพงมาจ้องแผ่นหลังของตน
เด็กหนุ่มพลันเกร็งหลัง ความรู้สึกร้อนผ่าวแผ่ซ่านไปทั่วแผ่น
ราวๆ หนึ่งถึงสองวินาทีถัดมา ภาพหลอนดังกล่าวสลายไป เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังห่างออกไปเรื่อยๆ
ลูเมี่ยนอดทนรออีกสักพัก จนกระทั่งเสียงฝีเท้าเงียบสนิท เด็กหนุ่มจึงบรรจงยืดเข่า หันหลังกลับพลางชะโงกหน้าออกไปมอง
สัตว์ประหลาดเดินไปไกลมากแล้ว ไปถึงด้านหลังของตึกที่ฝั่งซ้ายขวายังมีสภาพดี แต่ตรงกลางพังถล่ม กว่าครึ่งของร่าง ‘เขา’ เผยตัวท่ามกลางสายหมอกจางๆ
‘เขา’ ยังคงหันหลังให้ลูเมี่ยน คล้ายได้กลายเป็นรูปปั้นไปแล้ว
เด็กหนุ่มถอนหายใจโล่งอกโดยไม่ส่งเสียง
ต่อหน้าสัตว์ประหลาดเช่นนี้ เขาไม่มั่นใจเลยสักนิดเดียว
“ตรงเข้าไปในซากปรักหักพังจากตรงนี้ไม่ได้แน่…ต้องอ้อม?”
“แล้วทางอื่นๆ จะไม่มีสัตว์ประหลาดที่เหมือนๆ กันเชียว?”
“ยิ่งเข้าใกล้ภูเขา สัตว์ประหลาดก็จะยิ่งแข็งแกร่ง?”
ลูเมี่ยนย่อตัวกลับ ครุ่นคิดสักพักแล้วตัดสินใจยุติการผจญภัยในค่ำคืนนี้
ไว้รุ่งสางเมื่อไร เขาจะออกตามหาหญิงสาวที่ยกไพ่ทาโรต์ให้ เพื่อถามถึงวิธีจัดการกับสัตว์ประหลาดสามหน้า หรือถ้าไม่มีก็ค่อยคิดหาทางเดินอ้อม
เด็กหนุ่มโน้มตัวไปข้างหน้า ผละร่างกายออกจากกำแพง เดินตรงไปในทิศทางที่มา
ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา
“ถ้าเกิดผล็อยหลับไปในซากปรักหักพัง เราจะออกจากความฝันได้ไหม?”
คำนึงจากการที่มีสัตว์ประหลาดคอยป้วนเปี้ยน ลูเมี่ยนระงับความอยากรู้อยากลองไว้ก่อน
ระหว่างทางกลับ เด็กหนุ่มเร่งมือค้นซากตึกทุกหลังที่เดินผ่าน แต่ก็ไม่พบเอกสารที่เป็นประโยชน์ และเจอเหรียญเพียงไม่มาก
หลังจากเดินกลับได้สักพัก ลูเมี่ยนไตร่ตรองนานหลายอึดใจ จนกระทั่งตัดสินใจเดินเบี่ยงเล็กน้อย จุดหมายคือบ้านหลังข้างๆ บ้านที่ถูกไฟไหม้ หลังที่มีศพของสัตว์ประหลาดไร้ผิวหนังถูกฝังอยู่ในซากอิฐและไม้
เขาอยากรู้ว่าสัตว์ประหลาดจำพวกนี้จะสังเกตเห็นการตายของสัตว์ประหลาดด้วยกันหรือไม่ และจะนำพาความเปลี่ยนแปลงใดมาบ้าง
เมื่อได้จุดเหมาะๆ สำหรับซ่อนตัว ลูเมี่ยนคอยจับตามองจุดฝังศพจากบ้านหลังข้างๆ
วินาทีต่อมา เขาเห็น ‘ร่าง’ อีกหนึ่ง
ร่างดังกล่าวเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์ป่า เข่างอไปข้างหน้าเหมือนขาหลังสัตว์สี่เท้า ย่อตัวลงพลางตรวจสอบศพสัตว์ประหลาดไร้ผิวหนัง
มันรื้อก้อนอิฐกับไม้ที่ลูเมี่ยนกองสุมๆ ออกไปจนหมด
สวมแจ็กเกตสีเข้ม กางเกงขายาวเข้ารูปเปรอะโคลน ผมสีดำกระเซอะกระเซิงพาดยาวถึงคอ บนหลังสะพายปืนลูกซองล่าสัตว์
ปืนลูกซอง!
ลูเมี่ยนรีบเบือนหน้าหนีพร้อมกับเก็บหัว
“เป็นสัตว์ประหลาดที่อุกอาจจริงๆ!”
“ใช้ปืนลูกซองล่าสัตว์ก็ได้ด้วย…”
ชั่วพริบตาดังกล่าว ลูเมี่ยนรู้สึกราวกับตนคือนายพราน กำลังถืออาวุธผจญภัยไปบนภูเขากับผองเพื่อน แต่แล้วก็ต้องพบว่ากระต่ายที่กำหนดให้เป็นเหยื่อของวันนี้ กำลังเล็งปืนกลระบายความร้อนด้วยน้ำมาทางพวกตน ความรู้สึกท้อแท้และห่อเหี่ยวพลันถาโถม จนอยากอุทานว่า ‘นี่มันเรื่องบ้าบออะไร’
วินาทีแล้ววินาทีเล่าผ่านไป เขาอดทนรอให้สัตว์ประหลาดที่สะพายปืนลูกซองออกไป
จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าจางๆ ดังห่างออกไปเรื่อยๆ
ลูเมี่ยนชะโงกหน้ามองด้วยความระมัดระวัง ตาจดจ่ออยู่กับสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์ป่า
‘มัน’ เคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าคล้ายแมว มุ่งหน้าไปทางด้านหลังของตึก
ลูเมี่ยนถอนหายใจโล่งอกในทีแรก ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
เขาพบว่าเส้นทางของสัตว์ประหลาด ทับซ้อนกับเส้นทางที่ตนใช้เดินไปซากปรักหักพัง!
“มันกำลังแกะรอยเรา!”
“แถมยังแม่นยำจนน่าเหลือเชื่อ!”
เป็นการประเมินตามสัญชาตญาณ
เขาโล่งใจที่ไม่กลับทางเดิม แต่เลือกจะเบี่ยงมาตรวจสอบศพก่อน ไม่อย่างนั้นคงสวนกันตรงๆ หรือไม่ก็ถูกซุ่มโจมตีไปแล้ว!
ทันทีที่สัตว์ประหลาดลับสายตา ลูเมี่ยนรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตรงกลับบ้าน
แสงไฟสีแดงที่สะท้อนอยู่บนกระจกหน้าต่างชั้นล่างของตัวบ้าน เปรียบดังแสงอาทิตย์ที่สามารถขจัดความมืดมิด
ลูเมี่ยนวิ่งไปจนถึงบ้านสองชั้นครึ่งรวมห้องใต้ดิน ดึงประตูที่เปิดแง้มอยู่ แล้วรีบกลับเข้าไปข้างใน
ล็อกประตูเสร็จ เด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง ปลายสายตาคือซากปรักหักพัง
ในหมอกสีเทาอันห่างไกล บริเวณริมขอบซากอาคาร มีร่างขมุกขมัวยืนอยู่แต่ไม่เข้าไป
ฟู่! ลูเมี่ยนพ่นลมหายใจ เตรียมดับไฟเดินขึ้นไปนอนบนชั้นสอง เพื่อออกจากความฝัน
เด็กหนุ่มเหลือบมองเตาไฟที่ยังลุกโชน ภายในใจเกิดคำถาม
“มันก็ไหม้มานานแล้วนะ…”
“น่าสนใจ…ถ้าเราออกจากความฝัน มันยังจะไหม้จนดับไปเองไหม หรือว่าจะไหม้ค้างไว้ในสภาพนี้ตอนที่กลับเข้ามาใหม่…”
อาศัยฝนที่ตกลงมา ลูเมี่ยนได้ข้อสรุปว่าเหตุการณ์บนพื้นที่รกร้าง ที่ตั้งของซากปรักหักพัง จะยังดำเนินต่อไปโดยไม่สนใจว่าตนจะฝันหรือไม่ แต่กับตัวบ้าน หรือที่เรียกว่าเขตปลอดภัย ยังคงต้องรอการทดสอบ
ด้วยความคิดดังกล่าว เด็กหนุ่มเติมถ่านใส่กองไฟอีกสองสามก้อน เขี่ยๆ เล็กน้อยแล้วถือขวานกับคราดเดินขึ้นชั้นบนเพื่อเข้าห้องนอน
…
เมื่อลูเมี่ยนลืมตาตื่น มันเพิ่งจะรุ่งสาง
เขาสำรวจชุดนอนที่คล้ายเสื้อเชิ้ต และต้องผิดหวังแต่ไม่ประหลาดใจ เมื่อพบว่าเหรียญทอง เงิน และทองแดง มิได้ตามมายังโลกความจริงด้วย
ลูเมี่ยนลุกจากเตียงขึ้นมาบิดขี้เกียจ เดินไปทางโต๊ะแล้วดึงผ้าม่าน
ท่ามกลางเสียงกรอบแกรบ แสงอันนุ่มนวลและเจิดจ้าส่องเข้ามา
เมื่อเปิดหน้าต่าง อากาศบริสุทธิ์แฝงกลิ่นธรรมชาติซึมผ่านเข้ามาในรูจมูก ลูเมี่ยนบิดขี้เกียจพลางคิดในใจ ว่าบางครั้งการตื่นเช้าก็เป็นเรื่องที่น่ารื่นรมย์
แน่นอน ต้องขอบคุณ ‘แคมเปญรักสุขภาพแห่งชาติ’ ที่จักรพรรดิโรซายล์ผลักดันอย่างแข็งขัน แม้จะไม่ส่งผลกับชนบทมากนัก แต่อย่างน้อยก็นำมาซึ่งการปรับปรุงในบางเรื่อง ปุ๋ยคอกกลายเป็นทรัพยากรอันมีค่า ขยะไม่เกลื่อนกลาด และยังต้องขอบคุณรัฐบาลชุดถัดๆ มาที่ยังอนุรักษ์ไว้แม้จะถูกเปลี่ยนชื่อไปแล้วก็ตาม
เขาเหม่อมองหลายสิ่ง บ้างก็มองภูเขากับป่าไม้ไกลๆ บ้างก็มองเมฆสีส้มอมแดงเหนือขอบฟ้า และบ้างก็มองวัชพืชนอกบ้าน
ทันใดนั้น สายตาของลูเมี่ยนพลันชะงักงัน
เด็กหนุ่มเห็นนกตัวใหญ่เกาะอยู่บนต้นเอล์มซึ่งไม่ห่างออกไปนัก
จะงอยปากแหลม หน้าคล้ายแมว ขนสีน้ำตาลมีจุดเล็กๆ ประปราย ม่านตาสีน้ำตาลอมเหลืองและรูม่านตาสีดำดูมีชีวิตชีวา
นกฮูก
คล้ายกับมันกำลังมองมาที่ลูเมี่ยน