ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 19 เข้าฌาน
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 19 เข้าฌาน
ตอนที่ 19 เข้าฌาน
คุณนายปัวริสไม่ได้คุยกับโอลัวร์นานนัก ผ่านไปราวๆ สิบนาทีก็ออกจากห้องอ่านหนังสือ
ลูเมี่ยนเดินไปส่งคุณนายพร้อมกับพี่สาว
จากนั้นก็หันไปถามโอลัวร์
“เธอขอให้ช่วยอะไร?”
โอลัวร์เม้มปากขณะตอบ
“อยากให้ฉันนำร้องเพลงในพิธีฉลอง แต่ปฏิเสธไปแล้วล่ะ”
เทศกาลมหาพรตของหมู่บ้านกอร์ตูแบ่งออกเป็นสามส่วน หนึ่งคือขบวนแห่ขอพรของ ‘นางฟ้าใบไม้ผลิ’ สองคือพิธีริมน้ำ และสามคือพิธีฉลองในโบสถ์ ซึ่งจะต้องเล่นดนตรีและร้องเพลง
ในเขตดาลีแอช หน้าที่ผู้นำร้องมักเป็นของสมาชิก ‘คายกคณะ’ (คณะประสานเสียง) ประจำโบสถ์ แต่หมู่บ้านกอร์ตูไม่มีของแบบนั้น จึงต้องหาคนที่ร้องเพลงดีมาทำหน้าที่
ในส่วนของเครื่องดนตรี ชาวบ้านไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะในหมู่บ้านที่มีประเพณีเลี้ยงแกะ ดนตรีและเครื่องดนตรีคือหนึ่งในวิถีการดำรงชีวิตหลัก
ต้องไม่ลืมว่าคนเลี้ยงแกะจะใช้ชีวิตตามป่าเขาและทุ่งหญ้าตลอดทั้งปี ทั้งอาศัยในกระท่อมหรือขุดหลุม นอกจากสหายกับฝูงแกะ สิ่งที่พวกเขาได้จับบ่อยๆ คือขลุ่ยที่พกติดตัว
นอกจากการเลี้ยงแกะ เล่นไพ่ และจับกลุ่มพูดคุย คนเลี้ยงแกะส่วนใหญ่ยังเป่าขลุ่ยเพื่อใช้ดนตรีชโลมเลี้ยงจิตใจ
ด้วยเหตุผลข้างต้น คำที่ใช้นิยามคนเลี้ยงแกะผู้ยากจนและตกระกำลำบากจึงเป็น ‘ไม่เหลือแม้แต่ขลุ่ย’
เมื่อรายล้อมไปด้วยคนเลี้ยงแกะ ชาวบ้านกอร์ตูส่วนใหญ่จึงพลอยได้รับอิทธิพล หลายคนเล่นชอบดนตรีระหว่างจับกลุ่มพูดคุยที่ลานจัตุรัส สร้างท่วงทำนองอันไพเราะกังวาน
“อา…” ลูเมี่ยนโล่งอกที่เห็นพี่สาวยังจิตใจแน่วแน่
งานรื่นเริงทำนองนี้ เพียงเข้าร่วมเอาสนุกเป็นสีสันก็พอ การไปเป็นตัวเอกในงานไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองเวลา แต่ยังอาจดึงดูดเสือสิงห์กระทิงแรดโดยไม่จำเป็น
เพื่อความปลอดภัยของสายตา ในบรรยากาศที่มีแสงสว่างจากแค่ตะเกียงน้ำมันก๊าด ลูเมี่ยนอ่านหนังสือไปไม่นานก็ตัดสินใจล้างหน้าแล้วขึ้นเตียง พลางตรึกตรองอย่างเอาจริงเอาจังว่าจะทดลอง ‘ความพิเศษ’ ในฝันของตนอย่างไรให้ปลอดภัย
คำแนะนำของสตรีลึกลับผู้นั้น ในหลายครั้งก็ถูกต้องแม่นยำ ทำให้เด็กหนุ่มปักใจเชื่อโดยไม่รู้ตัว
กลางค่ำกลางคืนอันเงียบสงบ ลูเมี่ยนเข้าสู่โลกแห่งความฝันอีกครั้งและลืมตาตื่น
ตามความเคยชิน เขาสำรวจกระเป๋าแต่ละช่อง นับเงินที่มีและยืนยันว่ายังเหลือ 217 เฟลคิน 25 โกเปต์เท่าเดิม
ถอนหายใจโล่งอก ลูเมี่ยนหยิบขวานกับส้อม ลงบันไดอย่างว่องไวแล้วเดินตรงไปทางเตาผิง
ไฟในเตาดับไปแล้ว
“ระหว่างที่เราไม่ได้ฝัน นาฬิกาที่นี่ยังคงเดินต่อ…” ลูเมี่ยนย่นคิ้วเข้าหากัน
ในความฝันที่ ‘เหมือนจริง’ เช่นนี้ ตนจะไปมีอะไรพิเศษ?
‘นาฬิกาไม่หยุดเดิน’ เป็นสำนวนของเขตดาลีแอช มีความหมายว่า เวลาไม่เคยหยุดรอใคร มีแต่จะไหลไปข้างหน้า
ลูเมี่ยนกลับไปยังห้องนอนที่ตนเชื่อว่าปลอดภัยที่สุด วางขวานกับส้อมลงแล้วรีบถอดเสื้อผ้า
เด็กหนุ่มเดินไปหน้ากระจกเต็มตัวที่ติดกับตู้เสื้อผ้า สำรวจร่างกายทุกซอกทุกมุม ดูว่ามีสิ่งใดแตกต่างจากในโลกแห่งความจริงหรือไม่
ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
“หรือจะเป็นความพิเศษทางจิตใจ?” ลูเมี่ยนไม่รีบสวมเสื้อผ้ากลับ แต่เดินไปทางเตียงนอน นั่งขัดสมาธิคล้ายที่พี่สาวเคยสอน
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เพื่อช่วยให้เขาฝันรู้ตัว โอลัวร์สอนวิธีเข้าฌานง่ายๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสตร์เร้นลับ
เด็กหนุ่มจึงอยากลองทดสอบดูว่า ถ้าใจสงบสุดๆ จะสัมผัสถึง ‘ความพิเศษ’ ที่อาจมีอยู่บนร่างกายและจิตใจหรือไม่
ขั้นแรก ปรับลมหายใจ
ลูเมี่ยนหายใจให้ยาวขึ้น และช้าลงตามจังหวะที่สอดคล้องกัน
แต่ละครั้งที่หายใจลึกๆ ช้าๆ อย่างเป็นจังหวะ ลูเมี่ยนค่อยๆ ทำให้หัวสมองว่างเปล่า
ระหว่างนั้น เด็กหนุ่มเริ่มร่างภาพของพระอาทิตย์สีแดงเจิดจ้าภายในใจ เพื่อให้สมาธิกับความคิดทั้งหมดจดจ่ออยู่กับมัน พลางขจัดความคิดอื่นๆ ที่ยุ่งเหยิงและรกรุงรัง
นี่คือสิ่งที่โอลัวร์คอยกำชับอยู่เสมอ ขณะเข้าฌานควรเลือกสิ่งที่มีอยู่จริงและเป็นตัวแทนของแสงสว่าง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสิ่งที่ชั่วร้ายและโสมมเพ่งเล็ง
ในฐานะสาวกของ ‘สุริยันเจิดจรัส’ ลูเมี่ยนจินตนาการถึงพระอาทิตย์โดยปริยาย
เมื่อจิตใจเริ่มสงบ ในการรับรู้ของเขา โลกทั้งใบดูคล้ายกับเหลือเพียงลูกไฟสีแดง
ทันใดนั้นเอง ลูเมี่ยนแว่วๆ ว่าได้ยินอะไรบางอย่าง
คล้ายกับดังมาจากตำแหน่งสูงอนันต์ แต่ก็คล้ายดังอยู่ข้างใบหู ยากจะฟังได้ศัพท์ อีกทั้งยังอึกทึกครึกโครม
ท่ามกลางเสียงดังๆ ที่ยากจะอธิบาย หัวใจของลูเมี่ยนเต้นแรงทันที คล้ายถูกเหล็กสอดเข้าไปแล้วออกแรงคนกวนสองสามครั้ง
ความเจ็บปวดแสนสาหัสแผ่ซ่านไปถ้วนทั่ว พระอาทิตย์ที่กำลังแผดเผาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ายเลือด ก่อนจะกลายเป็นสีดำเข้มในไม่กี่อึดใจ
ภาพขณะเข้าฌานแตกสลายทันที
ลูเมี่ยนรีบเลิกเปลือกตา หายใจหอบด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย
ผ่านไปราวสิบถึงยี่สิบวินาที เด็กหนุ่มจึงค่อยฟื้นตัวจากประสบการณ์เฉียดตาย
โดยจิตใต้สำนึก เขาก้มสำรวจร่างกายตัวเองอย่างพิถีพิถัน
จนกระทั่งพบบางสิ่งแปลกๆ แถวหน้าอกซ้าย
สัญลักษณ์ที่ดูคล้ายหนาม สีดำเข้ม ราวกับมันงอกออกจากหัวใจ สัญลักษณ์เหล่านี้เชื่อมต่อกันเป็นห่วงๆ คล้ายโซ่ พาดยาวไปถึงด้านหลัง
และด้านบนของ ‘หนาม’ เหล่านี้คือลวดลายที่คล้าย ‘ดวงตา’ ประกบกับ ‘เส้นเกลียว’ ที่ดูเหมือนหนอน ทั้งหมดเป็นสีดำอมเขียว
วินาทีดังกล่าว ลวดลายข้างต้นที่ดูคล้ายรอยสักค่อยๆ จางลง
ลูเมี่ยนตกใจในทีแรก ตามด้วยความคิดพัลวัน
เด็กหนุ่มรีบลุกจากเตียง วิ่งไปหน้ากระจกเต็มตัว หันหลังใส่กระจกแล้วเอี้ยวตัวไปมอง
โดยพยายามหันหน้าไปทางซ้ายให้มากที่สุด เพื่อดูสิ่งที่อยู่บนแผ่นหลัง
และเห็น ‘หนาม’ สีดำที่ประกอบกันเป็นโซ่ มุดเข้าไปในผิวหนังตรงตำแหน่งด้านหลังของหัวใจ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง โซ่ ‘หนาม’ เส้นนี้ได้ล็อกหัวใจของเขา รวมถึงร่างกายแถบนี้ในลักษณะของวงแหวนบรรจบ
“สีดำเข้มกับสีดำอมเขียวเป็นคนละสัญลักษณ์กัน…เราคุ้นๆ กับอันสีดำอมเขียว หืม…มันเหมือนกับที่อยู่บนตัวตาแก่ที่เราเคยช่วยตอนเร่ร่อน…หลังจากนั้นก็เริ่มฝันถึงหมอกหนา…” ลูเมี่ยนวิเคราะห์ ‘ความพิเศษ’ บนร่างกายที่โลกความจริงไม่มี ผ่านไปสักพักมันก็เลือนหายไปสิ้นเชิง
เห็นภาพดังกล่าว ลูเมี่ยนรู้สึกผิดหวัง
ถึงจะพบความพิเศษแล้ว แต่เขารู้สึกว่ามันไร้ค่า
เพราะกระบวนการที่นำพาสัญลักษณ์มาให้ สร้างความเจ็บปวดอย่างอเนกอนันต์ แทบจะใกล้เคียงกับความตาย
ในสภาพที่เกือบจะสลบอยู่รอมร่อ การไปเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดสะพายปืนลูกซอง จะต่างอะไรกับการนำอาหารใส่พานถวายมัน?
และถ้ารอให้เรี่ยวแรงกลับมาจนพร้อมต่อสู้ ความพิเศษก็คงจะเสื่อมคลายไปหมดแล้ว
อากาศในโลกแห่งความฝันค่อนข้างเย็น ใกล้เคียงกับลมหนาวบนภูเขาช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ลูเมี่ยนไม่สบายกายนักเมื่ออยู่ในร่างเปลือยเปล่า จึงเร่งมือสวมเสื้อผ้ากลับไป
เพียงทำเรื่องง่ายๆ เช่นนี้ เขากลับอ่อนเพลียเป็นทวีคูณ ศีรษะเริ่มกลับมาปวดแปลบอีกครั้ง
ชัดเจนแล้วว่า ผลกระทบจากการเข้าฌานเมื่อสักครู่ มิใช่สิ่งที่จะฟื้นตัวกลับเป็นปกติในเวลาอันสั้น
เมื่อนำทุกสิ่งมาผนวกกัน ลูเมี่ยนยอมถอดใจไม่สำรวจในคืนนี้ ไม่ทดลองสิ่งใดอีก เพียงนอนหลับให้เต็มอิ่มเพื่อพักร่างกายอย่างเต็มที่
…
ตื่นนอนอีกครั้ง ฟ้ายังไม่สว่างดี
จ้องมองความมืดภายในห้อง จ้องมองแสงสีแดงระเรื่อบนผ้าม่าน ลูเมี่ยนจดจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในฝันได้อย่างละเอียดลออ
“เราเคยเข้าฌานในโลกความจริงมาหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดได้ยินเสียงประหลาด ไม่มีครั้งใดเจ็บปวด…”
“ความพิเศษนั่น…มีแค่ในความฝัน?” ลูเมี่ยนตั้งคำถามขณะลุกขึ้นนั่ง เตรียมลงมือทดสอบหาความจริง
เขาลองเข้าฌานอีกครั้งตามลำดับขั้นตอน
พระอาทิตย์สีแดงพลันปรากฏในใจ ละอองความสับสนเล็กๆ ค่อยๆ ซาลง
นี่คือประสบการณ์ระหว่างเข้าฌานที่ลูเมี่ยนคุ้นเคย ไม่มีเสียงประหลาด ไม่มีความเจ็บปวดสุดโต่ง ไม่มีวินาทีเฉียดตาย
ผ่านไปสักพัก ลูเมี่ยนเลิกเข้าฌาน ปลดกระดุมเสื้อแล้วก้มมองแถวๆ หัวใจ
ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ เลย
“อย่างที่คิด ความพิเศษนั่นมีแค่ในความฝัน ไม่ส่งผลต่อโลกความจริง…” ลูเมี่ยนไม่แน่ใจว่าตนควรหัวเราะหรือร้องไห้
เด็กหนุ่มเงยหน้า มองไปทางหน้าต่างที่ปิดม่านอยู่ ความคิดเริ่มล่องลอย ไตร่ตรองว่าจะนำ ‘ความพิเศษ’ ในฝันมาใช้ประโยชน์อย่างไร
ทันใดนั้น เงาดำพลันพาดผ่านด้านนอกหน้าต่าง ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก
ลูเมี่ยนออกอาการทันที รูม่านตาขยายกว้าง จิตตึงเครียดสุดขีด
สัญชาตญาณแรกคือการเรียกหาพี่สาว แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนอยู่ในบ้าน โอลัวร์บอกเสมอว่าเธอคอยจับตาดูอยู่ทุกฝีก้าว ย่อมต้องรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
คิดได้แบบนั้น เด็กหนุ่มบรรจงลุกจากเตียง เดินช้าๆ เข้าหาหน้าต่าง
ระหว่างเดิน ลูเมี่ยนรอฟังคำสั่ง ‘หยุด’ จากพี่สาว
แต่จนแล้วจนรอดโอลัวร์ก็ไม่ได้พรวดพราดเข้ามา
ลูเมี่ยนเดินมาถึงหน้าต่าง จับผ้าม่านแล้วเปิดแง้มๆ อย่างเกร็งๆ
ด้านนอกคือความมืดอันเงียบเชียบยามค่ำคืน พระจันทร์สีแดงอ่อนๆ แขวนตัวเองอยู่บนท้องฟ้าไกลๆ
นกฮูกตัวหนึ่งกำลังเกาะอยู่บนต้นเอล์มที่ใบไม้สั่นไหวเบาๆ ตามองมาทางหน้าต่างของลูเมี่ยน
ตัวโตกว่าค่าเฉลี่ยสายพันธุ์ ดวงตาไม่เหม่อไม่แข็ง แววตาขณะกำลังจ้องลูเมี่ยนเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ยากอธิบาย
นกฮูกตัวนั้น!
มันกลับมาอีกแล้ว!
หัวใจลูเมี่ยนแทบหยุดเต้น
ไม่ต่างจากครั้งก่อน หลังจากจ้องตาลูเมี่ยนราวสิบวินาที มันไม่ทำอะไรต่อ เพียงกางปีกบินไปยังความมืดไร้ก้นยามรัตติกาล
“…” ลูเมี่ยนหมดคำจะกล่าว
ผ่านไปพักใหญ่ๆ เด็กหนุ่มรูดผ้าม่านเปิด พลางรำพันอย่างหงุดหงิด
“มันเป็นบ้าอะไรของมัน?”
“บินมาดูหน้าเรา เอาแต่มอง และจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรเลย!”
“แกเป็นใบ้ หรือว่ามีปัญหาทางสมอง ถึงไม่เข้าใจภาษามนุษย์ทั้งที่อยู่มาตั้งหลายปี?”
อันที่จริง ลูเมี่ยนพอจะมีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมของนกฮูก โดยเชื่อว่ามันไม่กล้าลงมือเพราะกลัวโอลัวร์
พี่สาวของเขาเป็นคนกำชับเองว่า ตราบใดที่ไม่ออกจากบ้านในยามวิกาล ลูเมี่ยนก็จะปลอดภัย
ถ้าดันปล่อยให้ความคิดชั่ววูบนำทาง จนเผอเรอโผล่หัวออกไปนอกหน้าต่าง นกฮูกตัวนั้นอาจไม่บินจากไปอย่างสันติเหมือนเมื่อครู่
รำพันได้สักพัก ลูเมี่ยนรูดม่านปิดเพื่อนอนต่อ
เด็กหนุ่มมองไปรอบๆ โดยไม่คิดอะไรมาก แต่ระหว่างที่เหล่มองด้านนอกหน้าต่าง สายตาพลันแข็งค้างไม่ขยับไปไหน
ห่างออกไปราวๆ สิบเมตรจากริมขอบป่าเล็กๆ เงาของใครบางคนกำลังเดินงุ่มง่าม
เธอสวมชุดกระโปรงยาวผ้าเนื้อหยาบสีเข้ม ผมบนหัวทั้งบางและซีด
“นาโรคา…” ลูเมี่ยนรู้จักเงาของอีกฝ่าย
นาโรคาที่ตนเคยไปสอบถามตำนานจอมเวท
ใบหน้าของนาโรคาคล้ายกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับความมืด ดวงตาสะท้อนแสงประหลาดใต้แสงจันทร์สีแดงอ่อน อากัปกิริยาดูแข็งทื่อ ราวกับภูตผีที่เดินเตร็ดเตร่ก็มิปาน
…………………………………………………….