ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 31 พิธีฉลอง
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 31 พิธีฉลอง
ตอนที่ 31 พิธีฉลอง
ลูเมี่ยนเพียงเจ็บปวดหัวใจไปตามนิสัย แต่ไม่ได้ห้ามปรามพี่สาว
เมื่อเอวา แรมงด์ และคนอื่นๆ หันไปมองบ้านหลังใกล้เคียงแล้วออกเดิน เด็กหนุ่มจงใจเดินรั้งท้ายเพื่อกระซิบกับโอลัวร์
“ถ้าบันเทิงคดีรายสัปดาห์ตอบกลับมา รีบมาเรียกฉันนะ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่พลาดเรื่องแบบนี้หรอก” โอลัวร์มองลูเมี่ยนด้วยสายตาทำนอง ‘ไว้ใจได้เลย’
ด้วยความสุขและความชื่นบาน ขบวนแห่สำหรับอวยพร เปี่ยมไปด้วยเสียงร้องรำทำเพลง ไล่ไปตามประตูบ้านแต่ละหลังในหมู่บ้านกอร์ตู
สุดท้ายก็มาถึงจวนของเจ้าหน้าที่ปกครอง
ตรงนี้เคยเป็นปราสาทเก่าสมัยราชวงศ์เซารอน แต่ได้รับการปรับปรุงแล้ว ตั้งอยู่บนเนินเขาชายขอบหมู่บ้าน สีดำเข้มถ้วนทั่ว มีหอคอยคู่ตั้งตระหง่าน
กำแพงรอบๆ ถูกรื้อถอนไปนานแล้ว พวกลูเมี่ยนเดินผ่านสวนที่บีโอสกับภรรยาตั้งใจสร้าง จนกระทั่งมาถึงประตู
เป็นบานประตูคู่ สูงราวๆ สี่ซ้าห้าเมตร สีออกน้ำตาลอมเขียวคล้ายต้นไม้ ดูหนักเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ดี มันถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนบนและส่วนล่าง ไม่จำเป็นต้องเปิดทั้งหมดหากผู้มาเยือนมิใช่คนใหญ่คนโต เพียงเปิดส่วนล่างที่สูงสองเมตรก็พอ
‘นางฟ้าใบไม้ผลิ’ คือสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิ และเป็นทูตแห่งความอุดมสมบูรณ์ สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างมีเกียรติ ประตูคู่บานใหญ่จึงถูกเปิดออกทั้งหมด คุณนายปัวริสกำลังยืนรออยู่ในชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อนที่มีเข็มขัดรัดเอว
หญิงรับใช้ของเธอ คาสซี่ ถือตะกร้าที่ถักด้วยกิ่งไม้ยืนอยู่ข้างๆ เยื้องไปด้านหลังครึ่งก้าว
เอวาเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับร้องเพลงอวยพร
คุณนายปัวริสยิ้มอย่างมีเสน่ห์ ตั้งใจฟังเพลง แสดงออกถึงความสูงศักดิ์และสำรวม ทำให้กลุ่มคนหนุ่มสาวที่ติดตามนางฟ้าใบไม้ผลิ ถึงอยากมองแต่ไม่กล้ามอง
ลูเมี่ยน ซึ่งได้ฟังเรื่องสกปรกที่เกิดขึ้นระหว่างอีกฝ่ายกับหลวงพ่ออธิการโบสถ์ มองพลางเหยียดหยันในใจ
เมื่อเพลงจบลง เอวาแลกเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้กับตะกร้าไข่ไก่
จากนั้น ขบวนแห่สำหรับอวยพรก็ถือเป็นอันสิ้นสุด ลูเมี่ยน แรมงด์ และกลุ่มคนหนุ่มสาวพา ‘นางฟ้าใบไม้ผลิ’ เอวาไปที่แม่น้ำบนภูเขาไม่ไกลจากหมู่บ้าน
ถัดไปคือพิธีที่สองของเทศกาลมหาพรต
พิธีริมน้ำ
มาถึงจุดที่ปกติจะใช้เลี้ยงห่าน เอวาเดินเข้าใกล้น้ำใสๆ เต้นรำง่ายๆ พร้อมกับร้องเพลงเดิม ส่วนลูเมี่ยนกับคนหนุ่มสาวทำเพียงยืนนิ่ง รักษาระยะห่างจากนางฟ้าใบไม้ผลิราวๆ เจ็ดถึงแปดเมตร
หลังจากเสร็จขั้นตอน เอวาหยิบหัวผักกาดที่ตัดเป็นชิ้นจากตะกร้าข้างฝ่าเท้า เป็นหัวผักกาดที่ได้รับมาจากบ้านหลังหนึ่ง แล้วโยนลงไปในน้ำ
ขณะโยน หญิงสาวร้องเพลง
“อุดมสมบูรณ์! อุดมสมบูรณ์!”
หลังจากเอวาโยนเสร็จ ลูเมี่ยนก้าวเท้าออกไป วิ่งหนึ่งอึดใจ ก้มตัวหยิบหัวผักกาดที่หั่นเป็นชิ้นออกจากตะกร้า แล้วขว้างลงน้ำ
“อุดมสมบูรณ์! อุดมสมบูรณ์!”
เด็กหนุ่มตะโกนออกมาดังๆ
คนหนุ่มสาวที่เหลือตอบสนองช้ากว่าหนึ่งจังหวะ บางคนก็มากกว่านั้น ต่างแย่งกันวิ่งไปหาเอวา หยิบหัวผักกาดที่หั่นชิ้น หรือหัวไชเท้าที่ไม่มีค่ามากนักออกจากตะกร้า ขว้างไปตามที่ต่างๆ ของแม่น้ำ พร้อมกับตะโกนว่า ‘อุดมสมบูรณ์!’
แรมงด์วิ่งไม่ทันใคร แย่งใครไม่ชนะ กลายเป็นคนสุดท้ายที่ได้ทำพิธี
วินาทีถัดมา เขาเห็นรอยยิ้มไม่ประสงค์ดีของลูเมี่ยน กิโยมน้อย และคนอื่นๆ
กลุ่มคนหนุ่มสาวหันมารุมยกแรมงด์ขึ้น
พวกเขาตะโกนว่า ‘อุดมสมบูรณ์’ พร้อมกับโยนแรมงด์ลงแม่น้ำ
ซ่า! แรมงด์ตกลงไปในน้ำ เสื้อผ้าและผมเผ้าเปียกปอนทันที
ไม่เพียงเท่านั้น คนบนฝั่งยังหยิบดินและกิ่งไม้ขึ้นมาโยนใส่ข้างๆ เขา
นี่คือขั้นตอนปกติของพิธีริมน้ำ ผู้ที่อธิษฐานคนสุดท้ายจะถูกโยนลงแม่น้ำ ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นฝั่ง ต้องว่ายตามน้ำลงไปเล็กน้อย กลับเข้าหมู่บ้านอย่างเงียบๆ เก็บตัวอยู่ในบ้านจนตกดึกโดยห้ามออกไปไหน
แรมงด์เช็ดหยดน้ำบนใบหน้า ตะเกียกตะกายบนผิวน้ำสักพัก แล้วจึงว่ายตามน้ำลงไป
ขบวนแห่สำหรับอวยพรเริ่มรวมตัวรอบเอวา พากันเดินกลับไปที่โบสถ์สุริยันเจิดจรัสใกล้ๆ กับลานจัตุรัสของหมู่บ้านกอร์ตู
ตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังรวมตัวที่โบสถ์ รวมถึงโอลัวร์ พี่สาวของลูเมี่ยน
เมื่อเทียบกับโบสถ์สุริยันเจิดจรัสในเมือง ที่นี่ดูไม่ยิ่งใหญ่นัก สูงราวๆ สิบเอ็ดหรือสิบสองเมตรเท่านั้น
โดมเป็นทรงโค้ง จากภายนอกดูคล้ายกับนำหัวหอมมาวางทับด้านบน และเมื่อมองจากด้านในขึ้นไป ภาพจิตรกรรมพระอาทิตย์ที่สว่างไสวคล้ายหยกสีทอง กำลังแสดงอยู่ในสายตา
ทั่วทั้งโบสถ์โดดเด่นด้วยโทนสีทองเป็นหลัก ดูสว่างและโปร่งสบาย เป็นสไตล์การตกแต่งของวิหารสุริยันเจิดจรัส
แท่นบูชาตั้งอยู่ฝั่งตะวันออก ดอกทานตะวันหลากหลายรายล้อมตราศักดิ์สิทธิ์แผ่นใหญ่
บนผิวของตราศักดิ์สิทธิ์ ลูกบอลสีทองและเส้นที่เป็นตัวแทนของแสงสว่าง ประกอบกันเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายทางศาสตร์เร้นลับ
นี่คือตราสัญลักษณ์ของสุริยันเจิดจรัส
ด้านหลังแท่นบูชา เหนือผนังสูงมีหน้าต่างกระจกใสสองบานที่ฝังแผ่นทองบางๆ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในทุกเข้า แสงแดดจะส่องผ่านหน้าต่างไปยังตราศักดิ์สิทธิ์
ในทิศตรงข้ามกัน ทางฝั่งตะวันตกของโบสถ์ มีหน้าต่างกระจกสองบ้านที่คล้ายกัน เพื่อรับแสงสว่างในยามพระอาทิตย์ตกดิน
เนื่องจากไม่ใช่พิธีทางศาสนา เป็นเพียงพิธีฉลองประเพณีท้องถิ่น อธิการโบสถ์ กิโยม·เบเนต์จึงไม่ได้ปรากฏตัว ให้เจ้าหน้าที่ปกครองบีโอสเป็นผู้ดำเนินพิธีแทน
เอวาที่ยังคงแต่งตัวเป็นนางฟ้าใบไม้ผลิ ยืนอยู่ด้านข้าง ดนตรีจากฟลุต กีตาร์เจ็ดสาย และเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆ เริ่มทยอยดัง ชาวบ้านช่วยกันร้องเพลงสรรเสริญฤดูใบไม้ผลิ เพื่อขอให้การเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์
เนื่องจากไม่ได้ซักซ้อมกันมาก่อน จังหวะการร้องจึงไม่สมดุล บางคนถึงกับร้องไปเต้นไป ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก
ลูเมี่ยนพะงาบปากโดยไม่เปล่งเสียง แสร้งทำเป็นมีส่วนร่วม ส่วนโอลัวร์ข้างๆ ร้องเพลงอย่างตั้งใจ แต่ท่าทางไม่ได้ดูจริงจังกับการขอพรให้พืชผลอุดมสมบูรณ์นัก เพียงถือโอกาสหาความสุขใส่ตัว พลางทดสอบร้องเพลงเสียงสูง
เนื่องจากลูเมี่ยนทำแบบขอไปที จึงมีเวลาหยุดมองรอบๆ ตัว
เขาไม่พบความผิดปกติในพฤติกรรมของชาวบ้าน และโดยสัญชาตญาณ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองภาพจิตรกรรมพระอาทิตย์สีทองอร่ามบนหลังคาโดม
ทันใดนั้นเอง อยู่ดีๆ ลูเมี่ยนก็เข้าใจ ถึงเหตุผลที่ตนรู้สึกไม่ชอบมาพากล
ชาวบ้านหลายคนในหมู่บ้าน ไม่ได้สรรเสริญพระอาทิตย์มานานแล้ว!
สำหรับหมู่บ้านที่นับถือสุริยันเจิดจรัส ชีวิตประจำวันควรมีคำพูดติดปากเช่น ‘สุริยันจงเจริญ’ หรือ ‘ข้าแต่พระองค์ บิดาของข้า’ อยู่เป็นระยะ แต่พอลูเมี่ยนลองนึกย้อนกลับไป กลับพบว่าตนแทบไม่ได้ยินคำเหล่านี้เลย!
ในฐานะสาวกที่นับถือแบบผ่านๆ เขาก็พูดในชีวิตประจำวันไม่บ่อยนักเช่นกัน ผนวกกับเคยทำให้หลวงพ่อไม่พอใจ จึงมีช่วงหนึ่งไม่ได้เข้าโบสถ์หรือทำกิจกรรมทางศาสนาเลย ทำให้ไม่ตระหนักถึงความผิดปกติ จนกระทั่งวันนี้ เขาอยู่ในโบสถ์ที่มีบรรยากาศเคร่งขรึมและสีทองสุกสกาว จึงเข้าใจถึงความไม่ชอบมาพากล
ต่อจากนั้น เนื้อหาของจดหมายขอความช่วยเหลือ แสดงขึ้นมาในความทรงจำ
“เราต้องการความช่วยเหลือโดยด่วน”
“ผู้คนรอบข้างเริ่มทำตัวแปลกเข้าไปทุกที”
คนรอบข้างแปลกขึ้นเรื่อยๆ …ลูเมี่ยนเริ่มเข้าใจและเห็นด้วยกับข้อความดังกล่าว
เขากวาดสายตาไปรอบๆ อีกครั้ง เพื่อมองหาคนต่างถิ่นอย่างพวกลีอา
แต่ดูเหมือนว่าพวกไรอันจะไม่ได้มาชมพิธีฉลองของเทศกาลมหาพรต
“ให้ตายสิ ไม่โผล่หน้ามาในเวลาที่ควรโผล่…” ลูเมี่ยนรำพันในใจ
เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา เริ่มร้องเพลง เริ่มมีส่วนร่วมกับเสียงคลอ
เมื่อเพลงจบ พิธีฉลองใกล้ก็จบ เขาเดินไปกระซิบข้างหูโอลัวร์ด้วยเสียงเบา
“พี่กลับบ้านไปก่อน ไว้ฉันจะกลับไปคุยด้วย”
ในฐานะผู้เข้าร่วมขบวนแห่นางฟ้าใบไม้ผลิ เขาต้องอยู่ร่วมขั้นตอนสุดท้ายของพิธี ไม่อาจกลับไปเร็วกว่าคนอื่น
ลูเมี่ยนไม่คิดถลันออกจากโบสถ์โต้งๆ เพราะนั่นอาจทำให้เหตุร้ายปะทุก่อนเวลา
โอลัวร์ผงกศีรษะรับด้วยใบหน้าครุ่นคิด
“ได้”
ถัดมาไม่นาน ในโบสถ์เหลือเพียงกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เข้าร่วมขบวนแห่ และเอวาที่รับบทเป็นนางฟ้าใบไม้ผลิ
เครื่องเซ่นที่รับบริจาคมาก่อนหน้านี้ นอกจากของที่โยนลงทิ้งแม่น้ำ ทั้งหมดถูกวางไว้ข้างๆ เอวา รวมไปถึงหญ้าเลี้ยงสัตว์ ขวาน พลั่ว แส้ และไม้เลี้ยงห่านที่มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์
ตอนนี้ลูเมี่ยนกับคนที่เหลือ แค่รอคนนอกโบสถ์เดินเข้ามาประกาศว่า ‘ส่งนางฟ้าใบไม้ผลิ’ พวกเขาก็จะรุมล้อมเอวา ถอดมงกุฎ สร้อยคอ กิ่งไม้ และใบไม้ที่เธอสวมอยู่ออก
ระหว่างนั้น ทุกคนต้องเว้นช่องว่างเพื่อให้นางฟ้าใบไม้ผลิออกจากร่างของเอวาได้
ผ่านไปเพียงยี่สิบถึงสามวินาที เสียงก้าวเท้าดังมาจากประตูใหญ่ของโบสถ์
ลูเมี่ยนหันไปมองตามสัญชาตญาณ และเห็นคนสองคน
คนแรกคือคนเลี้ยงแกะ ปิแยร์·แบรี ที่กลับมาเพื่อเข้ารวมเทศกาลมหาพรตโดยเฉพาะ หุ่นผอมเพรียว เบ้าตาค่อนข้างจม สวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลเข้มที่มีฮู้ด รัดเอวด้วยเชือก และสวมรองเท้าหนังสีดำที่ดูใหม่เอี่ยม
แตกต่างจากก่อนหน้านี้ เรือนผมสีดำที่เคยมันเยิ้มคล้ายกับผ่านการทำความสะอาด ดูเงางามและนุ่มนวล หนวดที่เคยรกครึ้มก็ถูกตัดแต่ง ไม่เพียงแต่สั้นลง แต่ยังเรียบร้อยมากขึ้น
นัยน์ตาสีน้ำเงินของเขายังคงยิ้มแย้มเบาๆ เช่นเคย
อีกคนคืออธิการโบสถ์ กิโยม·เบเนต์ สวมชุดคลุมยาวสีขาว ปักด้ายทองที่เป็นสัญลักษณ์ของนักบวช ผมสีดำสั้น จมูกงุ้มปลายเล็กน้อย บุคลิกสง่างาม แม้จะตัวไม่สูงมาก แทบจะไม่ถึงหนึ่งเมตรเจ็ด แต่ยังคงดูโดดเด่นกว่าปิแยร์·แบรีข้างๆ
หลวงพ่ออธิการโบสถ์… เข้ามาทำไม? ลูเมี่ยนทั้งประหลาดใจและสงสัย
ในฐานะนักบวชของสุริยันเจิดจรัส เขาไม่ควรปรากฏตัวในเทศกาลท้องถิ่นที่ไม่ได้สรรเสริญพระอาทิตย์
เมื่อนึกถึงเรื่องที่หลวงพ่อกับลิ่วล้อแอบวางแผนกัน นึกถึงตัวเองที่เคยผิดใจกับอีกฝ่ายอย่างรุนแรง ลูเมี่ยนตัดสินใจย่องเงียบ ถอยหลังไปทางหน้าต่างกระจกสีที่อยู่ด้านข้าง
เนื่องจากยังไม่ถึงขั้นตอนที่ต้องรุมล้อมนางฟ้าใบไม้ผลิ กลุ่มคนหนุ่มสาวจึงยังยืนกระจายตัว ช่วยให้การเคลื่อนไหวของลูเมี่ยนไม่โจ่งแจ้ง
เอวาเองก็ประหลาดใจที่ได้เห็นหลวงพ่อ แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายมีอำนาจสูงสุดในหมู่บ้าน การจะมาประกาศสิ้นสุดเทศกาลมหาพรตย่อมเหมาะสมกว่าใครๆ หญิงสาวจึงยิ้มออกมาอีกครั้ง
ไม่นาน หลวงพ่อกิโยม·เบเนต์กับคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีก็เดินมาข้างๆ เอวา
ฝ่ายแรกกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ส่งนางฟ้าใบไม้ผลิ”
คนอื่นนอกจากลูเมี่ยนเตรียมจะเข้าไปล้อมเอวา
“ส่งนางฟ้าใบไม้ผลิ!” คนเลี้ยงแกะ ปิแยร์·แบรีตะโกนตามด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับก้มตัวลง
ท่าไม่ดีแล้ว! ลูเมี่ยนตกใจกับสิ่งที่เห็น และโดยสัญชาตญาณ ขาขวาก้าวออกไป ลำตัวโน้มไปข้างหน้า
ก่อนที่ทุกคนจะตอบสนอง ปิแยร์·แบรีหยิบขวานขึ้นจากกองเครื่องเซ่น จับแน่นด้วยสองมือ เหยียดตัวตรงแล้วเหวี่ยงใส่อย่างสุดแรง!
ฉึก! คอของเอวาพ่นเลือดสายใหญ่ ราวกับมีกลุ่มหมอกสีแดงเข้มกระจุกอยู่ตรงนั้น
ตุบ!
หัวของเอวาตกลงบนพื้นอย่างโดดเดี่ยว กลิ้งไปหลายตลบบนบ่อเลือด และสุดท้ายก็เงยหน้าขึ้น
ในแววตาของเธอยังหลงเหลือความปีติไว้อย่างชัดเจน
ลูเมี่ยนที่วิ่งเข้าไปหาได้สองก้าว หัวใจแทบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม รีบพลิกตัวแล้ววิ่งไปยังกระจกสีที่อยู่ข้างๆ
…………………………………………………….