ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 15 ทักทายตามมารยาท
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 15 ทักทายตามมารยาท
ตอนที่ 15 ทักทายตามมารยาท
นกฮูกตัวนั้น?
นกฮูกจากตำนานจอมเวท?
ความคิดแวบเข้ามาในหัวลูเมี่ยนราวกับสายฟ้า เลือดในกายประหนึ่งว่าถูกแช่แข็งกะทันหัน
วินาทีนี้ เขารู้สึกหวาดผวายิ่งว่าตอนที่เห็นสัตว์ประหลาดสามหน้าเสียอีก
เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่คือความจริง ส่วนซากปรักหักพังคือความฝัน
แม้การตายในความฝันจะเท่ากับตายข้างนอก แต่ในทางจิตวิทยา สองสิ่งนี้ยังคงแยกจากกัน
“ทำยังไงดี?”
“โอลัวร์จะติดร่างแหไปด้วยไหม?”
“…”
ระหว่างที่ลูเมี่ยนลองคิดหาวิธี นกฮูกไม่เคลื่อนไหวใดๆ เพียงมองดูอย่างเงียบงันราวกับกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่าง
ถัดมาไม่นาน นกฮูกกางปีกแล้วบินไปทางภูเขากับป่าไกลๆ
ระหว่างทาง มันร่อนลงแล้วหายไป ณ ที่ใดสักแห่งในหมู่บ้านกอร์ตู
จนกระทั่งนกฮูกลับสายตา ลูเมี่ยนจึงผ่อนคลายได้
เด็กหนุ่มทรุดตัวลงบนเก้าอี้ ยกมือขึ้นมาปาดหน้าผาก
หน้าผากที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
“จะใช่นกฮูกจากตำนานจอมเวทจริงหรือ…”
“ถ้าใช่ก็แปลว่าอายุยืนมาก”
“แตกต่างจากนกฮูกปกติแน่นอน ดวงตาไม่เหม่อลอย ยังกับตามนุษย์…”
“ถ้าเป็นนกฮูกตัวเดียวกันจริง ทำไมถึงบินมาที่นอกหน้าต่างบ้านเราล่ะ…เพราะเราพยายามขุดคุ้ยตำนานจอมเวท? แต่ถอดใจไปแล้วนี่นา…”
“มองมาทางนี้สักสองสามครั้งแล้วก็บินไป…”
“แล้วมันจะกลับมาอีกไหม? หรือจะส่งผลอะไรกับโอลัวร์บ้าง?”
เนื่องจากยังไม่เกิดอะไรขึ้น ลูเมี่ยนอยากจับตาดูไปอีกสักพัก แต่เมื่อคำนึงว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับโอลัวร์ เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนไม่ควรปิดบังพี่สาว
พอออกจากห้อง เมื่อเห็นว่าโอลัวร์ยังไม่ตื่น เขาเดินลงชั้นล่างไปเตรียมอาหารเช้าของโปรดของเธอ
ไข่ดาวไข่แดงไม่สุก แพนเค้กโรยน้ำตาล และขนมปังปิ้งธรรมดาทาแยม…
บะหมี่ไว้คราวหน้าแล้วกัน จะใส่ซอสเนื้อด้วย…เมื่อเห็นว่าช่องเก็บบะหมี่ว่างเปล่า ลูเมี่ยนเตือนตัวเองให้นำมาเติมในอีกสองวัน
ที่กล่าวมาข้างต้นคืออาหารจานโปรดของโอลัวร์
เมื่อโอลัวร์ในชุดนอนเดินลงมาชั้นล่างพลางลูบไล้ผมสีบลอนด์ โต๊ะในครัวก็มีอาหารวางเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
“อรุณสวัสดิ์” หญิงสาวพูดพลางใช้มือป้องปากหาว
ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ
“ไม่เช้าแล้วนะ…”
“พี่เป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือไง แผนของแต่ละวันต้องเริ่มตั้งแต่ตอนเช้า”
“ใช่ แผนของวันนี้คือการนอนยังไงล่ะ” โอลัวร์พูดขณะนั่งลง แล้วจึงเริ่มมื้อเช้าด้วยนม
ลูเมี่ยนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะสำหรับหกคน เคี้ยวแพนเค้กยุบยับพลางพูดแบบสบายๆ
“พักนี้ฉันลองตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องหลังตำนานหมู่บ้านพวกนั้นดู”
“ทำไปทำไม?” โอลัวร์ถาม
ลูเมี่ยนไม่อ้อมค้อม
“ก็พี่ไม่ยอมช่วยฉันหาพลังวิเศษ เลยคิดว่าจะพยายามด้วยตัวเองดู อาจมีเบาะแสซ่อนอยู่ในตำนานพวกนั้นก็ได้”
“แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย” โอลัวร์แสดงความเห็นผ่านๆ “ตำนานพวกนั้นถูกใส่สีตีไข่มาหลายชั่วอายุคนจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม หรือไม่ก็เขียนโดยพวกประสาทหลอน ซึ่งไม่มีค่าพอให้สนใจ หืม…บางเรื่องก็อาจแต่งขึ้นเพื่อใช้เป็นข้ออ้าง หึหึ…ถือเป็นการช่วยสนองคนรักสนุกแบบนายไปในตัว”
“ยังไงนะ?” ลูเมี่ยนไม่เข้าใจว่า ‘คนรักสนุก’ ของโอลัวร์หมายถึงอะไร
มันไม่ใช่ภาษาอินทิสด้วยซ้ำ
“คำเต็มๆ ก็คือ ‘คนขี้แกล้ง’ ยังไงล่ะ” โอลัวร์อธิบายสั้นๆ แล้วขมวดคิ้ว “จู่ๆ มาเล่าให้ฟังแบบนี้…ไปเจอปัญหามาใช่ไหม? ก็เลยกลับมาขอความช่วยเหลือจากพี่สาว”
“คล้ายๆ อุบัติเหตุมากกว่า ยังไม่ถึงขั้นเกิดปัญหา” ลูเมี่ยนพูดอย่างมั่นใจ
เด็กหนุ่มจัดระเบียบความคิดสักพักแล้วจึงเอ่ยปาก
“เรื่องแรกที่สืบคือตำนานจอมเวทนั่น”
“ตำนานจอมเวทไหน?” โอลัวร์ดูสับสน
“พี่ไม่เคยได้ยิน?” ลูเมี่ยนประหลาดใจพอสมควร “นานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งเสียชีวิตอย่างกะทันหัน เมื่อชาวบ้านเตรียมจะนำศพไปฝัง นกฮูกตัวหนึ่งได้บินเข้ามาเกาะที่หัวเตียง เกาะอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งศพถูกยกออกมาจึงบินไป ในภายหลัง ศพของชายคนนั้นหนักมาก จนต้องใช้วัวเก้าตัวลากจูง ชาวบ้านจึงได้รู้ว่าสมัยยังมีชีวิต ชายคนนั้นเป็นจอมเวท”
โอลัวร์ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ตำนานนี้ไม่เคยผ่านหูฉัน”
เป็นไปไม่ได้…ลูเมี่ยนทำใจเชื่อไม่ลง
แม้โอลัวร์จะอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ แต่เธอยังคงออกไปข้างนอกเดือนละสองสามวัน เพื่อพูดคุยกับนาโรคาและหญิงชราคนอื่นๆ หรือเล่านิทานให้เด็กฟัง ย่อมต้องได้ยินข่าวลือทุกชนิดผ่านหูมาบ้าง แล้วจะไม่รู้จักตำนานจอมเวทที่ลือกันไปทั่วยังไง?
เหนือสิ่งอื่นใด บ้านของเรายังสร้างขึ้นทับบ้านเดิมของจอมเวทนั่นด้วย!
ก่อนหน้านี้ลูเมี่ยนเคยสงสัยว่า โอลัวร์เลือกปักหลักอยู่ในกอร์ตูเพื่อครอบครองสมบัติของจอมเวทดังกล่าว จนในที่สุดก็ได้พลังวิเศษมาครอง
“ยังไงต่อ?” โอลัวร์ถามอย่างใจเย็น
ลูเมี่ยนตอบตามจริง
“เราถามคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านจนยืนยันได้ว่าเป็นเหตุการณ์จริง แต่ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว บ้านของจอมเวทถูกคนของโบสถ์เผาทิ้ง ส่วนที่ดิน…ก็คือที่ที่เรากำลังอาศัยอยู่”
“พูดจริง?” โอลัวร์ดูประหลาดใจนิดๆ “ก็ว่าทำไมราคาที่ถึงได้ถูกนัก…นึกว่าพวกหญิงชราหลงคำประจบประแจงของฉันเสียอีก…”
ครุ่นคิดอยู่สักพัก หญิงสาวเสริม
“ศพของจอมเวทถูกโบสถ์นำไปเผาสินะ”
“ใช่ ขี้เถ้าถูกฝังในสุสานติดกับโบสถ์” ลูเมี่ยนพยักหน้า
แล้วพูดต่อ
“เนื่องจากไม่มีเบาะแสอื่นอีก เราจึงล้มเลิกการสืบค้น แต่จู่ๆ เมื่อเช้านี้ พอฉันตื่นขึ้นมาก็เห็นนกฮูกตัวหนึ่งอยู่นอกหน้าต่าง ลักษณะคล้ายกับนกฮูกในตำนานนั่นมาก”
“มั่นใจไหม?” โอลัวร์ถามเสียงขรึม
“ไม่มั่นใจเท่าไร แต่มันดูไม่เหมือนนกฮูกธรรมดาจริงๆ” ลูเมี่ยนพยายามตอบให้เป็นกลางที่สุด
โอลัวร์ครุ่นคิดสักพักแล้วพูดช้าๆ
“ช่วงนี้อย่าเพิ่งออกจากหมู่บ้าน และห้ามออกจากบ้านหลังฟ้ามืดเด็ดขาด จนกว่าฉันจะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด”
พูดจบ หญิงสาวยิ้มกึ่งๆ ไม่พอใจ
“เคยย้ำนักย้ำหนาแล้วไม่ใช่หรือไง…การไล่ตามพลังวิเศษเป็นเรื่องอันตราย เห็นไหมว่าปัญหามาแล้ว!”
“ช่างเถอะ…จากเท่าที่ฟัง อีกฝ่ายยังไม่มีเจตนาร้าย ปัญหาน่าจะคลี่คลายได้ไม่ยาก”
โล่งอกไปทีที่พี่ไม่ประมาท…ลูเมี่ยนก้มหน้าลง แล้วจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา
“พี่…ฉันผิดเอง”
จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
“เพื่อนทางจดหมายของพี่ตอบกลับมาหรือยัง”
“จะไปเร็วขนาดนั้นได้ยังไง มันไม่ใช่เมล…เอ่อ ไปรษณีย์สักหน่อย!” โอลัวร์หัวเราะเบาๆ ในคอ
‘ไปรษณีย์’ ก็คือจดหมายหรือพัสดุที่ส่งผ่านกรมไปรษณีย์ไม่ใช่หรือไง? ลูเมี่ยนไม่ค่อยเข้าใจ
…
ณ ประตูทางเข้าร้านเหล้าคร่ำครึ
ลูเมี่ยนยืนอยู่ที่นั่น มองกวาดเข้าไปในร้าน
เขาทราบดีว่าผู้หญิงที่ยกไพ่ทาโรต์ให้ตนคงยังไม่ตื่น เป้าหมายที่กำลังมองหาจึงเป็นกลุ่มคนต่างถิ่นที่ประกอบด้วยไรอัน ลีอา และวาเลนไทน์
ไม่ผิดจากที่ลูเมี่ยนคิด ทั้งสามกำลังนั่งกินมื้อเช้าในร้านเหล้า
เทราต์โรล ไวน์ ขนมปังมายองเนส…หรูหราหมาเห่า…ลูเมี่ยนมองดูสักพัก แล้วจึงออกจากร้านเหล้าคร่ำครึโดยไม่รบกวนลีอากับคนอื่นๆ
ผ่านไปไม่นาน ไรอันกับพรรคพวกเดินออกจากร้าน เตรียมเดินเล่นรอบๆ หมู่บ้านกอร์ตูเพื่อ ‘พูดคุย’ กับคนท้องถิ่น
ลูเมี่ยนเดินเข้าไปหาพวกเขา กางแขนออกแล้วทักทายด้วยรอยยิ้มร่าเริง
“อรุณสวัสดิ์ กะหล่ำปลีของฉัน”
เด็กหนุ่มพบว่าใบหน้าขรึมๆ ของวาเลนไทน์กำลังกระตุก ทางไรอันดูกระอักกระอ่วน ส่วนลีอายิ้มชอบใจ
หืม…ทุกคนใส่ชุดเหมือนวันก่อนเปี๊ยบ เตรียมเสื้อผ้ามาน้อยหรือไง? ลูเมี่ยนสังเกตเห็นว่าลีอายังคงใส่ชุดกระโปรงไร้จีบเข้ารูป ถักจากผ้าแคชเมียร์ เสื้อนอกสีขาว รองเท้าบูตมาร์เซล บนหมวกคลุมหน้ากับรองเท้าบูตห้อยกระดิ่งเล็กสีเงินอย่างสองใบ ส่วนไรอันสวมแจ็กเกตทวีตสีน้ำตาลกับกางเกงสีเหลืองอ่อน สวมหมวกทรงโบว์เลอร์สีเข้ม
วาเลนไทน์ยังคงมาพร้อมกับเรือนผมโรยแป้งและมีร่องรอยการแต่งหน้า
“อรุณสวัสดิ์ลูเมี่ยน ลมอะไรหอบมาล่ะ” ไรอันถามอย่างสุขุม
“พวกคุณเป็นสหายของฉัน จะมาหาต้องมีเหตุผลด้วยหรือ” ลูเมี่ยนตอบด้วยสีหน้าแสร้งเจ็บปวดหัวใจ
แล้วจึงถาม
“เห็นว่าพักนี้พวกคุณชอบคุยกับคนในหมู่บ้าน อยากรู้อะไรเป็นพิเศษล่ะ? หรือกำลังตามหาอะไรอยู่?”
“มาหาฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ กะหล่ำปลีของฉัน เราเป็นสหายกัน ถ้าสงสัยอะไรก็อย่าลังเลที่จะถาม!”
“เราเชื่อคำพูดเธอไม่ได้” วาเลนไทน์ตอบอย่างอดไม่ได้
ไรอันเหลือบมองเป็นนัยบอกให้ใจเย็น
ลูเมี่ยนพูดยิ้มๆ
“แล้วพวกคุณคิดว่าคำพูดของชาวบ้านเชื่อได้?”
ลีอาอึ้งไปชั่วขณะ ส่วนไรอันไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบ
“อันที่จริงก็ไม่ได้เชื่อทั้งหมด เราจะประเมินอย่างรอบคอบโดยคำนึงจากคำตอบและสิ่งที่เราสังเกตเห็น”
“นั่นไง” ลูเมี่ยนกางแขนออก “ในทำนองเดียวกัน การฟังคำตอบจากฉันก็ไม่เสียหายอะไรนี่? อย่างน้อยก็เป็นข้อมูลไว้อ้างอิง”
ไรอันเงียบไปสักพัก เหลียวซ้ายแลขวาตามสัญชาตญาณ
ในช่วงเช้า ชาวบ้านกอร์ตูส่วนใหญ่จะออกไปที่ทุ่งนา แทบไม่มีใครอยู่ใกล้โรงเหล้าคร่ำครึ
“นั่นสินะ” ไรอันพูดอย่างรอบคอบ “เรากำลังตามหาคนอยู่”
“หลวงพ่ออธิการโบสถ์?” ลูเมี่ยนถามยิ้มๆ
ไรอันส่ายหน้า
“ไม่ใช่”
“เราแวะไปหาหลวงพ่อเพื่อถามถึงคนคนนั้น”
“แล้วใครล่ะ?” ลูเมี่ยนทำหน้าอยากรู้ “ฉันรู้จักทุกคนในหมู่บ้าน น่าจะพอช่วยได้นะ”
ไรอันดูไม่ยินดีสักเท่าไร
“อันที่จริง เราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร อายุเท่าไร หรือหน้าตาเป็นยังไง”
“เมื่อไม่นานมานี้ เราได้รับจดหมายจากหมู่บ้านกอร์ตู เป็นจดหมายไม่เผยชื่อ เรากำลังตามหาตัวคนเขียนจดหมาย”
ผู้แจ้งข่าว? ความคิดดังกล่าวแล่นเข้าหัวลูเมี่ยนโดยอัตโนมัติ
เด็กหนุ่มแสร้งทำหน้าไม่เข้าใจ
“หลังจากที่พวกคุณมาถึงหมู่บ้านเพราะจดหมาย…คนเขียนไม่ได้ตามหาพวกคุณ?”
“ไม่เลย” ลีอาตอบแทนไรอัน
“อาจเป็นไปได้ว่า อีกฝ่ายรู้สึกไม่ปลอดภัยและยังไม่เชื่อใจพวกคุณ” ลูเมี่ยนช่วยเดาอย่างกระตือรือร้นและเอาจริงเอาจัง “เดาจากเนื้อหาในจดหมายไม่ได้หรือ?”
สิ่งที่เขาอยากรู้จริงๆ คือเนื้อหาในจดหมาย
หากมันพุ่งเป้าไปหาหลวงพ่อกับลิ่วล้อ เด็กหนุ่มคงจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้ามันเกี่ยวข้องกับโอลัวร์ เขาคงต้องรบเร้าให้พี่สาวของตนทำอะไรสักอย่าง อย่าลืมว่าโอลัวร์มักติดต่อกับ ‘เพื่อนทางจดหมาย’ เป็นประจำ และหาก ‘เพื่อน’ เหล่านั้นถูกจับ เธออาจติดร่างแหไปด้วยโดยมีจดหมายเป็นหลักฐาน
…………………………………………………….