ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 20 ประเพณีนิยม
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 20 ประเพณีนิยม
ตอนที่ 20 ประเพณีนิยม
ลูเมี่ยนเผลอกลั้นหายใจ ขยับร่างกายถอยหลังเล็กน้อย
นาโรคาไม่ได้เดินมาหา แต่เดินเข้าป่าเล็กๆ อย่างช้าๆ หายตัวไปในความมืดมิดยามรัตติกาล
“เธอดูแปลกๆ …เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ…” ลูเมี่ยนกังวลนิดๆ
ในพักหลัง เรื่องแปลกๆ ในหมู่บ้านเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เด็กหนุ่มมองออกไปข้างนอก ค่ำคืนกลับสู่ความสงัดอีกครั้ง มีเพียงใบไม้ที่สั่นไหวแผ่วเบา ช่วยยืนยันการมีอยู่ของสายลม
“ดูอะไรอยู่?” เสียงโอลัวร์ดังมาจากด้านหลัง
ลูเมี่ยนรู้สึกยินดีมากกว่าตกใจ รีบหันกลับไป พูดกับพี่สาวที่สวมชุดนอนสองชิ้น
“พี่ก็สัมผัสถึงบรรยากาศไม่ชอบมาพากลได้เหมือนกันสินะ…”
“เปล่า” ผมบลอนด์ของโอลัวร์ทั้งหยุ่นย่นและฟูฟ่อง คล้ายเพิ่งตื่นนอน
จากนั้น เธอพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ฉันไม่ได้เห็นสิ่งผิดปกติ แค่เห็นเด็กคนหนึ่งไม่ยอมนอนทั้งที่ดึกดื่น…เอาแต่วนเวียนป้วนเปี้ยนแถวหน้าต่างอยู่นั่น”
“อีกแค่ชั่วโมงเดียวก็จะรุ่งสางแล้ว ไม่ดึกสักหน่อย…” ลูเมี่ยนตัดพ้อเบาๆ แล้วถาม “พี่ไม่ได้มาเพราะนกฮูกนั่นหรอกหรือ? ไม่เห็นนาโรคาด้วยหรือไง?”
“นาโรคา?” โอลัวร์ทำหน้างุนงงที่พบได้ไม่บ่อย
ลูเมี่ยนไม่ปิดบัง เริ่มเล่าตั้งแต่ตนตื่นขึ้นมาเห็นเงาดำนอกหน้าต่าง ไปจนถึงนาโรคาที่เดินเข้าป่าเล็กด้วยท่าทีแปลกๆ
เกี่ยวกับ ‘ความพิเศษ’ ที่เกิดจากการเข้าฌานในฝัน เขาคิดจะปรึกษากับสตรีลึกลับก่อน แล้วค่อยหาเหตุผลมาเล่าให้โอลัวร์ฟัง หรือไม่ก็เก็บเป็นความลับไปอีกสักพัก เพื่อไม่ให้พี่สาวขัดขวางการไล่ตามพลังวิเศษของตน
โอลัวร์ขมวดคิ้วสีบลอนด์เงางาม
“คงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับนาโรคา…”
“หลังจากรุ่งสาง นายลองไปดูที่บ้านเธอหน่อยนะ”
“เรื่องไม่ดี?” ลูเมี่ยนถามตามความเคยชิน
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง…ไม่ใช่คนเห็นสักหน่อย ตอบไม่ได้หรอกนะ” โอลัวร์เอ่ยด้วยท่าทีไม่พอใจ
“พี่ไม่เห็น?” ลูเมี่ยนนึกว่าพี่สาวของตนจะเห็นทุกอย่าง
โอลัวร์ ‘ฮึ’ ในคอ
“นายคิดว่าฉันอยากเห็นอะไรก็ได้เห็น? ถ้าไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า นายเตรียมหาจุดฝังศพให้ฉันได้เลย”
“ฉันมองออกไปข้างนอกส่งเดชไม่ได้ ทำได้แค่จับตาดูนาย ถ้าเกิดสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรถึงจะตื่นขึ้นมา”
พี่สาวต้องเสี่ยงขนาดนี้เพื่อคอยดูแลเรา…ลูเมี่ยนตกใจเล็กน้อย พลางกะพริบตาอย่างอดไม่ได้
โอลัวร์เสริมด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“นั่นคือเหตุผลที่ฉันคอยพร่ำบอกนาย อย่ามองสิ่งที่ไม่ควรมอง อย่าฟังสิ่งที่ไม่ควรฟัง การไล่ตามพลังวิเศษคือเรื่องที่อันตรายมาก”
“อื้ม!” ลูเมี่ยนผงกรับหนักแน่น
ขณะเดียวกัน เขาพูดในใจ
“เพราะมันอันตราย ฉันจึงปล่อยให้พี่เดินไปเดียวไม่ได้ไงล่ะ”
….
หลังจากเสร็จมื้อเช้า ลูเมี่ยนรับภารกิจจากพี่สาว รีบไปที่บ้านนาโรคา
ยังไม่ทันจะเข้าใกล้ ก็เห็นชาวบ้านหลายคนยืนอยู่ด้านนอกประตู รวมถึงเพื่อนๆ ของเขาและพ่อของเอวา กิโยม·ลีซิแยร์ พ่อของแรมงด์ ปิแยร์·เคร็กก์ น้องชายของหลวงพ่ออธิการโบสถ์ ปงส์·เบเนต์ รวมถึงคนอื่นๆ
“เกิดอะไรขึ้น?” ลูเมี่ยนเลาะผ่านปงส์·เบเนต์กับลิ่วล้ออย่างระมัดระวัง เข้าไปหาแรมงด์
แรมงด์ตอบเสียงเศร้าๆ
“นาโรคาเสียแล้ว”
“หา…?” แม้นลูเมี่ยนจะเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีกับนาโรคา แต่ไม่คิดว่าจะถึงตาย
แรมงด์เล่าติดๆ ขัดๆ
“เช้านี้ก่อนรุ่งสาง หลวงพ่ออธิการโบสถ์มาทำพิธีส่งวิญญาณให้เธอ”
“เราเพิ่งมาหาเธอเพื่อถามถึงตำนานจอมเวทเมื่อไม่กี่วันก่อนเอง…ตอนนั้นยังแข็งแรงดีอยู่เลย ดูมีชีวิตชีวามาก ทำไมจู่ๆ ถึงได้…”
เช้านี้ก่อนรุ่งสาง? ลูเมี่ยนตกใจเงียบๆ
นั่นคือช่วงเวลาที่เขาเห็นเงาของนาโรคา พิธีส่งวิญญาณของหลวงพ่อคงเกิดก่อนหรือหลังจากนั้นไม่มาก
กำลังจะบอกว่า ที่เราเห็นคือวิญญาณนาโรคา? เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากนกฮูกบินมามองเรา…หรือว่ามันจะพรากวิญญาณมนุษย์ได้จริงๆ? นาโรคาคือหนึ่งในผู้หลงเหลือจากเหตุการณ์จอมเวทนั่นด้วยสิ…ถ้าเราไม่ยอมฟังคำเตือนของพี่สาว ถ้าริอ่านออกจากบ้านกลางดึก คนที่หลวงพ่อจะทำพิธีส่งวิญญาณให้คงเป็นเราแทน…หึ…พิธีของมันคงเป็นการถุยน้ำลายใส่หน้าเรา…ลูเมี่ยนขบคิดหลายสิ่งในหัว
แรมงด์ไม่ได้คุยต่อ เพียงยืนอยู่ด้านนอกบ้านสองชั้นหลังนั้น เศร้าโศกไว้อาลัยนาโรคาอย่างเงียบงัน
หลังจากกลับมาสำรวม ลูเมี่ยนเห็นลีอา ไรอัน และวาเลนไทน์กำลังเดินมาใกล้
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ” ก่อนที่ลูเมี่ยนจะทักทาย ลีอาชิงถาม
พวกเขาพบเห็นชาวบ้านไม่น้อยรวมตัวกันบนถนน
ลูเมี่ยนถอนหายใจแล้วพูด
“กะหล่ำปลีของฉัน หญิงชราที่คนในหมู่บ้านเคารพนับถือเพิ่งเสียไป”
“แล้วทำไมทุกคนถึงเอาแต่ยืนอยู่นอกบ้าน?” ลีอายังไม่รีบไว้อาลัย เพราะไม่ปักใจเชื่อคำพูดของลูเมี่ยน
เธอยังคงสวมชุดตัวเดิมที่เคยใส่ในวันก่อนๆ
ลูเมี่ยนมองลีอาหัวจรดเท้าอย่างเปิดเผย ทำเอาฝ่ายหลังอึดอัดเล็กน้อย
“มีอะไรหรือ” ไรอันถาม
ลูเมี่ยนยิ้มๆ
“พวกคุณไม่ใช่คนถิ่นดาลีแอชสินะ”
“เรามาจากบีกอร์” ไรอันตอบอย่างสงบ
บีกอร์เป็นเมืองหลวงของแคว้นไรสตันในสาธารณรัฐอินทิส ส่วนดาลีแอชเป็นเมืองทางตอนใต้ของแคว้นไรสตัน กินพื้นที่ขนาดใหญ่รวมทั้งหมู่บ้านกอร์ตู
“ไม่แปลกที่พวกคุณๆ จะไม่รู้จักประเพณีนิยมของเขตดาลีแอช” ลูเมี่ยนพยักหน้า
เขาเคยคิดว่าคนต่างถิ่นทั้งสามเป็นเจ้าหน้าที่จากดาลีแอช แต่ปรากฏว่ามาจากบีกอร์ เมืองหลวงของแคว้น
คนพวกนี้คงมีฐานะสูงกว่าที่เราคิด…ลูเมี่ยนปรับความเข้าใจเกี่ยวกับพวกลีอาเงียบๆ
“ประเพณีนิยมแบบไหน?” ลีอาถามอย่างสนอกสนใจ “เล่าให้เราฟังหน่อยสิ”
ลูเมี่ยนคิดจะผูกสัมพันธ์อยู่แล้ว จึงตอบยิ้มๆ
“พวกคุณคือกะหล่ำปลีของฉัน ทำไมจะเล่าไม่ได้ล่ะ”
“คงทราบกันดีอยู่แล้วว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับราศี แต่ในดาลีแอช เราเชื่อว่าแต่ละครอบครัวก็มีราศีเป็นของตัวเอง และมันส่งผลต่อโชคลาภ…ความตายและพิธีฝังศพของสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะเจ้าบ้าน จะพรากโชคลาภเหล่านั้นไป”
“เพื่อไม่ให้กระทบกับราศี เพื่อเก็บรักษาโชคลาภเอาไว้ เราจะวางศพไว้กลางหัวใจของบ้าน นั่นคือห้องครัว จากนั้นก็ตัดผมกับเล็บของผู้ตายออกมาบางส่วน แล้วซุกซ่อนไว้ในบ้านตลอดไป ไม่แพร่งพรายบอกผู้มาเยือนเป็นอันขาด”
“ในเวลาแบบนี้ หากผู้ร่วมงานศพเข้าไปในบ้าน ไม่เพียงจะส่งผลต่อราศี แต่ยังพรากโชคลาภออกไปบางส่วน…เราจึงไว้อาลัยที่ด้านนอกกัน มากที่สุดคือการมองผ่านประตูเข้าไป แล้วค่อยไปรอที่สุสานข้างโบสถ์”
“เข้าใจแล้ว” ไรอันพยักหน้าเบาๆ “ก็เหมือนกับที่วิหารใหญ่ประจำเขตจะมีเทวอัฐิเก็บไว้เสมอ ตามคำกล่าวที่ว่า ‘ที่ใดมีเทวอัฐิ ที่นั่นมีนักบุญ’”
เขาหันกลับไปทางบ้านของนาโรคา ถอดหมวกจากศีรษะวางแนบอก เริ่มไว้อาลัยเงียบงัน
ลีอากับวาเลนไทน์แสดงความไว้อาลัยตาม
พอเห็นทั้งสามทำเสร็จ ลูเมี่ยนเอ่ยปาก
“ฉันจะไปมองศพผ่านประตู ไว้เจอกันใหม่นะ กะหล่ำปลีของฉัน”
“ได้เลย” ไรอันพยักหน้ารับอย่างอ่อนโยน
ลูเมี่ยนลดเสียงลงและเสริม
“ฉันจะช่วยพวกคุณๆ หาหนังสือเล็กปกฟ้าเล่มนั้นด้วย”
โดยไม่รอให้พวกลีอาตอบ ลูเมี่ยนถอยกลับหนึ่งก้าวแล้วพูดยิ้มๆ
“ว่าแต่…ทำไมพวกคุณถึงใส่ชุดเดิมๆ ทุกวันเลยล่ะ?”
“หากต้องอยู่ต่างถิ่นเป็นเวลานาน คงมัวสนใจเรื่องรูปลักษณ์มากไม่ได้” ไรอันตอบง่ายๆ ส่วนลีอาเล่นกระดิ่งเงินที่แขวนบนหมวกผ้าคลุมหน้าตามความเคยชิน
หลังจากอำลาพวกวาเลนไทน์ ลูเมี่ยนเดินไปทางประตูบ้านของนาโรคา
เด็กหนุ่มต่อแถวรออยู่สักพัก จนในที่สุดก็ถึงคิว
เขายืนอยู่ข้างประตู มองเข้าไปในครัวตรงหน้า
ศพของนาโรคายังไม่ถูกนำใส่โลง เพียงนอนเงียบๆ บนเตียงง่ายๆ ที่ประกอบจากม้านั่งยาว
เล็บถูกตัดออกไปแล้ว ผมสีขาวที่มีไม่มากถูกจัดแต่งให้เรียบร้อยกว่าเดิม
ใบหน้าของหญิงชรามีสีซีดอมเขียว เต็มไปด้วยริ้วรอย กระทั่งเด็กหนุ่มจิตใจกล้าหาญอย่างลูเมี่ยนก็ยังขยาดที่จะมองนานๆ
“เทียบกับตอนที่เห็นก่อนรุ่งสาง ใบหน้าของเธอดูซีดเขียวกว่า…” ลูเมี่ยนพึมพำเงียบงัน ก่อนจะกล่าวคำอำลา พลางโค้งศีรษะเล็กๆ แล้วเดินไปจากประตู
ระหว่างเดินไปที่สุสานกับแรมงด์ เด็กหนุ่มตบหัวตัวเองหนึ่งฉาด
“บ้าจริง…ฉันลืมบอกโอลัวร์”
“งั้นก็รีบไปซะสิ” แรมงด์แสดงความเข้าอกเข้าใจ
โอลัวร์ไม่ค่อยออกจากบ้าน หากไม่มีน้องชายแจ้งข่าว ก็คงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน
ลูเมี่ยนฉวยโอกาสตามน้ำ
“พอดีเลย…บ้านนายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ขอยืมหนังสือเล็กปกฟ้าสักสองวันสิ ของที่บ้านฉันโดนหนูแทะเสียไปหลายหน้า อยากได้มาคัดลอกหน่อย”
“ได้” แรมงด์ตอบตกลง
ยังไงเสีย ยังอีกนานกว่าพิธีฝังศพจะเริ่ม
…
“นาโรคาตายแล้ว” ลูเมี่ยนซ่อนหนังสือเล็กปกฟ้า กลับมาถึงบ้าน แล้วบอกกับโอลัวร์
โอลัวร์อดถอนหายใจไม่ได้
“เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจริงๆ ด้วยสินะ”
“ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะนกฮูกตัวนั้น…”
“ฉันก็คิดเหมือนกัน” ลูเมี่ยนเห็นด้วยกับพี่สาว
โอลัวร์ ‘อืม’ ในท่าไตร่ตรอง
“หลังจากค่ำมืด นายห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด”
“และคนที่เคยตามล่าตำนานจอมเวทกับนาย ต้องหาทางตักเตือนพวกเขาด้วย”
“ได้” ลูเมี่ยนเพิ่งใช้ข้ออ้าง ‘นาโรคาถูกถามเรื่องตำนานจอมเวทได้แค่ไม่กี่วันก็ตายแล้ว’ เพื่อขู่แรมงด์ ให้เขาอยู่แต่ในบ้านหลังจากฟ้ามืดไปอีกสักพัก
“นาโรคาเป็นคนดี ฉันจะเปลี่ยนชุดไปร่วมพิธีศพของเธอ” โอลัวร์พูดขณะเดินไปทางบันได “นายจะไปพร้อมฉันเลย หรืออ่านหนังสือทำข้อสอบก่อน?”
ทำข้อสอบในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ? บางครั้งลูเมี่ยนก็ไม่ค่อยเข้าใจหลักคิดของพี่สาว
นึกขึ้นได้ว่าตนต้องรีบเปรียบเทียบหนังสือเล็กปกฟ้า เด็กหนุ่มบอกกับโอลัวร์
“ขอทำข้อสอบก่อน เดี๋ยวตามไป”
“ดีมาก” โอลัวร์ทำหน้าพึงพอใจอย่างยิ่ง
หลังจากส่งพี่สาวออกนอกบ้าน สีหน้าลูเมี่ยนพลันเข้มขรึม
เด็กหนุ่มเดินขึ้นชั้นสอง เข้าไปในห้องอ่านหนังสือ หยิบหนังสือเล็กปกฟ้าที่ยืมจากบ้านแรมงด์ มาเทียบกับของบ้านตัวเองที่แหว่งโหว่ไปบางส่วน
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ คำที่สอดคล้องกันทยอยถูกค้นพบและเขียนลงบนกระดาษขาว
ลูเมี่ยนจดจ่ออย่างจริงจังอยู่พักใหญ่ แล้วจึงปรับแต่งให้เข้ากับสองประโยค
ไม่นาน ‘ข้อความที่เป็นไปได้’ ของจดหมายขอความช่วยเหลือก็ปรากฏ
“เราต้องการความช่วยเหลือโดยด่วน”
“ผู้คนรอบข้างเริ่มทำตัวแปลกเข้าไปทุกที”
…………………………………………………….