ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 153 ระเบียบแปลกๆ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 153 ระเบียบแปลกๆ
ตอนที่ 153 ระเบียบแปลกๆ
ณ คาบาเร่ต์ลมเอื่อย หน้ารูปปั้นทรงกลมสีขาวที่ประกอบจากกะโหลกศีรษะจำนวนมาก
ลูเมี่ยนหยุดเดิน มองคำบรรยายที่เขียนด้วยภาษาอินทิสนานสองสามวินาที — ‘พวกเขาหลับใหลที่นี่ รอคอยความสุขและความหวังที่จะมาถึง’
เด็กหนุ่มถอนสายตากลับแล้วเดินไปทางประตู
นักเลงสองคนที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อนอกสีดำ หันข้างมายกมือทักทายด้วยความเคารพ
“อรุณสวัสดิ์ ชาร์ล”
พวกเขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งฆ่ามาร์โกต์กับทำให้วิลสันเจ็บหนัก และทราบว่าอีกฝ่ายเข้าร่วมพรรคซาฟาห์แล้ว
“อรุณสวัสดิ์ พวกกะหล่ำปลีของฉัน” ลูเมี่ยนยิ้มพลางทักทายตอบด้วย ‘คำเรียกแสดงความรัก’ ที่ใช้ในแคว้นดาลีแอช
ในคาบาเร่ต์ลมเอื่อยยังมีคนไม่มากนัก เด็กเสิร์ฟกำลังจัดเก้าอี้ บางคนก็ทำความสะอาดพื้น ไม่เร่งรีบ ไม่วุ่นวาย
ลูเมี่ยนเตรียมจะไปหาลูอิสที่ได้รู้จักกันก่อนหน้านี้ อย่างไรเสีย กับแค่งานจิปาถะ เขาไม่อยากรบกวนบารอนบรินิแยร์ แต่ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นมิซิลีที่เคยสะกดรอยตามตน กำลังนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์
มิซิลียังคงสวมหมวกแฟลตแก๊ป ดื่มเบียร์ไรย์ดำ
ลูเมี่ยนเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม
มิซิลีตระหนักได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ จึงแอบเหล่ด้วยหางตาตามความเคยชิน
ทันใดนั้น ร่างกายของเขาพลันแข็งทื่อ ราวกับถูกแช่ทั้งเป็น
วินาทีถัดมา เขารีบลงจากเก้าอี้สูง หันหน้ามองลูเมี่ยนพลางยิ้มอย่างพินอบพิเทา
“อรุณสวัสดิ์ ชาร์ล”
มิซิลีย่อมได้ยินเรื่องที่ชาร์ลจัดการมาร์โกต์ ซ้ำยังโยนวิลสันจากชั้นสี่ของโรงแรมระกาทอง
เรื่องนี้ทำให้เขาโล่งใจอย่างยิ่ง ที่เมื่อครั้งสะกดรอยตามชาร์ลแล้วถูกจับได้ ตนมิได้ปากแข็งจนถึงที่สุด เพราะด้วยนิสัยการลงมือของอีกฝ่าย เชื่อขนมกินได้เลยว่าตนจะถูกฝังไว้ใต้ดินสักมุมหนึ่งในกรุงทรีอาร์อย่างแน่นอน
ลูเมี่ยนยิ้ม
“เรียกแค่ชาร์ลเองหรือ… ฟังดูขาดความเคารพไปหน่อยนะ ว่าไหม?”
หลังจากเห็นมิซิลีหน้าซีดเป็นกระดาษ ลูเมี่ยนเสริมเข้าไปอีกคำ
“ฉันจะถูกเรียกว่าเซอร์ชาร์ลเมื่อไรกันนะ…”
นี่เป็นทั้งการอำเล่นและการแสดงเจตนาทางอ้อมว่า เขาต้องการ ‘ทำงานหนัก’ และ ‘มุ่งมั่นที่จะก้าวหน้า’ เพื่อไต่เต้าไปเป็นหัวหน้าหน่วยของพรรคซาฟาห์โดยเร็ว
“อีกไม่นานหรอก… อีกไม่นาน” มิซิลีพูดตามน้ำด้วยรอยยิ้ม
ในใจเขาคิดจริงจังว่า: ขอแค่นายบอกมา ฉันสามารถเรียกนายว่า ‘อัศวิน’ ได้เลยตอนนี้ เหมือนกับบารอนที่ไม่ใช่บารอนจริงๆ เป็นเพียงชื่อเล่นหรือการอุปโลกน์ตัวเอง
ลูเมี่ยนนั่งลงตรงเคาน์เตอร์บาร์ แล้วตบเบาะเก้าอี้สูงตัวข้างๆ
“นั่งลงสิ ฉันมีเรื่องอยากจะถามนาย”
มิซิลีรีบนั่ง ชี้ไปยังแก้วไรย์เบียร์ตรงหน้าพร้อมกับถาม
“ดื่มสักหน่อยไหม?”
“ขอ ‘เรนเจอร์’ แก้วนึง” ลูเมี่ยนไม่อ้อมค้อม
‘เรนเจอร์’ (Ranger) หมายถึงเบียร์รสส้มผสมทับทิม แพงกว่าเบียร์ไรย์ถึงสองริกต์
มิซิลีรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ก็ยังเรียกบาร์เทนเดอร์
“เรนเจอร์หนึ่งแก้ว”
ถัดมา เขาหันมายิ้มให้ลูเมี่ยนแล้วพูด
“คุณอยากถามอะไรล่ะ”
ลูเมี่ยนรอจนแก้วเบียร์สีส้มเข้มถูกผลักมาอยู่ตรงหน้า แล้วจึงเริ่มถาม
“นายมาเข้าพรรคซาฟาห์ของเราได้ยังไง”
“ผมเป็นคนซาฟาห์” มิซิลีชี้หน้าตัวเองที่เริ่มมีร่องรอยกาลเวลา “ผมมาทรีอาร์เพื่อหางานทำ แต่คนในหมู่บ้านเดียวกันที่ให้ที่พัก เข้าร่วมพรรคซาฟาห์มานานแล้ว”
พรรคซาฟาห์ก่อตั้งโดยชาวแคว้นซาฟาห์ที่ทำงานเป็นกรรมกร เด็กเสิร์ฟ และคนค้าขายในเขตตลาดคนซื่อ พวกเขามีนิสัยกล้าหาญ ไม่กลัวคน กล้าเสียสละ จนไม่นานก็มีถิ่นเป็นของตัวเอง ต่อมา เมื่อพรรคซาฟาห์เติบโตและขยับขยาย พวกเขาเริ่มรับสมาชิกที่เป็นชาวต่างแคว้น รวมถึงคนท้องถิ่นของทรีอาร์ แต่แกนนำส่วนใหญ่ยังคงเป็นชาวแคว้นซาฟาห์อยู่
พยักหน้ารับแผ่วเบา ลูเมี่ยนถามต่อ
“บารอนบรินิแยร์คือบอสใหญ่ของพรรคซาฟาห์ใช่ไหม?”
“ไม่ใช่” มิซิลีจ้องหน้าลูเมี่ยนด้วยความประหลาดใจ
ไอเด็กนี่เข้าร่วมโดยที่ไม่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับพรรคซาฟาห์เลย?
ซ้ำยังลงมือฆ่ามาร์โกต์และทำให้วิลสันเจ็บหนักเพื่อพรรคซาฟาห์!
ลูเมี่ยนดื่มเบียร์รสส้มผสมทับทิม ยิ้มแล้วพูด
“ฉันคิดมาตลอดว่าบารอนบรินิแยร์คือบอสใหญ่ของกลุ่ม ด้วยบุคลิกของเขา การวางตัว และความสามารถ มองจากตรงไหนก็ดูเหมือนบอสใหญ่ไปเสียหมด”
มิซิลีฟังแล้วก็ทำหน้าครั่นคร้าม อยากจะยื่นมือออกมาอุดปากชาร์ลไว้
ใครเขาพูดเรื่องแบบนี้ในที่สาธารณะกัน?
ถ้าท่านผู้นั้นได้ยินเข้า ท่าทีของเขาต่อบารอนจะต้องเปลี่ยนไปแน่!
มิซิลีรีบอธิบาย
“หลักๆ แล้วบารอนจะรับผิดชอบคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ถนนใหญ่ตลาด และธุรกิจเงินกู้ดอกเบี้ยสูง นอกจากเขาแล้วยังมีคนที่มีบทบาทใกล้เคียงกัน เช่น ‘มุสิก’ คริสโตที่ดูแลธุรกิจลักลอบนำเข้า ‘คนยักษ์’ ซิมงต์ที่คุมคาบาเร่ต์หลายแห่งบนถนนไนติงเกล ‘บูตแดง’ ฟรังก้าที่คุมถนนเสื้อนอกขาวและ ‘หัตถ์โลหิต’ เบลคที่คุมครึ่งหนึ่งของตลาดคนซื่อ”
“เหนือพวกเขายังมีหัวหน้าตัวจริงอีกหนึ่งคน แต่ผมไม่รู้จัก และไม่เคยเห็น”
เล่าถึงตรงนี้ มิซิลีลดเสียงลง
“แต่เคยได้ยินว่าเขาเป็นพ่อค้าคนดัง เป็นสมาชิกของสมาคมการค้าซาฟาห์ที่ประกอบธุรกิจใหญ่”
สมาชิกของสมาคมการค้าซาฟาห์? ดูเหมือนว่าสมาคมการค้าจะคอยสนับสนุนแก๊งนี้อยู่ เพื่อสะดวกต่อการทำเรื่องใต้ดิน และป้องกันการชกใต้เข็มขัดจากคู่แข่ง… ลูเมี่ยนรวบรวมข้อมูลจากประสบการณ์สมัยที่เคยเร่ร่อน คำพูดของโอลัวร์ หนังสือ นิตยสาร และหนังสือพิมพ์ในบ้าน จนผุดข้อสันนิษฐานขึ้นมา
ขณะเดียวกัน หลังจากได้ยินว่าชาร์ลมาถึงคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ลูอิสที่ปกติจะคอยประกบบารอนบรินิแยร์ รีบวิ่งลงมาจากชั้นบน ตรงเข้าไปในบาร์
เขากังวลจากก้นบึ้งหัวใจ ว่าเด็กหนุ่มห่ามๆ จากชนบทรายนี้จะก่อปัญหาอะไรขึ้นอีก!
เมื่อเห็นว่าลูเมี่ยนกำลังคุยกับมิซิลี เขาเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม ทำทีเป็นถามผ่านๆ
“มาทำอะไรที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อยแต่เช้าเลย?”
“พอดีมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือน่ะ” ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ
ลูอิสที่ยังมีรอยช้ำบนหน้าผาก ยิ้มด้วยจิตใจที่เริ่มสั่นคลอน
“เรื่องแบบไหน?”
เมื่อเห็นทั้งสองเตรียมจะคุยเรื่องจริงจัง มิซิลีหาข้ออ้างชิ่งหนี ถือแก้วเบียร์ไรย์เดินออกจากบาร์ไปทางลานเต้นรำ
ลูเมี่ยนถอนสายตากลับ กล่าวด้วยจังหวะการพูดช้าลง
“ช่วยฉันหาตากิ้งก่า หินจากรังนกอินทรี และถุงพิษงู”
เขามิได้ไล่รายชื่อวัตถุดิบทุกชิ้นในพิธีกรรม ‘ดูดวง’ โดยตั้งใจจะหาจากหลายๆ แหล่ง
“คุณจะเอาไปทำอะไร?” ลูอิสที่ได้ฟัง พบว่าทั้งสามสิ่งล้วนเป็นวัตถุพิลึกพิลั่นและอัปมงคล
ลูเมี่ยนยิ้ม
“ยังจำได้ไหมว่ามาร์โกต์ตายยังไง?”
ลูอิสพลันขนลุกซู่ ในใจรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังข่มขู่ตน และมันก็ได้ผลอย่างยิ่ง!
แต่คราวนี้ฉันไม่มีเจตนาจะทำให้นายตกใจจริงๆ … ลูเมี่ยนแอบขำในใจ
“ฉันแทงมีดอาบยาพิษใส่มันไปหนึ่งแผล”
“จริงด้วย” ลูอิสหวนนึกถึงบทสนทนาระหว่างชาร์ลกับบารอนบรินิแยร์ในเวลานั้น
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่เข้าใจความนัยที่ตนต้องการสื่อ ลูเมี่ยนอดเสียดสีในใจไม่ได้
“ทำไมถึงได้โง่กว่าชาร์ลีอีก?”
เด็กหนุ่มถอนหายใจแล้วพูด
“ฉันจะใช้ของพวกนั้นสร้างพิษอีกชนิดหนึ่ง”
“คุณจะเอาพิษไปทำอะไร?” ลูอิสแทบจะลุกขึ้นยืนอยู่แล้ว
เขาสงสัยปนเชื่อว่าอีกฝ่ายเตรียมจะก่อเรื่องวุ่นวาย
“ป้องกันตัวเองน่ะ” ลูเมี่ยนตอบสั้นกระชับ
ลูอิสหาจุดโต้แย้งไม่ได้ จึงสูดลมหายใจยาวแล้วพูด
“ผมจะสั่งให้คนไปรวบรวมมาให้”
เขาทวนชื่อวัตถุดิบทั้งหมดซ้ำ ป้องกันความผิดพลาด
ลูเมี่ยนยืนยันความถูกต้องเสร็จ ดื่มเรนเจอร์หนึ่งอึก แล้วหันไปถาม
“นายรู้จัก ‘คาบาเร่ต์แกะดำ’ ไหม?”
ลูอิสมองลูเมี่ยนด้วยสายตาหวาดระแวง
“อย่าไปยุ่งกับพวกเขาเชียว เจ้าของคาบาเร่ต์นั่นน่ะ ทิมมอนส์ สนิทกับกรรมาธิการตำรวจประจำเขตหอดูดาว และดูเหมือนว่าจะมีองค์กรลึกลับหนุนหลังอยู่ด้วย คนที่พยายามข่มขู่พวกเขาต่างก็พบเจอเหตุการณ์พิลึกพิลั่นอันน่าสยดสยอง บางคนจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เจอตัว”
ทุกเขตในกรุงทรีอาร์จะมีกองบัญชาการตำรวจ อยู่ภายใต้การดูแลของกรรมาธิการตำรวจ
ชื่อเต็มของกรรมาธิการตำรวจคือ ‘กรรมาธิการกองกิจการตำรวจแห่งกรุงทรีอาร์’
ไม่แปลกใจที่แก๊งหนามพิษไม่กล้าไปทวงหนี้จากทิมมอนส์… ลูเมี่ยนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
เมื่อสังเกตเห็นว่าลูอิสเอาแต่หวั่นเกรงว่าตนจะไปก่อเรื่อง เด็กหนุ่มจงใจถาม
“ในแก๊งหนามพิษยังมีหัวหน้าหน่วยระดับเดียวกับมาร์โกต์อีกกี่คน ใครบ้าง และบอสใหญ่เป็นใคร?”
เอ็งคิดจะทำอะไร? ลูอิสเกือบเผลอหลุดปาก
เพ้อฝันไปหน่อยไหม?
ลูอิสฝืนข่มใจอย่างยากลำบาก แล้วจึงกล่าว
“ตอนนี้คุณยังไม่จำเป็นต้องทราบ”
ลูเมี่ยนยิ้มอย่างเข้าใจ มิได้ถามต่อ เพียงดื่มเรนเจอร์ของตน
…
เขตหอดูดาว ใกล้กับสุสานใต้ดิน
ลูเมี่ยนพบออสตา·ทรูเอลนั่งอยู่หลังกองไฟ
จึงจิกกัดด้วยรอยยิ้ม
“นายเป็นคนที่ขยันที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็น”
ทุกวัน เจ็ดวันต่อสัปดาห์ มานั่งอยู่ตรงนี้เพื่อหลอกลวงผู้คน
“ผมก็อยากไปเล่นน้ำทะเลที่ชายหาดเหมือนกัน… แต่ตอนนี้ยังมีหนี้อยู่” มิใช่ว่าออสตาไม่เคยคิดถึงการหนีหนี้ ด้วยการนั่งรถไฟไอน้ำออกจากทรีอาร์ แต่พอไปถึงสถานีรถไฟ ก็ถูกคนของบารอนบรินิแยร์ดักไว้และจับมาทุบตีสถานหนัก
สิ่งนี้ทำให้เขาหวาดกลัวพลังของบารอนบรินิแยร์จากก้นบึ้ง จนไม่กล้าคิดจะทำแบบเดิม
“ช่วยฉันหาของหน่อย” ลูเมี่ยนนั่งลงแล้วตรงเข้าประเด็น “มีค่าตอบแทนให้ ชิ้นละห้าเฟลคิน”
ดวงตาของออสตา·ทรูเอลวาววับขึ้นทันที
“ของแบบไหน?”
“เครื่องในแมวป่า ลิ้นไฮยีน่า ไขกระดูกกวางตัวผู้ และสมุนไพรพิษอะไรก็ได้” ลูเมี่ยนไล่เรียงขณะจ้องกองไฟ
“หายากทั้งนั้นเลยนะ” ออสตาพยายามต่อรอง
เขาคิดไว้ว่าจะไปถามจากร้านอาหารป่าในเขตหอดูดาว
ลูเมี่ยนเพิกเฉย เพียงเปลี่ยนเรื่องคุย
“ฉันจะหาสัตว์ประหลาดน้ำได้แถวไหนในทรีอาร์?”
ออสตาคิดสักพักก่อนจะตอบ
“สุสานใต้ดินใกล้กับแม่น้ำเซอเรนโซ่ ในนั้นมีลำธารใต้ดินที่นานๆ ครั้งจะมีคนเจอสัตว์ประหลาดน้ำ”
“แถวริมแม่น้ำเซอเรนโซ่ก็เคยมี แต่ถูก ‘ผู้ชำระ’ หรือคนของ ‘จิตแห่งจักรกล’ จัดการแทบจะทันที”
ลูเมี่ยนพยักหน้า
“แล้วรู้จักคาบาเร่ต์แกะดำไหม?”
“รู้จักสิ” ออสตาชี้ขึ้นข้างบน “อยู่บนถนนเพรง ข้างๆ จัตุรัสแดนชำระ”
“หนึ่งเฟลคิน พาฉันไปที่นั่น” ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน
เขาอยากไปดูสถานที่ด้วยตัวเอง เพื่อทำความเข้าใจเบื้องต้น ถ้าไม่ได้อะไรก็จะปัดตกคำไหว้วานทิ้งไป
ผ่านไปไม่นาน ออสตานำลูเมี่ยนกลับไปยังผิวดิน เลี้ยวเข้าถนนเพรงใกล้กับจัตุรัสและหยุดอยู่หน้าอาคารหลังหนึ่ง ซึ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งกาลเวลา
ผิวอาคารเป็นสีเทาปนน้ำเงิน ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมก่อนยุคโรซายล์เอาไว้
มีทั้งเสาทรงสามเหลี่ยม หลังคาหน้าจั่ว และหน้าต่างกรอบตะกั่ว
คาบาเร่ต์แกะดำตั้งอยู่ที่ชั้นล่างของอาคาร ประตูถูกออกแบบให้เหมือนกับปากยักษ์
ขณะนี้เป็นยามบ่าย มีรถม้าคันหนึ่งแล่นมาจอดริมถนน สามบุรุษหนึ่งสตรีเดินลงจากรถม้า
ทุกคนล้วนสวมสูทสั้นสีเข้ม บรรจงย่างกรายเข้าหาคาบาเร่ต์แกะดำ
เมื่อใกล้ถึงประตู สามบุรุษหนึ่งสตรีหยิบแว่นตาขาเดียวออกมาพร้อมกัน แล้วสวมมันไว้ที่ตาขวา
ได้เห็นฉากดังกล่าว ลูเมี่ยนหันไปมองออสตาด้วยแววตาฉงน
ออสตาอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“นี่คือระเบียบของคาบาเร่ต์แกะดำ ถ้าใครอยากเข้าไปก็ต้องสวมสูทสั้นและแว่นตาขาเดียว”
……………………………………………………..