ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 162 ศพหมาดๆ
ตอนที่ 162 ศพหมาดๆ
ลูเมี่ยนในท่านั่งยอง กำลังถือขวดโลหะเล็กๆ สามใบ มองหน้าจินนาพลางพูดยิ้มๆ
“ผมมีวิธีพิสูจน์”
“วิธีอะไร…” ทีแรกจินนาอยากรู้อยากเห็น แต่สักพักก็เริ่มตึงเครียดปนตื่นตระหนก เมื่อเห็นรอยยิ้มแฝงเลศนัยของคู่สนทนา
ลูเมี่ยนตอบโดยยังคงยิ้ม
“คุณมาช่วยผมทดสอบหน่อยสิ ว่าขวดไหนเป็นอะไร”
“ล้อกันเล่นหรือไง?” ถ้ามิใช่เพราะอีกฝ่ายเพิ่งช่วยตนไว้ กอปรกับร่างกายเธอยังอ่อนแอ จินนาคงสบถด่าไปแล้ว
ลูเมี่ยนทำหน้าเคร่งขรึม
“ถ้าเป็นขวดที่มีแก๊สหมดสติ คุณก็แค่หลับไปอีกครั้ง ซึ่งผมไม่ทำอะไรอยู่แล้ว… ถ้าคิดจะทำจริงๆ ตัวคุณในตอนนี้ก็คงจนปัญญาจะขัดขืน และหลังจากที่ทราบแล้วว่าขวดไหนเป็นอะไร ผมยังสามารถใช้แก๊สฉุนปลุกคุณอีกครั้ง ถือโอกาสฟื้นฟูกำลังวังชาไปในตัว”
“ถ้าคุณโชคดี ได้เจอกับขวดที่มีแก๊สฉุนตั้งแต่แรก กำลังวังชาของคุณจะยิ่งฟื้นฟูกลับมาใกล้เคียงปกติ”
ก็สมเหตุสมผลอยู่นะ อย่างแย่สุดก็ไม่ได้เลวร้ายมาก… จินนาแทบจะถูกลูเมี่ยนโน้มน้าว
แต่พริบตาเดียวก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงกัดฟันกรอดขณะเอ่ยปาก
“แล้วถ้าเป็นอีกขวดล่ะ? พวกเรายังไม่รู้เลยว่ามันมีฤทธิ์แบบไหน!”
ถ้ามันเป็นแก๊สพิษ ในนี้ก็ไม่มีใครรักษาได้!
ลูเมี่ยนยิ้มเยาะ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“คุณโง่หรือไง… ขวดที่มีแต่แก๊ส กับขวดที่มีแต่ของเหลว น้ำหนักต่างกันมากโข!”
“และนี่คือขวดที่มีแต่ของเหลว!”
เด็กหนุ่มยกหนึ่งในสามขวดโลหะใบเล็กขึ้นมา แล้วเขย่าเบาๆ
เขาได้ยินเสียงของเหลวสั่นอย่าง ‘ชัดเจน’ ก่อนจะสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตน
“เข้าใจแล้ว…” แม้จะถูกถากถาง แต่จินนากำลังสนใจ ‘การทดลอง’ และมิได้ถือโทษโกรธ
หญิงสาวลังเลแค่ไม่กี่วินาทีแล้วหลับตาลง พูดพลางเงยหน้า
“จัดมา!”
ลูเมี่ยนยัดขวดอีกใบใส่กระเป๋ากางเกง เหลือไว้บนมือแค่หนึ่งขวด
จากนั้น เขาบรรจงเลื่อนขวดที่เหลือเข้าใกล้จมูกของจินนา
วินาทีถัดมา เด็กหนุ่มเห็นหญิงสาวแง้มเปลือกตาขึ้นมาเล็กน้อย
ลูเมี่ยนยิ้มยียวนพลางเปิดฝาขวด
โดยไม่ต้องรอนาน กลิ่นฉุนๆ เหมือนมูลสัตว์หมักหมมเริ่มเจาะทะลวงเข้าไปในนาสิกประสาทของจินนา ส่งผลให้เธอจามติดต่อกันไม่หยุด น้ำหูน้ำตาแทบจะไหล
และทุกครั้งที่ ‘ฮัดชิ่ว’ จินนาจะได้รับกำลังวังชากลับคืนมาหลายส่วน จนกระทั่งลูเมี่ยนปิดฝาขวดและยืนขึ้นจากท่านั่งยอง หญิงสาวจึงรีบยืนตามอย่างกระฉับกระเฉง ลองขยับมือเท้าโดยสัญชาตญาณ
“เรานี่โชคดีจริงๆ!” จินนาพูดกับตัวเองด้วยท่าทีดีอกดีใจ พลางตบตามเสื้อผ้าและกระโปรง
สุ่มได้ขวดที่มีกลิ่นฉุนตั้งแต่ครั้งแรก!
แล้วเธอก็เห็นสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความยียวนของลูเมี่ยน
จินนาใจหายวาบทันที อยู่ดีๆ ก็สัมผัสถึงลางร้าย
หญิงสาวลองถามเพื่อความแน่ใจ
“อย่าบอกนะว่า… คุณรู้แต่แรกแล้วว่าขวดไหนเป็นอะไร?”
ก็เลยเลือกขวดที่มีแก๊สฉุนให้เธอดมได้แม่นยำ?
ลูเมี่ยนคลี่ยิ้ม พลางส่งขวดโลหะในมือให้จินนา
“ลองดมฝาขวดดูสิ”
จินนารับไปด้วยความสงสัย แล้วลองดมฝาขวด
หญิงสาวได้กลิ่นอ่อนๆ บางๆ ที่แทบไม่ส่งผลใด แต่ก็ไม่น่าอภิรมย์นัก
“ขวดอีกใบไม่มีกลิ่น” ลูเมี่ยนเสริมด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าจินนาที่แดงเรื่ออยู่ก่อนแล้ว เปลี่ยนเป็นแดงก่ำทันที
เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนโง่
ดันหลงเชื่อคำพูดอีกฝ่าย แล้วก็ ‘กัดฟัน’ เข้าร่วม ‘การทดลอง’ !
คำพูดแสดงความขอบคุณ รวมถึงความคิดแง่บวกต่างๆ ที่เคยเตรียมไว้ พลันถูกดันกลับเข้าท้องทันที
ลูเมี่ยนไม่สนใจความขุ่นเคืองของจินนา เพียงเก็บขวดโลหะที่ทำเครื่องหมายบากเอาไว้ รวมเข้ากับปึกธนบัตรที่มีมูลค่าแปดเฟลคิน
แม้คนร้ายจะมีพลัง ‘รับรู้ตำแหน่งสิ่งของ’ ที่เคยเป็นของตน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายสิ้นลมไปแล้ว ลูเมี่ยนก็ไม่กลัวการถูกแกะรอย
สำหรับสรรพคุณของขวดโลหะที่บรรจุของเหลว เด็กหนุ่มวางแผนจะทดสอบกับหนู หรือสุนัขจรจัด หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
หลังจากทำทุกอย่างที่ควรทำ ลูเมี่ยนชี้ศพชายวิตถารแล้วพูดกับจินนา
“ช่วยจำหน้าตามันให้หน่อย จดจำลักษณะเด่น แล้วหาคนช่วยระบุตัวตนให้ที”
“ไอ้หมอนี่มีพรรคพวกแน่”
“ได้” จินนาเร่งฝีเท้าเดินเข้าใกล้ศพ ตั้งใจจดจำใบหน้านั้น
หลังจากมองอยู่สักพัก หญิงสาวหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจบลงไป จึงเดือดดาลจากก้นบึ้ง รีบยกขาขวาหวดใส่เป้ากางเกงศพเต็มแรง
หนึ่งที สองที สามที!
“ไอ้เวรตะไล! ไปลงนรกซะ! ลงนรกไปทั้งโคตรเลย!” จินนาระบายอารมณ์เต็มข้อโดยไม่มีผ่อน
ลูเมี่ยนเห็นแล้วก็เจ็บแทน จึงหัวเราะหึๆ แล้วเริ่มเก็บกวาดร่องรอยที่ยังเหลือ
เมื่อจินนาสงบสติลง เด็กหนุ่มถือถุงผ้าใบใหญ่สีเทาอมขาวเดินเข้ามา ขณะยัดศพกับเสื้อผ้าเข้าไปก็ทำทีเป็นถามผ่านๆ
“ถูกมันจับมาได้ยังไง”
จินนาจัดทรงผมสีน้ำตาลอ่อนที่กระเซอะกระเซิงของตน นำมารวบเป็นหางม้าง่ายๆ
หญิงสาวกัดกรามกรอด เล่าด้วยความโกรธ
“ฉันเจอมันในซอยข้างๆ คาบาเร่ต์ลมเอื่อย… ไอ้เวรนี่บอกว่าชอบฟังฉันร้องเพลงมาก อยากได้ลายเซ็นของฉัน พร้อมกับยื่นกระดาษมาให้เสร็จสรรพ เป็นกระดาษที่ทาแก๊สไร้กลิ่นเอาไว้ พอเซ็นเสร็จฉันก็เริ่มเอะใจว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็เสียเรี่ยวแรงไปมากแล้ว”
“แล้วมันก็จู่โจมเข้ามา จับตัวฉันไว้แล้วนำขวดนั่นมาจ่อจมูก หลังจากนั้นฉันก็หมดสติ”
“คุณนี่ไม่รู้จักระวังตัวเลยนะ…” ลูเมี่ยนจิกกัด
จินนาไม่อยากยอมรับ
“ระหว่างร้องเพลงอยู่บนเวที ฉันเคยเห็นเขาหลายครั้ง จึงปักใจเชื่อว่าเขาชอบฟังฉันร้องเพลงจริงๆ … ไม่งั้นไม่มีทางสนใจเขาแน่”
“แล้วอีกอย่าง สำหรับนักร้องที่ยังไม่ดังน่ะ… การที่มีคนมาขอลายเซ็น มันเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจมากเลยนะ…”
“แก๊สนั่นก็ไม่มีกลิ่นด้วย!”
จะให้ระวังตัวยังไงได้?
ลูเมี่ยนยิ้มยียวน
“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องพวกนั้น…”
“เห็นได้ชัดว่าแก๊สนั่น เมื่อถูกทาลงบนกระดาษจะระเหยเร็วมาก ถ้าอยากให้ได้ผล ก็ต้องรีบทาแล้วให้เหยื่อสูดดมภายในเวลาสั้นๆ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ไอ้วิตถารนั่นสะกดรอยตามคุณมานานพอสมควร จนเข้าใจเส้นทางการเดินเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถสกัดคุณได้อย่างประจวบเหมาะในซอยเปลี่ยว โดยใช้แก๊สนั่นทาลงบนกระดาษล่วงหน้าราวๆ สิบถึงยี่สิบวินาที”
“ถูกโรคจิตสะกดรอยตามมานานขนาดนี้ ไม่รู้สึกตัวบ้างหรือไง?”
จินนาเงียบไปทันที กัดฟันกรอดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
ลูเมี่ยนถอนสายตากลับ แอบจิกกัดเบาๆ ในความคิด
ไม่แปลกที่จะไม่สังเกตเห็น ไอ้เวรนี่สามารถแยกแยะข้อมูลฮอร์โมนของบุคคลต่างๆ ได้
หากมิใช่เพราะมิสเตอร์เอฟฟ์อ่อนแอกว่าไอ้วิตถารชัดเจน ยังขาดพลัง ‘ปลุกกำหนัด’ ลูเมี่ยนเชื่อว่าป่านนี้ตนคงถูกเปิดโปงว่าเป็น ‘โจร’ ไปแล้ว
เด็กหนุ่มปิดปากถุงสีเทาขาวที่ด้านในมีศพ แล้วไล่ทำลายร่องรอยที่ยังเหลือในจุดเกิดเหตุ จินนาเห็นดังนั้นจึงช่วยเป็นลูกมือ
มีความชำนาญในการเก็บกวาดจุดเกิดเหตุ… ลูเมี่ยนมองจินนาพลางผุดข้อสงสัย ก่อนจะสะพายถุงผ้าสีเทาขาวขึ้นหลัง แล้วเดินออกจากโพรงถ้ำ
คำนึงจากเหตุการณ์นี้ รวมถึงเรื่องที่จินนาจงใจไม่พูดถึงตอนที่เธอถูกลูเมี่ยน ‘จับกด’ เพราะอิทธิพลของพลังคนร้าย เด็กหนุ่มเชื่อว่า ‘นางพญา’ จินนามีความเข้าใจในโลกเหนือธรรมชาติอยู่บ้าง หรืออาจเป็นส่วนหนึ่งด้วยซ้ำ
และข้อมูลหรือพลังของเธอคงมาจาก ‘บูตแดง’ ฟรังก้าแห่งพรรคซาฟาห์
หลังจากจุดโคมไฟคาร์ไบด์ที่ซ่อนเอาไว้ แล้วยกมันขึ้นมาถือ ลูเมี่ยนหันกลับไปมองส่วนลึกของถนนอีกครั้ง
ลักษณะเป็นทางลาดลง ปราศจากแสงสว่าง มองไม่เห็นสิ่งใดเลย
ความมืดมิดในจุดดังกล่าว เปรียบดังปากขนาดมหึมาที่กำลังรอเขมือบเหยื่อ
“มองอะไรอยู่?” จินนาถามอย่างไม่เข้าใจ
เธอรู้สึกว่าบุรุษนามว่าชาร์ลรายนี้ เป็นคนลึกลับอย่างยิ่ง
ลูเมี่ยนเลิกมอง หันกลับมาแล้วพูดยิ้มๆ
“ผมกำลังสงสัยว่า หากเราเดินลงไปเรื่อยๆ ปลายทางคือที่ใด? ทรีอาร์ในยุคสมัยที่สี่?”
แต่สิ่งที่เขากำลังคิดจริงๆ ก็คือ
พลังของไอ้วิตถารเมื่อสักครู่ คล้ายคลึงกับมิสเตอร์เอฟฟ์อยู่หลายส่วน หากทั้งสองเป็นพวกเดียวกันจริง ถ้าต้องเลือกจุดก่อเหตุในโลกใต้ดิน จิตใต้สำนึกอาจสั่งให้เลือกสถานที่ที่ตัวเองคุ้นเคยโดยไม่รู้ตัว หมายความว่าแถวๆ นี้อาจเป็น ‘จุดหมาย’ ที่มิสเตอร์เอฟฟ์ลงมายังโลกใต้ดินในคืนวันก่อน
หากเป็นเช่นนั้น การเข้าไปสำรวจเส้นทางข้างหน้า ก็อาจช่วยให้ค้นพบบางสิ่งบางอย่าง
จินนากล่าวอย่างผิดหวัง
“ไม่ใช่สถานที่ที่ดีเท่าไรเลย”
ลูเมี่ยนไม่พูดอะไรต่อ เพียงเดินตามทางเพื่อมุ่งหน้ากลับสู่พื้นผิว ส่วนจินนาคล้ายกับครุ่นคิดบางสิ่ง เดินถือโคมไฟคาร์ไบด์ของคนร้ายตามหลังมาโดยไม่พูดไม่จา
เมื่อเข้าใกล้ชั้นที่มีการจำลองถนนจริง ลูเมี่ยนหยุดเดิน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่คนฟังอาจไม่ปลื้ม
“ผมต้องขึ้นไปส่งไหม?”
“คุณไม่กลับหรือ?” จินนาประหลาดใจ
ลูเมี่ยนขยับไหล่
“ต้องหาจุดทิ้งศพนี่ก่อนน่ะ”
จินนาผงกหัวรับโดยไม่ได้ถามซอกแซก
“ฉันกลับเองได้ เคยลงมาใต้ดินแล้ว”
หรือก็คือ เธอมีพลังพอที่จะปกป้องตัวเอง? ลูเมี่ยนมองจินนาที่เดินตัวเบากลับขึ้นไป ภายในใจรำพันอยู่สองสามคำ
ในกรุงทรีอาร์ ทั้งคนทั้งสุนัขมีพลังวิเศษกันหมดเลยหรือ?
เป็นทรีอาร์ที่มีปัญหา หรือเราเองที่มีปัญหา จนได้เจอแต่คนแบบนี้เสมอมา?
เด็กหนุ่มส่ายหัว แบกศพพลางกลบรอยเท้า แล้วจึงเดินกลับไปยังโพรงเหมืองหินที่เคยประกอบพิธีขอ ‘พร’ ก่อนหน้านี้
ระหว่างทาง เขาตรวจสอบเส้นทางเพื่อป้องกันการถูกสะกดรอย ทำซ้ำอยู่สองครั้ง เพื่อยืนยันว่าไม่มีใครตามมา
เมื่อมาถึงโพรงเหมืองหินใต้ดิน ลูเมี่ยนโยนถุงผ้าสีเทาขาวที่บรรจุศพไว้ด้านข้าง แล้วเริ่มตั้งแท่นบูชา
เดิมทีเขามีแผนจะไปหาศพหมาดๆ จากห้องเก็บศพโรงพยาบาลใกล้ๆ ในตอนกลางคืน แต่ปัจจุบันมีตัวเลือกที่ดีกว่าแล้ว!
หลังจากจัดแท่นบูชาเสร็จ จุดเทียนไขและสร้างกำแพงวิญญาณ ลูเมี่ยนหยิบกระดาษที่วาดสัญลักษณ์เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา
บนกระดาษแผ่นดังกล่าว ลวดลายหลักเป็นวงกลมที่ประกอบจากหนาม ล้อมรอบด้วยลวดลายจำพวกดวงตา เส้นโค้ง และแม่น้ำที่ไหลพันกันเอง ซึ่งประกอบจากสัญลักษณ์จำนวนมาก
ภายในห้อง 207 แค่เพียงวาดสัญลักษณ์เหล่านี้ ลูเมี่ยนก็สิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปไม่น้อย
วางกระดาษหนังแกะเทียมเสร็จสรรพ ลูเมี่ยนถอยหลังสองก้าว จ้องเทียนไขสองเล่มที่กำลังลุกไหม้พลางเริ่มคาถาถัดไป
ในพิธีนี้ การสวดวิงวอนถึงตัวเองไม่สามารถใช้รูปแบบ ‘ตัวข้า! ในนามของข้า’ ได้ ต้องออกแบบคำนิยามสามบทให้ตัวเอง เพื่อแสร้งทำเป็นสิ่งมีชีวิตจากโลกวิญญาณ
จะใช้ประโยคใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง ‘อำนาจ’ ที่ถือครอง ขอเพียงสามารถระบุตำแหน่งได้แม่นยำในขอบเขตของกำแพงวิญญาณ
ลูเมี่ยนเปิดปาก เปล่งเสียงภาษาเฮอร์มิสทุ้มต่ำ
“ราชานักแกล้งแห่งหมู่บ้านกอร์ตู น้องชายของโอลัวร์·ลี ที่รู้จักกันในนามลูเมี่ยน·ลี…”
……………………………………………………..