ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 148 “เจ้าของโรงแรม”
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 148 “เจ้าของโรงแรม”
ตอนที่ 148 “เจ้าของโรงแรม”
Ink Stone_Fantasy
สี่ทุ่มตรง ขณะเดินจากถนนใหญ่ตลาดกลับมายังโรงแรมระกาทอง
ลูอิส นักเลงประจำแก๊งที่คอยคุ้มกันบารอนบรินิแยร์ กำลังเดินเคียงข้างลูเมี่ยน มุ่งหน้าจากถนนใหญ่ที่สว่างเพราะกลุ่มดวงไฟสีเหลือง เลี้ยวเข้าสู่ตรอกซอกซอยอันมืดมิด
เขามองโคมไฟถนนสองสามดวงที่ชำรุดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ซ้ำยังไม่ถูกซ่อมแซมมานาน แล้วทำทีเป็นพูดผ่านๆ
“บารอนบรินิแยร์กับแก๊งหนามพิษได้พูดคุยกันแล้ว… นับแต่นี้ไป โรงแรมระกาทองตกเป็นของแก๊งซาฟาห์เราแล้ว”
ลูเมี่ยนยิ้มเย้ยหยัน
“แก๊งหนามพิษเจรจาง่ายขนาดนั้นเชียว?”
หมายความว่ายังไง? หรือกำลังหวังให้ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกกัน? ลูอิสยิ่งรู้สึกว่าชาร์ลเป็นตัวอันตราย ภายในกายมีเลือดที่หลงใหลความวุ่นวายไหลเวียน
เขาเชื่อว่าด้วยพื้นเพนิสัยและรูปแบบการลงมือของชาร์ล ในอนาคตคงชักนำปัญหามาสู่แก๊งซาฟาห์ไม่หยุดไม่หย่อนแน่
ถึงเวลานั้น เขตตลาดที่อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดอยู่แล้วจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของแก๊งหนามพิษ ก็จะยิ่งทวีความวุ่นวาย
ในฐานะสมาชิกเก่าแก่ของแก๊ง ลูอิสยึดมั่นในหลักการที่ว่า ‘ถ้าข่มขู่คนธรรมดาให้กลัวได้ ความรุนแรงก็ไม่จำเป็น’ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนมีชีวิตเพียงหนึ่ง เขาเคยเห็นเพื่อนร่วมแก๊งหลายคนตายในศึกระหว่างแก๊งหรือการปะทะกับตำรวจ ช่วงแรกครอบครัวของคนเหล่านั้นยังได้รับการเหลียวแลบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไป สภาพก็ยิ่งน่าอดสู
แน่นอน ถ้าเข้าตาจนจริงๆ เขาก็ไม่คิดจะทำตัวขี้ขลาด ทุกคนที่ติดตามบารอนบรินิแยร์ คือกลุ่มก้อนที่เติบโตจากการต่อสู้ข้างถนนและในตรอก อาจไม่เฉลียวฉลาดนัก แต่ฝีมือและความกล้าหาญล้วนไม่ธรรมดา
ลูอิสหายใจออกช้าๆ
“คุณแสดงให้เห็นแล้วว่า มีความสามารถเพียงพอที่จะดูแลโรงแรมระกาทอง และแก๊งหนามพิษก็ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องเอิกเกริกจนถูกตำรวจเพ่งเล็ง ดังนั้น หลังจากบารอนจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้วิลสัน ข้อพิพาทก็ถือเป็นอันยุติลง”
“พักนี้คุณควรทำตัวสงบเสงี่ยมไปก่อน ถ้าเผลอไปเตะตาตำรวจเข้า ผมพนันได้เลยว่าคุณไม่อยากถูกพวกเขาสืบอย่างละเอียดแน่”
ไอ้ฉันน่ะไม่คิดอะไรหรอก ถ้าเผลอซ่าเกินไปก็แค่เปลี่ยนแหล่งกบดานก่อนที่จะถูกผู้วิเศษทางการล้อมจับ พวกนายกับแก๊งซาฟาห์อาจจะหนีได้ก็จริง แต่หลวงพ่อหนีไปจากโบสถ์ไม่ได้หรอกนะ… ลูเมี่ยนรำพันด้วยบทจากหนังสือที่โอลัวร์แต่ง
ลูอิสกล่าวต่อไป
“บารอนฝากผมมาบอกว่า ในเมื่อคุณอาศัยอยู่ที่โรงแรมระกาทอง ก็ให้ถือว่าที่นี่คือถิ่นของคุณ”
“และสำหรับสมาชิกที่มีถิ่นเป็นของตัวเอง ตามธรรมเนียมแล้วเราจะไม่สนับสนุนค่าใช้จ่ายประจำวัน”
นั่นหมายความว่า นอกจากเงินหนึ่งพันเฟลคินเมื่อคราวก่อน แก๊งซาฟาห์จะไม่สนับสนุนเงินประจำวันให้แล้ว ต้องหาวิธีทำเงินจากถิ่นของตัวเองเท่านั้น
ลูเมี่ยนนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบในเชิงขบขัน
“ไม่มีปัญหา”
ระหว่างที่พูดคุยกัน พวกเขาก็มาหยุดอยู่หน้าโรงแรมระกาทอง
เงยหน้ามองอาคารเก่าสีเบจ ลูเมี่ยนพลันรู้สึกพิลึกพิลั่นปนตลก
นี่คือถิ่นของเรา?
ผู้เช่าในตึกแบบนี้ล้วนเป็นคนจน จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าคุ้มครอง?
ช่างปะไร แค่พวกเขาไม่สร้างความเดือดร้อนให้เราเหมือนชาร์ลีก็พอแล้ว อย่าไปหวังจะตักตวงอะไรเลย!
ระหว่างที่รำพันเงียบงัน ลูเมี่ยนกล่าวอำลาลูอิส พลางเดินเข้าไปในโรงแรม
เขาดื่มไปแล้วสองแก้ว จึงไม่คิดจะลงไปยังบาร์ใต้ดิน เพียงเดินตรงกลับห้อง 207
ไม่มีใครเข้ามาในห้อง
หลังจากอ่านสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ได้สักพัก ลูเมี่ยนได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคย ตามด้วยเสียงเคาะประตูหนักๆ
เด็กหนุ่มเปิดประตูห้อง และไม่ผิดคาด อีกฝ่ายคือชาร์ลี
ใบหน้าของชาร์ลีแดงระเรื่อเพราะฤทธิ์เหล้า อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ
“นายต้องไม่เชื่อแน่… ฉันใกล้จะได้งานใหม่แล้ว! เมื่อตอนเย็น ฉันแวะไปที่ถนนเสื้อนอกขาวมา เลี้ยงเครื่องดื่มเด็กเสิร์ฟในร้าน จนทางนั้นช่วยแนะนำผู้จัดการโรงแรมให้… ตัวผู้จัดการบอกว่าที่โรงแรมกำลังขาดเด็กเสิร์ฟพอดี แถมยังเป็นงานประจำ ไม่ใช่ฝึกหัด!”
“ถ้าผู้จัดการคนนั้นรู้ว่านายเคยเป็นคู่รักกับแขกที่โรงแรมเก่า มีส่วนพัวพันกับคดีฆาตกรรม และเพิ่งถูกปล่อยตัว… คิดว่าทางนั้นยังจะจ้างนายอยู่ไหม?” ลูเมี่ยนย้อนกลับไปด้วยความคิดเห็น
รอยยิ้มของชาร์ลีแข็งค้างไปทันที ก่อนจะลูบๆ หน้าแล้วกล่าว
“เขาควรจะให้โอกาสฉันนะ…”
“ชาร์ล ฉันไม่ได้มาหานายเพราะเรื่องนี้ แต่อยากจะถามว่า… คิดจะทำยังไงกับคุณอีแซงซ์?”
“แล้วฉันควรทำยังไงดี?” ลูเมี่ยนถามกลับด้วยรอยยิ้ม
ชาร์ลียิ้มกว้าง
“นายจะห้ามเธอออกจากถนนอลเวงไหม?”
“ถ้านายยืนกรานจะให้เธอขายบริการริมถนนต่อไป จะเรียกเก็บเท่าไร? บ่อยแค่ไหน?”
ลูเมี่ยนหัวเราะเบาๆ
“เธออยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ฉันไม่ยุ่งด้วย ทางนี้มีวิธีหาเงินตั้งเยอะแยะ”
“ต้องอย่างนี้สิ! สุริยันจงเจริญ! นักบุญวีฟจงเจริญ!” ชาร์ลีกลายเป็นตื่นเต้นทันที “ตอนที่ฉันเห็นนายในบาร์ครั้งแรก ก็บอกได้ทันทีว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้เฉลียวฉลาดและมากความสามารถ!”
“บอกได้จากเครื่องตรวจวัดความโง่?” ลูเมี่ยนยิ้มยียวน
ชาร์ลียิ้มเขินๆ ก่อนจะตอบ
“นั่นก็หนึ่งในเหตุผล”
เขาโบกมือทันที
“ฉันจะนำข่าวนี้ไปบอกกับคุณอีแซงซ์!”
วิ่งไปไม่กี่ก้าว ชาร์ลีชะงักเท้า หันกลับมาถามด้วยเสียงกึ่งๆ ระแวง
“พวกแก๊งหนามพิษจะกลับมาอีกไหม?”
“บารอนบรินิแยร์ตกลงกับพวกมันแล้ว ตอนนี้โรงแรมระกาทองเป็นถิ่นของแก๊งซาฟาห์” ลูเมี่ยนตอบเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ “และเจ้าถิ่นคือฉันเอง”
ความตื้นตันใจของชาร์ลีแสดงออกมาทางสีหน้า จึงรีบกางแขนพูดอย่างกระตือรือร้น
“สุริยันจงเจริญ! นักบุญวีฟจงเจริญ! ชาร์ลจงเจริญ!”
พูดจบเขาก็วิ่งไปทางบันได
เอาฉันไปเทียบกับองค์สุริยันเจิดจรัสและนักบุญวีฟ… อยากให้ทางนี้ตายเร็วขึ้นหรือไง? ลูเมี่ยนหัวเราะในลำคอพลางส่ายหน้า แล้วเดินกลับเข้าห้องเพื่อปลุกปล้ำกับบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ต่อ
ด้านนอกห้อง 408 ชาร์ลีเคาะประตูไม้
อีแซงซ์เจ้าของแก้มบวมแดง เปิดประตูออกมาเห็นเขา จึงกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย
“วันนี้ฉันไม่สบาย ไปหาคนอื่นเถอะ”
ชาร์ลีรอไม่ไหวแล้วที่จะนำข่าวดีมาเล่า
“คุณต้องไม่เชื่อแน่… ตอนนี้โรงแรมไม่ได้อยู่ใต้อิทธิพลของแก๊งหนามพิษแล้ว แต่เป็นแก๊งซาฟาห์!”
อีแซงซ์พลอยนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงเย็น จึงลังเลสักพักก่อนจะพูดออกมา
“คุณแน่ใจหรือ?”
“แน่สิ!” ชาร์ลีเล่าด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นอันเป็นเอกลักษณ์ “คุณต้องไม่เชื่อแน่… ผมได้ยินมาจากหัวหน้าหน่วยของแก๊งซาฟาห์โดยตรง ชาร์ลจากห้อง 207 น่ะ ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าหน่วยของแก๊งซาฟาห์ และโรงแรมระกาทองก็อยู่ในความดูแลของเขา! ชาร์ลเล่าให้ฟังเองจากปากเลยล่ะ ‘ไอ้พวกแก๊งหนามพิษที่คลอดมาจากแม่หมูน่ะ ถูกไล่ออกไปหมดแล้ว และจะไม่กลับมาอีก!’ เขายังบอกด้วยว่า แก๊งซาฟาห์กับแก๊งหนามพิษต่างก็รับรู้และยินยอมในเรื่องนี้แล้ว!”
ชาร์ล… คนที่จับวิลสันโยนลงข้างล่างสินะ… ดวงตาของอีแซงซ์กลอกไปมาเล็กน้อย ราวกับเปลี่ยนจากตุ๊กตากลับมาเป็นคน
“แก๊งหนามพิษถูกขับไล่ออกไปแล้วแน่นะ?”
“แน่สิ!” ชาร์ลีผงกศีรษะหนักแน่น
อีแซงซ์แน่นิ่งไปสักไม่กี่วินาที แล้วจึงขบกรามสบถ
“ไอ้พวกลูกโสเภณีนั่น… ไอ้พวกขี้แพ้สันดานต่ำ… ถูกไล่ออกไปได้สักทีนะ!”
ชาร์ลีรีบเสริม
“ผมถามชาร์ลมาให้แล้ว เขาบอกว่าคุณอยากทำอะไรก็เชิญ เขาไม่ขอยุ่งด้วย… ชาร์ลเป็นคนเก่งจริงๆ … เก่งจนผมต้องเปลี่ยนมุมมองจากที่เคยคิดว่าเขาเป็นแค่นักแกล้งชาวบ้าน… ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เขาคิดหาวิธีทำเงินใหม่ๆ ได้ทุกนาทีเลย!”
อีแซงซ์อึ้งจนพูดไม่ออก
ตามความเข้าใจของเธอ พวกคนของแก๊งไม่มีใครดีเลย ทั้งหมดเป็นไอ้ระยำที่สมควรตกนรกหมกไหม้!
ชาร์ลียังคงเล่าวกวนไปมา แต่อีแซงซ์ไม่ได้ฟังแล้ว ในหัวคิดถึงแต่คำว่า ‘อยากทำอะไรก็เชิญ’
เมื่อชาร์ลีกลับไป เธอย้อนกลับเข้าห้อง รีบเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อเชิ้ตสตรีกับกางเกงขายาวสีอ่อน
ถัดมา หญิงสาวยกฟูกนอนขึ้น หยิบกองธนบัตรที่มีมูลค่ารวมๆ สองร้อยเฟลคินที่ซุกไว้ออกมา
อีแซงซ์นำธนบัตรทั้งหมดใส่ในกระเป๋า แต่หลังจากไตร่ตรองอยู่สักไม่กี่วินาที เธอก็หยิบธนบัตรออกมาราวๆ ครึ่งหนึ่ง แล้วซ่อนกลับไปยังตำแหน่งเดิม
หญิงสาวพกเงินติดตัวสี่สิบเฟลคิน ปิดประตูห้องแล้วเดินลงบันได
ไม่นานก็เดินพ้นประตูหน้าของโรงแรมระกาทอง ย่างเข้าสู่ถนนอลเวง
บนถนนสายนี้ ต้องเดินค่อนข้างไกลจึงจะพบโคมไฟแก๊สที่ใช้การได้ ท่ามกลางแสงจันทร์สีแดงสด คนเมามากมายกำลังเดินโซซัดโซเซบนถนน บางคนแหกปากตะโกน บางคนร้องเพลง บางคนก็หาเรื่องกัน
อีแซงซ์หลบลี้เหล่าคนเมา เดินเลียบเงามืดไปยังสุดถนนอลเวงด้วยความระมัดระวัง
ระหว่างทาง หญิงสาวนึกถึงภาพคราวก่อนที่เธอพยายามหนี แต่ถูกคนของแก๊งหนามพิษขัดขวางกลางทาง
ความทรงจำการถูกรุมซ้อมในตอนนั้น ทำเอาเธอไม่อาจหยุดสั่นจนถึงตอนนี้
อีแซงซ์เดินช้าลงเรื่อยๆ ประหนึ่งว่ามีคนของแก๊งหนามพิษซุ่มอยู่ข้างหน้า
สุดท้าย หญิงสาวมาถึงทางออกของถนนอลเวง แลเห็นถนนสายหลักอันกว้างขวางด้านนอก
อีแซงซ์มองดูทิวทัศน์ที่เคยไกลเกินเอื้อมด้วยสายตาเหม่อลอย รู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป ดูไม่สมจริงสักเท่าไร
ท่ามกลางความมืดมิดยามวิกาล ท่ามกลางแสงจันทร์สีแดงชาด ขาของเธอก้าวออกไปเอง ยิ่งมากก้าวยิ่งเดินเร็ว
ผ่านไปสักพัก หญิงสาวมาถึงป้ายรถม้าสาธารณะใกล้ๆ
เธอยังไม่ลืม ในวันแรกที่มาถึงทรีอาร์ เธอลงรถม้าป้ายนี้
ในที่สุดก็ได้กลับมาอีกครั้ง
กลางดึกเช่นนี้ย่อมไม่มีรถม้าสาธารณะวิ่ง แต่อีแซงซ์มิได้สนใจ เพียงมองไปยังถนนเบื้องหน้า มองตู้ไปรษณีย์ในความมืด มองป้ายที่เขียนบอกเส้นทางรถม้า จนดวงตาค่อยๆ แดงระเรื่อ
อย่างฉับพลัน อีแซงซ์หันหลังกลับแล้ววิ่ง
เธออยากกลับโรงแรมระกาทองเพื่อไปเก็บข้าวของ รอให้ถึงเช้าจะได้ออกเดินทางจริงๆ!
อีแซงซ์วิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ สัมผัสถึงลมที่ปะทะใบหน้า สัมผัสถึงความเย็นชื้น
ทิวทัศน์ของหญิงสาวเริ่มพร่ามัว ราวกับมองเห็นตัวเองในอดีต
มองเห็นอีแซงซ์ผู้มาถึงกรุงทรีอาร์ด้วยความฝันและความหลงใหล กำลังยืนอยู่ใต้โคมไฟถนนต้นข้างหน้า พลางโบกมือเบาๆ และพูดว่า
รีบตามมาเร็ว!
…
หน้าห้อง 207 โรงแรมระกาทอง
อีแซงซ์เช็ดน้ำตาตรงหางตา แล้วจึงเคาะประตูห้อง
ลูเมี่ยนเปิดประตูออกมา จ้องเธออยู่สักพัก
“มีอะไรหรือเปล่า”
อีแซงซ์ถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแหบ
“คุณช่วยฉันทำไม…”
ลูเมี่ยนยิ้ม
“ทำไมฉันต้องช่วยเธอ? อย่างเธอนี่น่าช่วยตรงไหน?”
“สวยก็ไม่สวย เงินก็ไม่มี”
คำพูดขอบคุณที่อีแซงซ์ตระเตรียมไว้มากมาย ถูกดันกลับลงท้องในพริบตา
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินออกจากชั้นสองอย่างไร ระหว่างเก็บข้าวของก็ยังคงรู้สึกเหมือนฝันไป
มองดูเงาหญิงสาวหายไปจากปากบันได ลูเมี่ยนหัวเราะกับตัวเอง
“ฉันไม่ได้ช่วยเธอหรอกนะ… ก็แค่ไม่ชอบเห็นใครถูกโชคชะตาเล่นตลก”
เราทุกคนล้วนถูกโชคชะตาเล่นตลก แต่ฉันมันพวกไม่เจียมกะลาหัว ก็เลยอยากจะท้าทาย อยากจะต่อต้าน จนกระทั่งความตายมายุติทุกสิ่ง!
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนสัมผัสได้ว่าโอสถนักยั่วยุของตน ถูกย่อยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
แม้หนทางยังอีกยาวไกลกว่าจะย่อยเสร็จสมบูรณ์ ยังต้องขัดเกลาอีกมาก แต่สภาวะนี้สื่อได้ว่า เด็กหนุ่มปรับตัวเข้ากับโอสถนักยั่วยุได้อย่างมั่นคงแล้ว สามารถคำนึงถึงการ ‘ยืม’ พลังที่ถูกผนึกไว้ในร่างกายเพื่อรับพร ‘ภิกษุบิณฑบาต’
ฟังจากชื่อ มันคงช่วยเติมเต็มจุดด้อยในแง่ ‘เทคนิคทางศาสตร์เร้นลับ’ ที่เขายังขาดอยู่
……………………………………………………..