ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 156 เจ้าของ
ตอนที่ 156 เจ้าของ
ลูอิสกล่าวต่อไป
“ของสามอย่างที่ว่ามา ผมจะให้คนไปส่งที่โรงแรมระกาทองทีหลัง”
“เท่าไร?” ลูเมี่ยนตั้งใจจะเพิ่มเงินให้ลูอิสเป็นค่าตอบแทนพิเศษ
ลูอิสส่ายหน้า
“บารอนบอกว่าคุณไม่ต้องจ่าย คุณแข็งแกร่งขึ้น ก็เท่ากับพรรคซาฟาห์เราแข็งแกร่งขึ้น”
ไม่ต้องฟังคำอธิบายจากบารอนบรินิแยร์ ลูอิสก็เข้าใจได้เองว่าอีกฝ่ายกำลังซื้อใจคน อย่างไรเสีย จำนวนเงินก็ไม่ได้มากมายอะไร ไม่ถึงสิบเฟลคินด้วยซ้ำ
ถ้ายึดตามที่บารอนพูด เราสามารถซื้อวัตถุดิบของโอสถ ‘นักวางเพลิง’ แล้วไปเบิกจากเขาได้สินะ? ลูเมี่ยนพึมพำเงียบ
ขณะลูอิสดื่มน้ำอัดลมรสทับทิม ก็แลเห็นกลุ่มคนเดินเข้ามาจากประตูใหญ่ของคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
ผู้นำกลุ่มตัวสูงมาก สูงเกินหนึ่งเมตรเก้า เรือนผมสีเหลืองอ่อนทั้งสั้นและดูนุ่ม แนบชิดกับหนังหัวประหนึ่งผ้ากำมะหยี่หรูหรา
จมูกบานใหญ่ นัยน์ตาสีฟ้าอ่อน ใบหน้าขรุขระ ผิวหนังหยาบกร้าน สวมสูทสีดำดูค่อนข้างรัด สวมหมวกกลมปีกกว้าง
ลูอิสทำหน้าเคร่งเครียดทันที รีบวางขวดน้ำอัดลมในมือแล้วพูดกับลูเมี่ยน
“ผมต้องไปหาบารอนแล้ว”
ขณะเดียวกัน ชายวัยสามสิบกว่าปีเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่กำยำ นำกลุ่มพวกพ้องที่น่าจะเป็นลูกน้องในแก๊งเดินไปทางบันได จุดหมายคือร้านกาแฟ
“นั่นใคร” ลูเมี่ยนไม่ซ่อนความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น
ลูอิสลุกขึ้นยืน อธิบายอย่างรอบคอบตามนิสัย
“‘คนยักษ์’ ซิมงต์ที่ดูแลคาบาเร่ต์หลายๆ แห่งบนถนนไนติงเกล”
“นั่นก็สมาชิกพรรคซาฟาห์ของเราไม่ใช่หรือ?” ลูเมี่ยนถามต่อ
ลูอิสพยักหน้า
“ผมขอตัวขึ้นไปก่อน เราไม่รู้ว่าเขามาทำอะไร”
ลูอิสเดินไปสองก้าว แอบใช้หางตาเหล่ลูเมี่ยนที่นั่งแช่บนเคาน์เตอร์บาร์
ลูอิสทำได้เพียงผิดหวังอยู่ภายในใจ
“ไม่รู้จักคว้าโอกาสเลยนะ… ในเวลาแบบนี้ คุณควรเดินตามผมขึ้นไปยืนข้างๆ บารอน หาก ‘คนยักษ์’ ซิมงต์พูดจาไม่ดี ก็ถลึงตาจ้องพร้อมกับชี้ปืนใส่เขา แบบนี้บารอนถึงจะเริ่มเชื่อใจคุณ”
“อา… ถึงจะใจเหี้ยม บ้าบิ่น และมีฝีมือ แต่เด็กบ้านนอกก็ยังเป็นเด็กบ้านนอก”
แน่นอน หากลูเมี่ยนเดินขึ้นชั้นสองเพื่อช่วยบารอนรักษาภาพลักษณ์ ลูอิสก็จะรีบปฏิเสธโดยอ้างว่า บารอนกับ ‘คนยักษ์’ ซิมงต์น่าจะคุยความลับของพรรคซาฟาห์ ซึ่งไม่เหมาะที่เด็กใหม่จะยืนฟัง
ณ ตอนนี้ เด็กหนุ่มกำลังคิดว่า
“ในพรรคซาฟาห์ก็มีความขัดแย้งเยอะเหมือนกันนะ…”
“ถ้าบารอนบรินิแยร์กับ ‘คนยักษ์’ ซิมงต์เกิดขัดแย้งกันจนมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายไป บอสใหญ่ที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังก็ต้องหาคนที่สามารถคุมสถานการณ์ขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งแทน… จะมีโอกาสไหนเหมาะไปกว่านี้อีก? เมื่อถึงตอนนั้น หากเราผ่านบททดสอบ ภารกิจของมิสเตอร์ K ก็จะเป็นอันเสร็จสิ้น”
“นอกจากพวกหัวหน้าหน่วย ในพรรคซาฟาห์คงไม่มีใครที่สามารถฆ่ามาร์โกต์ได้ด้วยตัวคนเดียว…”
“คำถามก็คือ จะทำอย่างไรให้บารอนบรินิแยร์กับ ‘คนยักษ์’ ซิมงต์ขัดแย้งกันโดยที่ไม่มีใครสงสัยเรา…”
ท่ามกลางกระแสความคิด ลูเมี่ยนสั่งอัปแซ็งต์มาหนึ่งแก้ว
ยังไม่ทันจะดื่มเหล้าสีเขียวชวนฝันนั่นหมด ก็เห็น ‘คนยักษ์’ ซิมงต์พาลูกน้องเดินลงจากบันไดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ดูไม่ค่อยมีความสุขเลยนะ… ลูเมี่ยนพยักหน้าแผ่วเบาพลางถอนสายตากลับ
เขาไม่รีบร้อนที่จะนำความคิดไปปฏิบัติจริง เพราะตอนนี้ยังรู้จักพรรคซาฟาห์ไม่ดีพอ
ตกเย็น เมื่อลูเมี่ยนกลับถึงโรงแรมระกาทอง คุณนายเฟลส์ที่นั่งอยู่ตรงแผนกต้อนรับรีบลุกขึ้นยืน
“มิสเตอร์เอฟฟ์มาแล้วนะ รอคุณอยู่ที่ห้องอาหารชั้นหนึ่ง ที่นั่งริมหน้าต่าง”
มิสเตอร์เอฟฟ์ที่ได้ยินเกี่ยวกับสีผมแปลกใหม่และทันสมัยของชาร์ลมาบ้างแล้ว เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามาในห้องอาหาร ก็รีบยืนขึ้นพร้อมกับยิ้ม
“มิสเตอร์ชาร์ล ทางนี้ครับ”
มิสเตอร์เอฟฟ์เป็นชายวัยใกล้ห้าสิบ ผมสีบลอนด์เริ่มหงอกขาวบ้างแล้ว แต่ยังคงถูกจัดแต่งอย่างเรียบร้อย สวมเสื้อนอกสีเข้มที่ซักจนซีด กับกางเกงขายาวสีเกาลัดถักจากผ้าขนแกะ นัยน์ตาสีครามไม่ขุ่น บนใบหน้ามีหนวดเคราหร็อมแหร็ม
ลูเมี่ยนเหล่มองไม้เท้าที่พิงอยู่ข้างโต๊ะอาหาร พลางเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม
“สายัณห์สวัสดิ์ครับ มิสเตอร์เอฟฟ์”
หลังจากทั้งสองนั่งลง เอฟฟ์ส่งสัญญาณบอกเด็กเสิร์ฟให้นำอาหารเข้ามา
“ต้องขอโทษด้วย ช่วงนี้ผมยุ่งมากเลย เพิ่งจะมีเวลาว่างแวะมาหาคุณ” เอฟฟ์กล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
เขาพูดด้วยสำเนียงถิ่นของชาวทรีอาร์
ลูเมี่ยนย้อนถามอย่างจงใจ
“คุณไม่ได้มีแค่โรงแรมนี้สินะ?”
ไม่งั้นจะยุ่งอยู่กับอะไรได้อีก?
เอฟฟ์อึ้งจนพูดไม่ออก ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ ‘คำขอโทษตามมารยาท’
เขาอ้อมแอ้มตอบ
“ยังมีธุรกิจกระจุกกระจิกอีกนิดหน่อย แต่ก็ไม่มากมายอะไรครับ”
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันเรื่อยเปื่อย เด็กเสิร์ฟยกอาหารเย็นเข้ามาวางฝั่งละหนึ่งชุด
ซุปถั่วข้นๆ ไส้กรอกหมู ข้าวเฟเนพ็อต และซอสจางๆ ปริมาณราวๆ หนึ่งในห้าของจาน
“นี่คือซอสเนื้อสูตรพิเศษของเรา” เอฟฟ์แนะนำอย่างกระตือรือร้น
สั่งมาแค่นี้? ลูเมี่ยนเริ่มมองความงกของเจ้าของโรงแรมในแง่มุมใหม่
เด็กหนุ่มมิได้ถือสา เพียงกินข้าวเฟเนพ็อตพร้อมกับซอสที่หอมกลิ่นเนื้อบางๆ รสพริกไทย และความเปรี้ยวจากน้ำส้มสายชู
“ทำไมคนงกแบบคุณ ถึงยอมควักเงินซื้อกำมะถันเตรียมไว้ให้ทุกห้อง?”
เขาจงใจไม่ใช่คำว่า ‘มัธยัสถ์’ ที่มีความหมายดีกว่า ด้วยโทนเสียงเต็มไปด้วยการเสียดสี
หน้าตามิสเตอร์เอฟฟ์หมองคล้ำไปในทันที ดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร
แต่ก็รีบควบคุมอารมณ์พลางทำหน้าเจ็บปวด
“โรงแรมมีตัวเรือดเยอะมาก ถ้าไม่เตรียมกำมะถันไว้ให้ คงไม่มีใครอยากเข้าพักแล้ว”
จะแน่หรือ? ถ้าราคาถูกพอ คนจนๆ คงไม่สนว่าจะมีตัวเรือดหรือไม่… ลูเมี่ยนตัดไส้กรอกใส่ปากอย่างไม่แยแส
เขาเคี้ยวสักพักก่อนจะพูด
“ทำไมไม่หาคนทำความสะอาดประจำมาสักสองคน? แบบนั้นจะช่วยลดจำนวนตัวเรือดได้มาก”
“ถ้าจ้างคนทำความสะอาดประจำสองคนต้องเสียเงินตกเดือนละ 130 ถึง 150 เฟลคิน แต่ถ้าทำความสะอาดใหญ่สัปดาห์ละครั้ง จะใช้เงินแค่สิบแปดเฟลคิน” มิสเตอร์เอฟฟ์ตอบตามความจริง
ลูเมี่ยนยิ้ม
“ความหมายของผมก็คือ ทำไมคุณกับลูกๆ ถึงไม่ทำความสะอาดกันเองล่ะ?”
นั่นจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกสัปดาห์ละสิบแปดเฟลคิน
มิสเตอร์เอฟฟ์ดูจะสนอกสนใจ ราวกับมองว่าเป็นแนวคิดที่ไม่เลว
ผ่านไปสิบกว่าวินาที เขาถอนหายใจพร้อมกับพูดเปรยๆ
“น่าเสียดาย ผมกับพวกเขายังมีเรื่องอื่นให้ต้องทำ”
เรื่องอะไร? ลูเมี่ยนไม่ได้ถามต่อ
เด็กหนุ่มมั่นใจว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับความมัธยัสถ์
มิสเตอร์เอฟฟ์มองลูเมี่ยนสักพักก่อนจะพูดอย่างระวังปาก
“ก่อนหน้านี้ผมจ่ายให้มาร์โกต์สัปดาห์ละยี่สิบเฟลคิน คุณอยากได้วันไหน?”
“ไม่ต้องให้ผม เอาเงินไปจ้างคนมาทำความสะอาดใหญ่เพิ่มอีกสัปดาห์ละครั้งเถอะ”
มิสเตอร์เอฟฟ์ประหลาดใจเล็กน้อย แต่มิได้โต้แย้ง อย่างไรเสีย การทำความสะอาดใหญ่ใช้เงินเพียงสิบแปดเฟลคิน และถ้าทำสัปดาห์ละสองครั้งก็สามารถต่อรองราคาได้อีก
ลูเมี่ยนจัดการอาหารในจานจนหมด แล้วจึงเงยหน้าถาม
“พอจะรู้ไหมว่าผู้เช่าคนเก่าของห้อง 504 ไปอยู่ไหน?”
เด็กหนุ่มหมายถึงคนที่ติดรูปภาพของซูซานน่า·มาติสในห้องของชาร์ลี และยังเป็นลูกค้าประจำของถนนกำแพงเมือง ถนนเบรย์ดา และถนนไนติงเกล แต่หลังจากนั้นก็ย้ายออกโดยไม่มีเหตุผล
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ลูเมี่ยนเคยถามคุณนายเฟลส์แล้ว แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ อย่างไรเสีย คุณนายเฟลล์สนใจเพียงใครจ่ายค่าเช่าครบ ข้าวของในห้องเสียหายหรือไม่ มิได้สนใจว่าผู้เช่าคนเก่าจะย้ายไปไหน
มิสเตอร์เอฟฟ์ชะงักไปชั่วขณะ แล้วจึงตอบขณะจ้องอาหารที่เหลือบนจาน
หลังจากมิสเตอร์เอฟฟ์ออกไป เด็กหนุ่มรออีกสักยี่สิบวินาทีจึงค่อยเดินออกจากโรงแรม สะกดรอยตามเจ้าของโรงแรมรายนี้จากระยะไกล ใช้เวลาเกือบยี่สิบวินาทีเดินออกจากโรงแรม
เขาตามไปจนถึงช่วงกลางของถนนใหญ่ตลาด แลเห็นมิสเตอร์เอฟฟ์เข้าไปในอพาร์ตเมนต์สีเบจสูงหกชั้น
คำนึงจากรายละเอียดที่คุณนายเฟลส์เอ่ยถึงบ่อยๆ นี่คงจะเป็นบ้านของมิสเตอร์เอฟฟ์
ลูเมี่ยนไม่รีบตามเข้าไป ‘เยี่ยม’ ในทันที อย่างไรเสีย บางสิ่งบางอย่างเหมาะจะทำในยามวิกาลมากกว่า และเขาก็ไม่แน่ใจว่าผู้วิเศษทางการยังตามสืบเรื่องของซูซานน่า·มาติสอยู่หรือไม่ ถ้าใช่ก็มีโอกาสที่จะสืบหาเบาะแสจากมิสเตอร์เอฟฟ์ หากบังเอิญปะกับอีกฝ่ายเข้า คงได้กระอักกระอ่วนน่าดูชม
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ลูเมี่ยนคงต้องรีบหา ‘รอยแยก’ ใกล้ๆ เพื่อเข้าไปหลบ
ท่ามกลางแสงไฟสีเหลืองจากโคมไฟถนนที่ทยอยสว่างทีละดวง เด็กหนุ่มเดินวนรอบอพาร์ตเมนต์ที่มิสเตอร์เอฟฟ์อาศัย คอยสังเกตสภาพแวดล้อมจากทุกด้าน
สิ่งที่สะดุดตาลูเมี่ยนมากที่สุดก็คือ ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กับอพาร์ตเมนต์หลังดังกล่าว อีกฟากหนึ่งของถนนใหญ่ตลาด มีอาคารสีอิฐแดงที่ถูกปรับปรุงใหม่
โถงทางเข้าถูกค้ำด้วยเสาหลายต้น ด้านบนมีป้ายแขวนอยู่
“โรงละครกรงพิราบเก่า”
ชั่วโมงนี้มีผู้คนหลั่งไหลเข้าไปไม่ขาดสาย ภายในส่งเสียงปรบมือเกรียวกราวสลับกับเสียงดนตรีเป็นระยะ ดูแล้วน่าจะคึกคักมาก
ตามความเข้าใจของลูเมี่ยน นี่คือโรงละครที่มีราคาตั๋วย่อมเยา เจาะกลุ่มประชาชนทั่วไป ถือเป็นโรงละครที่ไม่มีคู่แข่งสูสีในเขตตลาดคนซื่อ
เหมาะแก่การใช้สลัดหนีเมื่อถูกไล่ล่า… ลูเมี่ยนนึกถึงฉากต่างๆ ในนิยายที่เกี่ยวข้องกับโรงละคร พลางหัวเราะในลำคอขณะเดินข้ามถนนเข้าไปในห้องโถงของโรงละครกรงพิราบเก่า
ในนี้มีโปสเตอร์แปะอยู่ประปราย เป็นภาพของละครที่กำลังแสดงอยู่หรือเตรียมจะแสดง รวมถึงช่วงเวลาสุดคลาสสิกในอดีต
ลูเมี่ยนที่กำลังสำรวจว่าควรใช้ประโยชน์จากโรงละครนี้อย่างไร หยุดยืนดูรูปถ่าย ภาพวาด และข้อความต่างๆ ด้วยความสนใจ
ทันใดนั้น เขาพบใบหน้าคุ้นเคยบนโปสเตอร์แผ่นหนึ่งตรงมุม
รับบทเป็นตัวประกอบฉาก เรือนผมสีบลอนด์ที่หงอกขาวอยู่บ้าง นัยน์ตาสีคราม หนวดเคราหร็อมแหร็ม
ไม่ใช่ใครนอกจากมิสเตอร์เอฟฟ์ที่ตนเพิ่งสะกดรอยตามจนถึงเมื่อครู่!
……………………………………………………..