ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 3 ฝัน
ตอนที่ 3 ฝัน
ลูเมี่ยนนั่งแช่บนหลังคา ยังไม่ลงในทันที
สีหน้าสงบนิ่งไม่มีเป็นอื่น แววตาขึงขังเคร่งเครียด แตกต่างจากเด็กหนุ่มช่างหัวเราะช่างแกล้งคนในร้านเหล้า
นับตั้งแต่บังเอิญค้นพบว่าโอลัวร์มีเวทมนตร์ เขาก็ปรารถนามันมาตลอด แต่โอลัวร์มักบ่ายเบี่ยงว่า ‘ไม่ใช่สิ่งที่น่าอิจฉาหรือน่าแสวงหาหรอกนะ’ อยู่ร่ำไป ในความเป็นจริง มันทั้งอันตรายและเจ็บปวด เธอจึงไม่อยากให้น้องชายเดินบนเส้นทางนี้
ต่อให้ทราบวิธีมอบพลังวิเศษให้ผู้อื่นเป็นอย่างดี แต่โอลัวร์ไม่มีวันบอกลูเมี่ยนเด็ดขาด
เด็กหนุ่มทำได้เพียงคอยหาโอกาสอ้อนวอนอย่างจริงใจ ไม่อาจบังคับฝืนใจอีกฝ่าย
ผ่านไปราวสิบวินาที ลูเมี่ยนลุกยืน ย้ายไปยังริมหลังคาอย่างคล่องแคล่ว แล้วปีนบันไดไม้กลับสู่ชั้นสองของบ้าน
เด็กหนุ่มเดินเนิบนาบมาจนถึงหน้าห้องโอลัวร์ เมื่อเห็นประตูไม้บานสีน้ำตาลเปิดแง้ม จึงแอบส่องเข้าไป
โอลัวร์ในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะอ่านหนังสือริมหน้าต่าง ขีดเขียนบางสิ่งโดยอาศัยแสงจากโคมไฟ
ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้กำลังเขียนอะไร? เกี่ยวกับไสยเวท? ลูเมี่ยนเท้ามือกับประตูพลางเอ่ยปากกึ่งยิงมุก
“เขียนไดอารี?”
“คนซื่อตรงใครเขาจะเขียนไดอารี” โอลัวร์ไม่เหลียวมามอง ยังคงเขียนต่อด้วยปากกาหมึกซึมด้ามประณีตสีทองแชมเปญ
ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนถูกลูบคม จึงรีบโต้กลับ
“จักรพรรดิโรซายล์ทิ้งไดอารีไว้เกลื่อนกลาดไม่ใช่หรือไง”
โรซายล์คือจักรพรรดิองค์สุดท้ายของสาธารณรัฐอินทิส อาณาจักรที่สองพี่น้องกำลังอาศัย
เป็นผู้สิ้นสุดรัชสมัยของราชวงศ์เซารอน ถูกเถลิงพระเกียรติให้เป็น ‘ซีซาร์’ พร้อมกับสถาปนาตนเป็นมหาจักรพรรดิ
เป็นเจ้าของนวัตกรรมสำคัญมากมาย เช่นการคิดค้นเครื่องจักรไอน้ำ บุกเบิกทางเดินเรือลงทวีปใต้ ปลุกกระแสการล่าอาณานิคมระลอกใหญ่ เปรียบดัง ‘สัญลักษณ์ของยุคสมัย’ เมื่อราวหนึ่งร้อยปีก่อน
น่าเสียดาย ในช่วงบั้นปลายชีวิต เขาถูกทรยศและถูกลอบสังหารในบรมมหาราชวังเมเปิ้ลขาวแห่งกรุงทรีอาร์
หลังจากมหาจักรพรรดิสิ้นพระชนม์ ไดอารีของพระองค์เริ่มกระจัดกระจาย แต่ทั้งหมดถูกเขียนไว้ด้วยอักขระที่ไม่มีใครอ่านเข้าใจ ราวกับไม่ใช่ภาษาของโลกนี้
“ก็โรซายล์ไม่ใช่คนซื่อตรงไง” โอลัวร์เย้ยหยัน ยังคงหันหลังให้ลูเมี่ยน
“ถ้างั้นกำลังเขียนอะไร?” ลูเมี่ยนฉวยโอกาสถามตามน้ำ
นี่คือสิ่งที่เขาอยากรู้จริงๆ
โอลัวร์ตอบผ่านๆ
“จดหมาย”
“หาใคร?” ลูเมี่ยนขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
โอลัวร์หยุดปากกาหมึกซึมสีทองแชมเปญสลักลวดลายงามประณีต แล้วเริ่มตรวจทานข้อความที่เขียน
“เพื่อนทางจดหมาย”
“เพื่อนทางจดหมาย?” น้ำเสียงลูเมี่ยนแฝงความงุนงง
อะไรกันล่ะนั่น?
โอลัวร์ยิ้ม สางปอยผมสีบลอนด์ทัดหูพร้อมกับอบรมน้องชาย
“นี่คือเหตุผลที่ฉันคอยจ้ำจี้จ้ำไชให้นายอ่านหนังสือพิมพ์กับหนังสือให้มากๆ ไม่ใช่เอาแต่ออกไปเที่ยวเล่นทั้งวัน แถมยังดื่มเหล้า!”
“ดูนายตอนนี้สิ มีอะไรต่างไปจากตอนที่อ่านเขียนไม่ได้บ้าง?”
“เพื่อนทางจดหมายคือเพื่อนที่รู้จักกันผ่านคอลัมน์หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร หรืออะไรทำนองนั้น แต่ไม่เคยเจอหน้ากัน เพียงสื่อสารผ่านการเขียนจดหมาย”
“เพื่อนแบบนั้นจะไปมีความหมายอะไร?” ลูเมี่ยนทำหน้ากังวล
เด็กหนุ่มดึงมือกลับจากบานประตู นำมาลูบคางอย่างอดไม่ได้
โอลัวร์ยังไม่เคยมีแฟน จะปล่อยให้ถูกผู้ชายที่ไม่เคยเจอหน้าหลอกเอาไม่ได้
“มีความหมายอะไร?” โอลัวร์ครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจัง “ประการแรก คุณค่าทางอารมณ์ หึ…นายคงไม่รู้จักคุณค่าทางอารมณ์สินะ มนุษย์น่ะเป็นสัตว์สังคม โหยหาการสื่อสาร แต่มีบางเรื่องหรือบางอารมณ์ที่ฉันจะไม่เล่าให้คนในหมู่บ้านฟังเด็ดขาด รวมถึงนายด้วย…สิ่งที่ฉันต้องการคือช่องทางระบายอารมณ์อย่างลับๆ ในแง่นี้ เพื่อนทางจดหมายที่ไม่ได้เจอหน้ากันจึงเหมาะสมที่สุด…ประการที่สองและสุดท้าย อย่าประเมินเพื่อนทางจดหมายของฉันต่ำเกินไป! ฉันมีเพื่อนแบบนี้หลายคน มีไม่น้อยเลยที่เป็นคนเก่ง บางคนภูมิความรู้กว้างขวาง…เห็นโคมไฟแบตเตอรี่อันนี้ไหม? เพื่อนทางจดหมายเป็นคนให้มา ตะเกียงน้ำมันก๊าดกับเทียนไขทำร้ายสายตาเกินไป ไม่เหมาะกับการอ่านเขียนตอนกลางคืน…”
โดยไม่รอให้ลูเมี่ยนถามอีก โอลัวร์ยกมือซ้ายโบกมือในท่าหันหลัง
“ไปนอนได้แล้ว เจ้าน้องชายขี้เมา!”
“ราตรีสวัสดิ์!”
“ก็ได้…ราตรีสวัสดิ์” ลูเมี่ยนไม่ซักไซ้ต่อ แม้จะไม่เต็มใจนัก
โอลัวร์ทิ้งท้ายอีกหนึ่งคำสั่ง
“อย่าลืมปิดประตูให้ฉันด้วย ประตูกับหน้าต่างน่ะ ถ้าเปิดทิ้งไว้มันจะหนาว”
ลูเมี่ยนบรรจงปิดประตูไม้สีน้ำตาล
เด็กหนุ่มเดินกลับห้อง ถอดรองเท้าแล้วนั่งลงบนเตียง
ในบรรยากาศสลัวๆ ยามค่ำคืน ลูเมี่ยนนั่งมองโต๊ะไม้ริมหน้าต่าง เก้าอี้เอนหลัง ชั้นหนังสือเล็กๆ ริมผนัง และตู้เสื้อผ้าฝั่งตรงข้ามกัน
เด็กหนุ่มไม่พูดไม่จา ดำดิ่งในห้วงความคิด
เขาทราบเป็นอย่างดี โอลัวร์มีความลับส่วนตัว และมีหลายๆ เรื่องที่ไม่ได้บอกตน นี่ไม่ใช่อะไรใหม่
ลูเมี่ยนเพียงกังวลว่าความลับเหล่านั้น เรื่องเหล่านั้น จะนำพาอันตรายมาสู่โอลัวร์
และหากมันเกิดขึ้น ตนก็คงทำอะไรไม่ได้มาก
เขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่มีร่างกายค่อนข้างแข็งแรงและไหวพริบค่อนข้างดี
หลังจากความคิดมากมายแล่นเข้ามาแล้วหายไป ลูเมี่ยนถอนหายใจแผ่ว ลุกจากเตียง ตรงไปยังห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา
จากนั้นก็ถอดแจ็กเกตสีน้ำตาลตัวนอก ทิ้งตัวลงบนเตียงที่ยังเย็น
ในช่วงท้ายเดือนมีนาคมถึงต้นเมษายน อากาศถือว่ายังค่อนข้างหนาว
…
พวกมันกระจายจนเต็มทิวทัศน์ บดบังทัศนวิสัยระยะไกลจนหมด
ลูเมี่ยนเดินเตร็ดเตร่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น แต่ไม่ว่าจะไปทิศใด ไกลแค่ไหน สุดท้ายก็จะวกกลับมาที่เดิม
ห้องนอนของเขา
ห้องนอนที่ประกอบด้วยชุดเตียงนอนสีขาวสี่ชิ้น โต๊ะไม้กับเก้าอี้ริมหน้าต่าง ชั้นหนังสือ และตู้เสื้อผ้า
…
ฟู่ ลูเมี่ยนเลิกเปลือกตาขึ้น
แสงแดดย่ำรุ่งส่องผ่านผ้าม่านสีน้ำเงินที่ไม่หนานัก มอบความสว่างไปครึ่งห้องนอน
ลูเมี่ยนลุกขึ้นนั่ง เหม่อมองฉากดังกล่าว รู้สึกราวกับยังฝันอยู่
เขาฝันแบบนั้นอีกแล้ว
ฝันถึงหมอกสีเทาที่ไม่มีวันพร่าเลือน
ลูเมี่ยนเลื่อนมือสองข้างขึ้นมากดขมับ ปากพึมพำไร้เสียง
“พักนี้มาบ่อยชะมัด…แทบจะทุกวันเลย…”
หากมิใช่เพราะฝันดังกล่าวยังไม่เกิดโทษ ลูเมี่ยนคงมิอาจเยือกเย็นเหมือนอย่างตอนนี้
แน่นอน มันไม่นำพาเรื่องดีๆ เช่นกัน
“ถ้าเป็นลางบอกเหตุของเรื่องลี้ลับก็ดีสิ…” ลูเมี่ยนพึมพำขณะลุกจากเตียงนอน
เพียงเปิดประตูห้องนอนแล้วเดินออกไป เขาได้ยินเสียงจากห้องของโอลัวร์
บังเอิญชะมัด…บนใบหน้าลูเมี่ยนมีรอยยิ้มฉาบ
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มผุดความคิด จึงก้าวถอยหลังมายังขอบประตูห้องนอน
เมื่อประตูห้องโอลัวร์เปิดออก ลูเมี่ยนรีบยกมือขวาขึ้นมาจับขมับ ใบหน้าเผยความเจ็บปวดเจือจาง
“เกิดอะไรขึ้น?” โอลัวร์หันมาเห็น
สำเร็จ! ลูเมี่ยนดีใจเงียบ แสร้งฝืนข่มความเจ็บปวดทางใบหน้า
“ฉันฝันแบบนั้นอีกแล้ว” เขาตอบเสียงแผ่ว
โอลัวร์ที่ปล่อยผมสีทองทิ้งตัวตามธรรมชาติ ย่นคิ้วด้วยความกังวล
“วิธีล่าสุดไม่ได้ผลสินะ…”
หญิงสาวครุ่นคิดสักพัก
“บางที…อาจต้องหานักสะกดจิตมาลอง…นักสะกดจิตตัวจริงน่ะ จะได้รู้ว่าอะไรคือสาเหตุ”
“คนที่มีเวทมนตร์น่ะหรือ?” ลูเมี่ยนถามเจาะจง
โอลัวร์ผงกหัวรับเบาๆ
“หนึ่งในเพื่อนทางจดหมาย?” ลูเมี่ยนซักไซ้อย่างไม่อาจห้ามใจ
“สนใจทำไม? เอาสมองไปคิดหาวิธีแก้ปัญหาให้ตัวเองเถอะ!” โอลัวร์ไม่ตอบตรงๆ
ก็กำลังทำอยู่นี่ไง…ลูเมี่ยนรำพันเงียบ
สักพักจึงฉวยโอกาสพูด
“โอลัวร์…ถ้าฉันกลายเป็นจอมเวท เป็นคนที่มีพลังวิเศษ…บางที อาจจะไขปริศนาความฝันและยุติมันได้”
“เลิกคิดไปได้เลย!” โอลัวร์สวนทันควัน
แล้วจึงพูดด้วยสีหน้าอ่อนลง
“ลูเมี่ยน ฉันจะไม่โกหกนาย เส้นทางนี้ทั้งอันตรายและเจ็บปวด หากมิใช่เพราะไร้หนทางอื่น หากมิใช่เพราะโลกอันตรายขึ้นในทุกวัน ฉันขอใช้ชีวิตเป็นนักเขียนธรรมดาๆ อย่างมีความสุขดีกว่า”
ลูเมี่ยนตอบโต้ทันที
“ถ้างั้น…ให้ฉันเป็นฝ่ายแบกรับอันตรายและความเจ็บปวดแทน ส่วนเธอก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามใจปรารถนา”
เขาคิดคำพูดนี้ไว้นานแล้ว
โอลัวร์เงียบไปสองวินาที ก่อนจะยิ้มกว้าง
“นายเป็นพวกที่คิดว่า…ผู้หญิงอ่อนแอและสมควรถูกปกป้องสินะ?”
ไม่เปิดโอกาสให้ลูเมี่ยนโต้แย้ง หญิงสาวกล่าวขึงขัง
“เปล่าประโยชน์…เส้นทางนี้น่ะ ถ้าเลือกแล้วก็หมดสิทธิ์กลับไปนึกเสียใจ”
“เอาล่ะ…ฉันจะไปล้างหน้า นายอยู่บ้านอ่านหนังสือไปนะ เตรียมตัวสอบเข้ามหา’ลัยช่วงเดือนมิถุนาฯ ให้ได้”
“โลกอันตรายขึ้นทุกวัน…แล้วจะสอบไปทำไม?” ลูเมี่ยนพึมพำ
เขาตระหนักว่า สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือการไขว่คว้าพลัง มิใช่ผลการเรียน
โอลัวร์ยิ้ม
“ความรู้ก็คือพลัง เจ้าน้องชายไร้การศึกษา”
ลูเมี่ยนไม่ตอบโต้ ทำได้เพียงมองโอลัวร์เดินเข้าห้องน้ำ
…
ช่วงบ่าย จัตุรัสหมู่บ้านกอร์ตู
แรมงด์·เคร็กก์เดินมาเห็นลูเมี่ยน·ลีกำลังนั่งใต้ต้นเอล์มพลางครุ่นคิด
“ไม่ใช่ว่านายต้องอ่านหนังสืออยู่บ้านหรือไง?” แรมงด์เดินเข้ามาใกล้ น้ำเสียงแฝงความอิจฉาโดยไม่เก็บซ่อน
เพื่อนของลูเมี่ยนคนนี้สูงเกือบ 1.7 เมตร ผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน หน้าตาธรรมดา ผิวแดงระเรื่อเล็กๆ
ลูเมี่ยนเงยหน้า พูดพลางยิ้ม
“โอลัวร์ไม่เคยสอนนายหรือไง ต่อให้ถูกแขวนคอ แต่คนเราก็ต้องมีจังหวะพักหายใจกันบ้าง! ฉันอ่านหนังสือมานานแล้ว ถึงเวลาพักแล้ว”
เขาครุ่นคิดมาตั้งแต่เช้า ถึงความเป็นไปได้ที่จะไขว่คว้าพลังวิเศษโดยไม่พึ่งพาโอลัวร์
ต้องตามหาเบาะแส และลงมือสืบเสาะ
ท้ายที่สุด เขาได้ข้อสรุปว่าเรื่องเล่าต่างๆ ในหมู่บ้าน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพลังวิเศษ อาจซุกซ่อนความจริงไว้บางส่วน เบาะแสอีกบางส่วน จึงจงใจดักรอแรมงด์อยู่ที่นี่
“ถ้าฉันเป็นนายจะพักแค่สิบห้านาที” แรมงด์เอนกายพิงต้นเอล์ม “เราไม่มีพี่สาวเก่งๆ คอยสอนหนังสือ ปีหน้าฉันก็ต้องเรียนต้อนแกะแล้ว”
ลูเมี่ยนเมินคำพูดดังกล่าว เพียงเอ่ยปากหลังจากไตร่ตรอง
“เล่าเรื่องจอมเวทนั่นให้ฟังหน่อย”
แรมงด์ที่ไม่ค่อยเข้าใจความคิดลูเมี่ยน ทำหน้านึกด้วยแววตางุนงง
“เรื่องจอมเวทสินะ?”
“ในหมู่เราบ้านเราเคยมีจอมเวทคนหนึ่ง จนกระทั่งเขาตาย ในวันที่จะนำศพไปฟัง นกฮูกตัวหนึ่งบินเข้ามาเกาะหัวเตียง เกาะอยู่อย่างนั้นจนศพถูกยกออกไป จึงบินออกไป”
“ต่อมา อยู่ดีๆ โลงศพก็หนักอึ้ง หนักจนต้องใช้วัวเก้าตัวลาก”
“เกิดขึ้นนานหรือยัง?” ลูเมี่ยนไต่สวน
แรมงด์ยิ่งทำหน้าสับสน
“ฉันจะรู้ได้ยังไง? ก็ฟังมาจากพ่อ”
…………………………………………..