ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 29 วิธีการ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 29 วิธีการ
ตอนที่ 29 วิธีการ
ลูเมี่ยนเชื่อมโยงเข้ากับความรู้ทางฟิสิกส์ที่ได้ร่ำเรียนมา จึงนึกถึงกฎข้อหนึ่ง
“ทำไมถึงไม่เรียกว่ากฎการอนุรักษ์ล่ะ?”
“นั่นเป็นกฎอีกข้อหนึ่ง แต่ตอนนี้เธอยังไม่จำเป็นต้องเข้าใจ” มาดามผงกศีรษะเป็นนัยชมเชย “อันที่จริงมันก็คล้ายกับกฎความถาวร แต่เพิ่มเงื่อนไขและคำอธิบายอย่างเฉพาะเจาะจงเข้ามา”
อย่างนี้นี่เอง…ลูเมี่ยนไตร่ตรองสักพัก แล้วพูดอย่างรอบคอบ
“ตามกฎความถาวร…ถ้าฉันอยากได้ตะกอนพลัง นอกจากการล่าสัตว์ประหลาดให้ตรงสาย ยังสามารถเพ่งเล็งผู้วิเศษที่ตรงสายได้ด้วยใช่ไหม?”
เนื่องจากตะกอนพลังไม่มีวันสูญหาย เมื่อผู้วิเศษตายไป ย่อมต้องมีตะกอนพลังเหลืออยู่ในศพ
มาดามทำหน้าหลากอารมณ์
“หัวไวดีนี่”
“ดังนั้น กฎนี้จึงไม่เหมาะที่จะนำไปถ่ายทอดให้ผู้วิเศษส่วนใหญ่ เพราะจะนำไปสู่การฆ่าฟันกันเอง ทำให้ผู้วิเศษหวาดระแวงซึ่งกันและกัน”
“ถึงไม่มีกฎนี้ มนุษย์ก็ฆ่าฟันกันอยู่ดี” ลูเมี่ยนแสดงความเห็นผ่านๆ “ในโลกความจริง ความระแวง การกลั่นแกล้ง และฆ่ากันเองก็ไม่เห็นจะลดลงเลย”
มาดามตอบอย่างสนใจ
“แต่อย่างน้อยก็ยังมีความอบอุ่น ยังมีแสงสว่างของมนุษยชาติอยู่”
ลูเมี่ยนคิดต่อไปอีกสักพัก
“ถ้ามองในมุมกลับ กฎนี้ควรกลายเป็นสามัญสำนึกของผู้วิเศษทุกคนมากกว่า… ผู้ที่อ่อนแอจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของคนกลุ่มน้อยที่รู้กฎ”
มาดามผงกหัวรับ
“ก็มีเหตุผล”
“ในความเป็นจริง ผู้วิเศษต่อสู้กันเองค่อนข้างบ่อย คนที่เคยผ่านความเป็นความตาย ส่วนใหญ่พอจะเดาออกกันอยู่แล้ว”
หญิงสาวหันมาแล้วพูด
“กฎข้อที่สองก็คือ กฎการรวมตัวของตะกอนพลัง”
“การรวมตัว…” ลูเมี่ยนรู้สึกว่าตรงนี้เข้าใจได้ยาก
เขาไม่สามารถอนุมานได้จากเนื้อหาก่อนหน้า
สีหน้าแววตาของมาดามเริ่มจริงจังมากขึ้น
“ในฐานะผู้สร้างโลก แม้พระผู้สร้างต้นกำเนิดจะแตกตัวเป็นตะกอนพลังหลายๆ เส้นทาง แต่มิได้หมายความว่าอิทธิพลของพระองค์หมดสิ้นไป จิตของพระองค์ยังกระจายอยู่ในตะกอนพลังต่างๆ โดยไม่ดับสูญ เว้นแต่โลกนี้จะสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์”
“จิตที่ใกล้เคียงกับตราประทับเหล่านั้น พวกมันมีสัญชาตญาณการ ‘กลับไปรวมตัว’ เพื่อปลุกพระผู้สร้างต้นกำเนิดให้คืนชีพ”
“กล่าวคือ เมื่อกลายเป็นผู้วิเศษ เธอจะพบเจอผู้วิเศษคนอื่นๆ ได้บ่อยขึ้น และจะง่ายยิ่งขึ้นถ้าเป็นผู้วิเศษในเส้นทางเดียวกันหรือใกล้เคียง นี่คือการรวมตัวผ่านโชคชะตา ยิ่งอยู่ในลำดับสูง สถานการณ์ก็จะยิ่งชัดเจน”
ฟังประโยคดังกล่าวจบ ลูเมี่ยนเต็มไปด้วยคำถาม แต่ไม่อาจถามทั้งหมดในคราวเดียว จึงเริ่มจากประเด็นสำคัญที่สุดก่อน
“ถ้าอิงจากกฎความถาวรของตะกอนพลัง… เราสามารถสรุปได้ว่า การรวมตัวที่ว่า มีจุดประสงค์เพื่อฆ่าฟันกันเอง?”
มาดามทำหน้าชื่นชมอีกครั้ง
“เธอหัวไวในเรื่องนี้จริงๆ”
“อาจยังไม่เป็นไรในลำดับต่ำ แต่เมื่อขึ้นไปถึงระดับครึ่งเทพ โดยเฉพาะหลังจากเป็นเทวทูต เธอต้องหาวิธีลดหรือหลีกผลกระทบที่เกิดจากการรวมตัว”
“ครึ่งเทพ… เทวทูต?” แม้ลูเมี่ยนจะทราบแล้วว่า แต่ละลำดับสามารถกลายเป็นเทพแท้จริงในได้ตอนสุดท้าย แต่เมื่อได้ยินสองคำดังกล่าว เขาเริ่มประหลาดใจและสนใจ
มาดามเล่าต่อแบบผ่านๆ
“ครึ่งเทพคือคำย่อของ ‘ครึ่งเทพครึ่งมนุษย์’ นับรวมตั้งแต่ผู้วิเศษลำดับ 4 ไปถึง 1”
“ในกลุ่มนี้ ลำดับ 4 และ 3 จะเรียกว่า ‘นักบุญ’ ลำดับ 2 และ 1 จะเรียกว่า ‘เทวทูต’ และยังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีกในลำดับที่สูงกว่า แต่เธอยังไม่จำเป็นต้องรู้ในตอนนี้”
นักบุญ… เทวทูต… ลูเมี่ยนเชื่อมโยงไปถึงนักบุญและเทวทูตประจำมุขมณฑล
พวกนั้นมีอยู่จริง?
องคาพยพนักบุญ คือซากศพของนักบุญที่มีตะกอนพลังเหลืออยู่?
ลูเมี่ยนรู้สึกกลัวขึ้นมา แต่ยังถามต่อไป
“ทุกตะกอนพลังล้วนมีตราประทับทางจิตของพระผู้สร้างต้นกำเนิด…ยิ่งลำดับสูงก็ยิ่งรุนแรง?”
“แล้วคนที่กินโอสถจะไม่ได้รับผลข้างเคียงเอาหรือ?”
มาดามผงกศีรษะพร้อมกับยิ้ม
“หากไม่ได้รับ พวกเขาคงไม่พูดกันว่า ทางเดินนี้เต็มไปด้วยอันตรายและความบ้าคลั่ง”
“นี่คือหนึ่งในสาเหตุหลักที่การดื่มโอสถอาจนำไปสู่ภาวะคลุ้มคลั่ง”
“เอ่อ…ภาวะคลุ้มคลั่งหมายถึง การสูญเสียความสามารถในการควบคุมพลังและจิตใจ กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว”
“ยังมีสาเหตุอื่นๆ ด้วยหรือ?” ลูเมี่ยนถามต่อ
มาดาม ‘อืม’ ในลำคอ
“สาเหตุแรก จิตของเจ้าของตะกอนพลังคนก่อนที่ยังหลงเหลือ ความรุนแรงจะแปรผันตามลำดับ อา…ความแน่วแน่และความบ้าคลั่งก่อนตายก็มีส่วนด้วยเหมือนกัน…สาเหตุที่สอง การกินโอสถผิดลำดับหรือผิดวิธี จนร่างกายเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง…สาเหตุที่สาม การฉวยโอกาสของตัวตนลึกลับบางพระองค์ ยกตัวอย่างเช่น ทุกครั้งที่เส้นทาง ‘ผู้ส่องความลับ’ ดื่มโอสถ ผู้วิเศษจะถูกบังคับให้รับการถ่ายทอดความรู้จาก ‘ปราชญ์เร้นลับ’ หนึ่งครั้ง”
จะเหมือนกับเสียงที่เราได้ยินหลังจากดื่มโอสถ ‘นักล่า’ ไหมนะ…ลูเมี่ยนครุ่นคิด แล้วเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ปิดท้ายด้วยการสรุป
“นั่นเป็นผลกระทบจากตัวตนใด?”
วินาทีถัดมา เขาพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปเล็กน้อยในทางที่แปลก
เธอกล่าวอย่างจริงจัง
“น่าเสียดาย เจ้าของเสียงดังกล่าวคือหนึ่งในตัวตนเหล่านั้น เธอยังขาดคุณสมบัติที่จะได้ทราบชื่อของพระองค์”
น่ากลัวขนาดนั้นเชียว? เทพลำดับ 0? แต่เรากับคนส่วนใหญ่ในอินทิสต่างก็รู้จัก ‘สุริยันเจิดจรัส’ กับ ‘เทพจักรกลไอน้ำ’ เป็นอย่างดีโดยไม่เกิดปัญหาใด…หรือว่ามีข้อแตกต่างระหว่างเทพแท้จริงกับเทพมาร? ไม่สิ เธอเพิ่งเอ่ยชื่อของ ‘ปราชญ์เร้นลับ’ ไปเมื่อครู่เอง ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเทพมารลำดับ 0… หรือว่าจริงๆ แล้วเธอไม่รู้จักตัวตนลึกลับพระองค์นั้น จึงเลือกใช้คำพูดคลุมเครือเพื่อกลบเกลื่อน? ลูเมี่ยนคิดหลากหลายอย่าง
แต่คำนึงจากสถานะของตน เขาตัดสินใจไม่พูดออกไป เพียงเปลี่ยนไปถามศัพท์ที่น่าสนใจอื่นๆ
“เส้นทางใกล้เคียงคืออะไร?”
สีหน้าของมาดามกลับมาเป็นปกติ
“โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเลือกเส้นทางหนึ่งและดื่มโอสถเข้าไป เราจะต้องเดินไปบนเส้นทางดังกล่าวทีละขั้น มิฉะนั้นจะนำไปสู่การคลุ้มคลั่ง หรืออย่างน้อยก็กึ่งคลุ้มคลั่ง แต่ก็มีข้อยกเว้น ทุกเส้นทางจะมีเส้นทางใกล้เคียงอย่างน้อยหนึ่ง เราสามารถย้ายไปยังเส้นทางใกล้เคียงได้ในลำดับที่เฉพาะเจาะจง เช่นลำดับ 4 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์กับครึ่งเทพ”
“เส้นทางใกล้เคียงของ ‘นักล่า’ คือ ‘นักลอบสังหาร’”
นักลอบสังหาร… ฟังดูมีระดับกว่า ‘นักล่า’ อีกแฮะ… ลูเมี่ยนถามอย่างสนใจ
“แล้วเส้นทางใกล้เคียงของ ‘ผู้ส่องความลับ’ คืออะไร?”
“ถ้าย้ายไปเส้นทางใกล้เคียง ก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากปราชญ์เร้นลับแล้วใช่ไหม?”
“เส้นทาง ‘นักปราชญ์’ … ลำดับ 0 ตอนนี้คือเทพจักรกลไอน้ำ” มาดามตอบด้วยน้ำเสียงสงบ “หลังจากที่ย้ายไป ผู้วิเศษจะยังได้รับผลกระทบจากปราชญ์เร้นลับอยู่ เพียงแต่จะบรรเทาลงมาก เนื่องจากตะกอนพลังที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางเก่ายังอยู่ เว้นเสียแต่จะหาทางขจัดออกไปได้”
“ขจัดออกไปยังไง?” ลูเมี่ยนคาดไม่ถึงว่าจะมีวิธีนี้
“วิธีที่ง่ายที่สุดคือการมีลูก มีโอกาสสูงที่ตะกอนพลังจะส่งต่อผ่านกรรมพันธุ์” มาดามตอบไม่เวิ่นเว้อ “หรืออาจพึ่งพาพลังวิเศษบางชนิดของบางเส้นทาง…แต่ก็มีความเสี่ยงและสิ่งที่ต้องแลกมา”
ลูเมี่ยนพยักหน้ารับแล้วถามเรื่องอื่น
“การย้ายเส้นทางต้องทำในลำดับเฉพาะเท่านั้นหรือ”
การเลื่อนไปถึงลำดับ 4 และกลายเป็นครึ่งเทพ ฟังดูห่างไกลความเป็นจริงเหลือเกิน
“ในทางทฤษฎี เราสามารถย้ายไปยังเส้นทางใกล้เคียงในลำดับต่ำกว่านั้นได้ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงที่จะคลุ้มคลั่ง… ถ้าชีวิตไม่ได้อับจนหนทางขนาดนั้น ขอแนะนำว่าอย่างเสี่ยงดวงจะดีกว่า”
หญิงสาวเว้นวรรค
“อธิบายสองกฎเสร็จแล้ว ถัดไปคือวิธีการ”
“นี่คือหนึ่งในความรู้ที่สำคัญที่สุดของโลกศาสตร์เร้นลับ”
สำคัญที่สุด? ลูเมี่ยนตั้งสติ เตรียมฟังด้วยใจจดจ่อ
มาดามเข้าเรื่อง
“ชื่อของมันคือ ‘การสวมบทบาท’”
“เป็นวิธีที่ช่วยในการย่อยโอสถ และเมื่อโอสถถูกย่อย ในตอนที่กินโอสถลำดับถัดไป โอกาสคลุ้มคลั่งจะลดลงมาก”
ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงห้ามดื่มโอสถลำดับ 9 วันนี้ และดื่มลำดับ 8 ต่อพรุ่งนี้ทันที…ต้องใช้ ‘การสวมบทบาท’ เพื่อย่อยโอสถของลำดับก่อนหน้า…ลูเมี่ยนเข้าใจแจ่มแจ้ง
เด็กหนุ่มไม่ขัดจังหวะ เพียงตั้งใจฟังคำอธิบายของอีกฝ่าย
“จงจำเอาไว้ มันคือการย่อย มิใช่การควบคุม”
“ถ้าถามว่าการสวมบทบาทคืออะไร…มันคือการทำตัวเป็นนักแสดง ที่แสดงตามชื่อของโอสถในลำดับนั้นอย่างสมจริง เพื่อปรับสมดุลระหว่างตัวเธอกับตราประทับทางจิตที่หลงเหลือในตะกอนพลัง เพื่อให้ถูกยอมรับ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาแฝง และเพื่อผสานตะกอนพลังให้เป็นหนึ่งเดียวกับเธอ”
“หรือก็คือ ฉันต้องแสดงเป็น ‘นักล่า’ …ต้องออกไปล่าสัตว์บนภูเขาทุกวัน?” ลูเมี่ยนเข้าสู่โหมดเด็กเรียน
มาดามส่ายหน้า
“นั่นเป็นเพียงการสวมบทบาทผิวเผิน นอกจากต้องเข้าใจความหมายของชื่อโอสถ เรายังต้องวิเคราะห์ความหมายแฝงด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมืองก็ถือเป็นป่า ทุกคนเป็นได้ทั้งเหยื่อและนักล่า”
ถ้าเป็นเรื่องนี้ล่ะก็ เราคุ้นเคยดี…ลูเมี่ยนเข้าใจความหมายแฝงของ ‘นักล่า’ มานานแล้ว
จากสมัยที่เคยใช้ชีวิตเร่ร่อน
“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าโอสถย่อยเสร็จ และพร้อมเลื่อนไปลำดับถัดไป?” เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถามต่อ
มาดามยิ้ม
“เมื่อโอสถถูกย่อยอย่างสมบูรณ์ เธอจะรู้ได้ด้วยตัวเอง”
งั้นหรือ…ลูเมี่ยนไม่ถามซอกแซกในเรื่องเดิม
“ใครเป็นคนตั้งชื่อโอสถพวกนี้?”
เหตุใดการสวมบทบาทตามชื่อ ถึงช่วยย่อยโอสถได้?
สีหน้ามาดามเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“ชื่อโอสถครั้งแรกสุด เกิดจากมรดกที่หลงเหลือจาก ‘การแยกตัว’ ของพระผู้สร้างต้นกำเนิด นั่นคือแผ่นศิลาที่เต็มไปด้วยความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับ”
“เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความลับในการเป็นเทพ มันจึงถูกเรียกว่า ‘ศิลาเย้ยเทพ’”
“ในยุคโบราณ ซึ่งก็คือช่วงปลายยุคสมัยที่สองและสาม เทพผู้ปรีชาสามารถระดับทัดเทียมกับพระผู้สร้างต้นกำเนิดได้ถือกำเนิด พระองค์เป็นที่รู้จักในนาม ‘เทพสุริยันบรรพกาล’ เมื่อพระองค์ร่วงหล่น องคาพยพของพระองค์กลายเป็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง ชื่อและสูตรโอสถ ณ ปัจจุบันทั้งหมดมาจากศิลาแผ่นนั้น”
ประวัติศาสตร์ในยุคสมัยที่สองและสามที่เราเคยเรียน ไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย… ลูเมี่ยนรำพันในใจ
มาดามยังคงเล่าต่อ
“ระหว่างที่จักรพรรดิโรซายล์ยังมีชีวิต ท่านได้สร้างไพ่เย้ยเทพโดยเลียนแบบไพ่ทาโรต์สำรับใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยยี่สิบสองใบ แต่ละใบแทนหนึ่งเส้นทางสู่การเป็นเทพ”
“จักรพรรดิโรซายล์ก็เป็นผู้วิเศษเหมือนกัน?” ลูเมี่ยนทำหน้าตกตะลึง
ในฐานะชาวบ้านธรรมดาของอินทิส เขารู้สึกเคารพนับถือจักรพรรดิโรซายล์อย่างไม่อาจปฏิเสธ
“แล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก?” มาดามหัวเราะเบาๆ
ลูเมี่ยนถามต่อ
“เขาแข็งแกร่งไหม?”
“ใกล้เคียงเทพ” มาดามตอบสั้นๆ
ขนาดนั้นเชียว…? แง่หนึ่งลูเมี่ยนประหลาดใจ แต่อีกแง่ก็มองว่าสมเหตุสมผล
เด็กหนุ่มครุ่นคิดสักพักแล้วถามต่อ
“ถ้างั้นก็หมายความว่า ไดอารีที่จักรพรรดิโรซายล์ทิ้งไว้ก็ต้องมีค่ามากน่ะสิ?”
มาดามผงกศีรษะ
“ใช่ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่อ่านอักษรประหลาดเหล่านั้นออก”
ดูเหมือนโอลัวร์จะมีไดอารีฉบับคัดลอกอยู่ และพี่ก็ทำตัวเหมือนอ่านออก… หรือว่าพลังบางส่วนของพี่มาจากสิ่งนี้? ลูเมี่ยนจมอยู่ในห้วงความคิด
……………………………………………………