ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 32 ผิดปกติ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 32 ผิดปกติ
ตอนที่ 32 ผิดปกติ
ผ้าที่เปื้อนเลือด ไห ไข่ และกลิ่นคาวๆ ที่ปะทะจมูก ไม่ได้ทำให้สีหน้าของหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เพียงหันกายไปมองมุมหนึ่งของโบสถ์ นัยน์ตาสีน้ำเงินสะท้อนร่างลูเมี่ยนที่กำลังวิ่งเตลิด
สีนัยน์ตาของหลวงพ่อพลันอ่อนลง จนดูคล้ายโปร่งใส
ในการมองเห็นของมัน รอบกายลูเมี่ยนปรากฏสัญลักษณ์ซับซ้อนสีเงินปรอทอันแล้วอันเล่า คล้ายกับลำธาราอันคดเคี้ยวเลี้ยวพัน ไขว้ทับกันไปมา และตัวลูเมี่ยนก็เหมือนกำลังวิ่งอยู่ในแม่น้ำลวงตาที่ประกอบกันจากกลุ่มก้อนสัญลักษณ์ส่องแสงวาบวิบเหล่านี้ เบื้องหน้าเด็กหนุ่มคือกิ่งก้านลำธารที่ยิ่งดูลวงตา
กิโยม·เบเนต์ยื่นมือขวาออกไป จับคว้าสัญลักษณ์สีเงินหนึ่งที่ล้อมรอบเป้าหมาย
ลูเมี่ยนย่ำเท้าขวาเต็มแรง เตรียมพุ่งใส่กระจกสีตรงหน้า เพื่อพาตัวเองออกจากโบสถ์
แต่ทันใดนั้น ฝ่าเท้าของเขาเกิดลื่นไถล ไม่อาจใช้แรงได้ทั้งหมด
ร่างของเด็กหนุ่มลอยขึ้นด้วยท่าทางยุ่งเหยิง
ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม ลูเมี่ยนชนเข้ากับกระจกสีรูปนักบุญซิธ แต่ไม่ทะลุผ่านไป หยุดอยู่แค่ภายในโบสถ์
ร่างกายเต็มไปด้วยแผลกระจกบาดเหวอะหวะ เลือดสีแดงสดล้นทะลัก
ในเวลาเดียวกัน ปิแยร์·แบรี คนเลี้ยงแกะที่ใช้ขวานตัดหัวเอวา ตรึงสายตาไว้กับลูเมี่ยน
ใบหน้าของมันยังคงฉาบรอยยิ้มอ่อนโยน แต่ในดวงตาสีน้ำเงินเต็มไปด้วยแววโหดเหี้ยม ราวกับเพิ่งปลดปล่อยตราประทับใดๆ ที่ซ่อนเร้นในร่างกาย จนถึงคราวแสดงธาตุแท้ออกมา
ปิแยร์·แบรีจับขวานวิ่งใส่ลูเมี่ยนด้วยย่างก้าวใหญ่ๆ
ทุกครั้งที่ก้าวเท้า ร่างกายของมันคล้ายกับโตขึ้น แข็งแรงขึ้น แม้ในความเป็นจริงจะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยน แต่กลิ่นอายของยักษ์กลับยิ่งชัดเจน
ลูเมี่ยนกำลังหันหลังให้คนเลี้ยงแกะป่าเถื่อนรายนี้ ร่างพิงอยู่บนหน้าต่างกระจกสีที่แตกละเอียด
ความเจ็บปวดจากการถูกกระจกแทง และการตกจากที่สูง ยังไม่ทันจางหาย เด็กหนุ่มเตรียมใช้สองมือพยุงกาย คิดจะคลานออกจากโบสถ์ด้วยพละกำลังทั้งหมด
แต่ทันใดนั้น เขาสัมผัสถึงอันตรายอย่างท่วมท้น
มีคนอยู่ข้างหลัง… ลูเมี่ยนครุ่นคิด ยังคงอยู่ในท่ากดมือลงบนกรอบหน้าต่างที่เต็มไปด้วยเศษกระจก ไม่สนใจความเจ็บปวดจากแผล ไม่สนใจเลือดที่ไหล พยายามจะคลานออกไปให้ได้
ท่วงท่าเหล่านี้เป็นเพียงกลอุบาย เด็กหนุ่มฉวยโอกาสดึงร่างกลับในพริบตา ไม่ได้เดินหน้า แต่ถอยหลังล้มไปด้านหลัง
โครม!
คมขวานสับลงบนกรอบหน้าต่างที่เหลือเพียงเศษกระจก จนกรอบไม้กระเด็นออกจากผนังและปลิวออกจากโบสถ์
ลูเมี่ยนที่กลิ้งไปข้างหลัง ม้วนตัวผ่านข้างเท้าของปิแยร์·แบรี รอดพ้นจากการโจมตีอันน่าพรั่นพรึงได้อย่างหวุดหวิด
เด็กหนุ่มไม่รู้สึกดีใจหรือโล่งใจ เพราะถูกบีบให้กลับเข้าไปในโบสถ์อีกครั้ง ทางหนีที่สะดวกที่สุดถูกปิดตายโดยคนเลี้ยงแกะ ปิแยร์·แบรี ที่แสดงท่าทางไม่ปกติ
แม้ลูเมี่ยนจะอ่านนิยายมามาก แต่เขาไม่เคยคิดแบบเด็กๆ ว่า ‘ขอแค่กลิ้งไปเรื่อยๆ ก็จะไม่ถูกโจมตี’
ทันทีที่กลิ้งผ่านปิแยร์·แบรี เด็กหนุ่มเหยียดข้อศอกทันทีพร้อมเกร็งเอวเพื่อดีดตัว
เมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ เขาพบว่านอกจากกิโยมน้อยกับอีกสองสามคน คนหนุ่มสาวอื่นๆ ดูคล้ายกับได้รับอิทธิพลจากบางสิ่ง ทำให้สิ้นสติกลายเป็นคนบ้า
คนเหล่านั้นไม่สนใจศพไร้หัวของเอวาที่นอนแน่นิ่งในสภาพโชกเลือด เพียงตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“ส่งนางฟ้าใบไม้ผลิ!”
“ส่งนางฟ้าใบไม้ผลิ!”
“…”
กิโยมน้อยกับอีกสองสามคนคงช็อกไปแล้ว เอาแต่ยืนนิ่ง จ้องมองดวงตาของเอวาที่เบิกกว้าง มองรอยยิ้มเล็กๆ บนศีรษะไร้ลำตัว
พวกเขาดูตื่นตระหนกตกใจ สับสน และไม่เชื่อสายตา ปานว่ากำลังประสบฝันร้ายที่ไม่อาจหลุดพ้น
แม้ปิแยร์·แบรีจะยังสูงเท่าเดิม แต่ลูเมี่ยนกลับรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายสูงเท่าๆ หลังคาโดม
คนเลี้ยงแกะรีบดึงขวานกลับหลังจากโจมตีพลาด หันมาเหวี่ยงใส่ลูเมี่ยนที่ยังอยู่ในระยะ
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ยืนแช่ แต่วิ่งหนีออกไปแล้ว รอดพ้นการโจมตีได้อีกครั้ง
ลูเมี่ยนใช้ความเร็วและความคล่องของนักล่าจนเต็มพิกัด สับเท้าวิ่งสุดกำลังเป็นวิถีโค้ง
เป้าหมาย: หลวงพ่ออธิการโบสถ์!
ประสบการณ์ของเขาสอนว่า ช่วงเวลาแบบนี้ต้องจับตัวผู้นำฝ่ายตรงข้าม ไม่สนว่าคนรอบข้างจะลงมือแบบไหน แต่ตนต้องเน้นแค่หัวหน้าเท่านั้น แสดงท่าทีก้าวร้าวทำนองว่าจะยอมปล่อยไปดีๆ หรือจะตกตายไปด้วยกัน
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น จึงจะสร้างปาฏิหาริย์ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย
คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี ไม่ได้ไล่ตามลูเมี่ยน แต่ยืนอยู่หน้าผนังที่กรอบหน้าต่างหายไป ในมือถือขวานเปื้อนเลือด ยื่นมือซ้ายเล็งตามทิศทางของเป้าหมาย
บรรยากาศในโบสถ์พลันดำสนิท รอบตัวลูเมี่ยนยิ่งมืดมิดผิดวิสัย คล้ายกับความมืดไร้ก้นบึ้ง
ประหนึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ความมืดนั้นเริ่มสั่นไหวแผ่วเบา
ดูราวกับผ้าม่านธรรมดาๆ ที่ด้านหลังซุกซ่อนท่อนแขนสีซีด มืดมน และพิสดาร ทำท่าทางเหมือนจะเข้ามาจับ
สำหรับหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ ในดวงตาที่เป็นสีจางจนเกือบโปร่งใสของมัน ร่างลูเมี่ยนยังคงจมอยู่ในแม่น้ำลวงตาที่ประกอบจากสัญลักษณ์สีเงินซับซ้อน ส่องแสงวาบวิบ ด้านหน้าลูเมี่ยนคือสิ่งคล้ายคลึงกัน แต่ดูลวงตายิ่งกว่า ราวกับเป็นสัญลักษณ์ของอนาคต หรือสายน้ำที่แตกแขนง
หลังจากพยายามอยู่สักพัก มือขวาของกิโยม·เบเนต์ ในที่สุดก็จับคว้าลวดลายสำคัญที่ประกอบกันจากสัญลักษณ์จำนวนมาก
หากมันสามารถย้อนกลับสิ่งนี้ได้ ความพยายามทั้งหมดของลูเมี่ยนก็จะสูญเปล่า และชะตากรรมในอนาคตจะถูกเขียนขึ้นใหม่
ทันใดนั้น สายตาของหลวงพ่อพลันกลายเป็นแข็งทื่อ
“อ๊าาา!!!!”
มันแหกปากร้องลั่น ตาสองข้างปิดแน่น น้ำตาเลือดสีแดงผสมกับของเหลวขุ่นๆ เริ่มไหลริน
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่ดังกังวาน ร่างของกิโยม·เบเนต์เริ่มพองออก ราวกับมีใครสูบอากาศเข้าไปเป็นจำนวนมาก
ปึด!
เสื้อคลุมสีขาวปักด้ายทองคำรั้งไม่ไหวอีกต่อไป เริ่มขาดหลุดลุ่ยอย่างรวดเร็ว
ลวดลายดูคล้ายรอยประทับสีดำ เรียงต่อกันเป็นเส้น เชื่อมเข้ากับโลกที่อธิบายไม่ได้ นำมาซึ่งกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว
กลิ่นอายดังกล่าวฟุ้งกระจายเต็มโบสถ์ในพริบตา ทำเอาคนหนุ่มสาวที่ยังตะโกน ‘ส่งนางฟ้าใบไม้ผลิ’ พลันตกอยู่ในอาการหวาดผวา บางคนวิ่งไปรอบๆ เครื่องเซ่น บางคนก้มลงกับพื้น บางคนคลานบนพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง
กิโยมน้อยและอีกสองสามคนที่ช็อกอยู่ก่อนแล้ว ทีนี้ก็ถึงกับเป็นลม ตัวเปียกชื้น ส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวล
คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีที่เตรียมจะใช้เวทมนตร์จับลูเมี่ยน ในเวลานี้ก็ทิ้งขวาน คุกเข่าลง หน้าทิ่มพื้น ไร้การเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง
จากทุกคนในโบสถ์ หนึ่งเดียวที่ไม่ได้รับอันตรายคือลูเมี่ยน
ที่จริงก็ได้รับผลกระทบอยู่บ้าง ศีรษะปวดแปลบ แต่เมื่อเทียบกับเสียงลึกลับที่สามารถทำให้เฉียดตาย ความรู้สึกนี้ยังห่างไกลนัก
ไม่เพียงเท่านั้น เด็กหนุ่มยังรู้สึกว่าหน้าอกของตนร้อนรุ่ม จึงสงสัยว่าสัญลักษณ์สีดำคล้ายโซ่หนามอาจปรากฏขึ้นมา หรือไม่ก็สัญลักษณ์สีดำอมเขียวที่คล้ายดวงตากับแมลง
ลูเมี่ยนไม่มีเวลาสำรวจร่างกายตัวเอง และไม่คิดจะสืบหาเหตุผลที่ตนกลับมาได้เปรียบ เพียงตั้งใจวิ่งไปหาหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์
เมื่อไรก็ตามที่โอกาสปรากฏขึ้น ห้ามปล่อยให้หลุดลอยเด็ดขาด!
เมื่อระยะห่างลดลง ลูเมี่ยนเห็นลวดลายสีดำที่คล้ายรอยประทับบนตัวอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
พวกมันประกอบกันจากอักขระเฉพาะและสัญลักษณ์แปลกประหลาด
ขณะกลอกตามองเร็วๆ ลูเมี่ยนพบกับบางสิ่งที่คุ้นเคย
บนหน้าอกซ้ายของหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ สัญลักษณ์สีดำที่คล้ายหนาม ได้แทรกออกจากภายใน พันรอบตัวไปทางด้านหลัง!
เหมือนกับบนหน้าอกลูเมี่ยนทุกประการ แต่จางกว่ามาก
“เขาก็มีเหมือนกัน?”
สมองลูเมี่ยนพลันปั่นป่วน
“นี่คือต้นเหตุของความผิดปกติในหมู่บ้าน?”
“ทำไมเราถึงมีมัน? ตั้งแต่เมื่อไร?”
“…”
ลูเมี่ยนวิ่งไปถึงหน้ากิโยม·เบเนต์ ยื่นแขนขวาออก โอบรัดศีรษะของอีกฝ่ายแนบแน่น
อาศัยการเคลื่อนไหวอันฉับไวและต่อเนื่อง ลูเมี่ยนย้ายตัวเองไปอยู่ด้านหลังของหลวงพ่อ
เมื่อสิ้นเสียง ‘กร๊อบ’ ศีรษะของกิโยม·เบเนต์ก็ ‘หัน’ ไปในทิศทางใหม่ ตรงกับกระดูกสันหลังของตัวเอง
ฟู่…ลูเมี่ยนเห็นดังนั้น จึงค่อยๆ ถอนหายใจโล่งอก
แก้ไขปัญหาใหญ่ที่สุดได้แล้ว เขาต้องรีบกลับบ้าน หนีไปพร้อมกับพี่สาว ที่เหลือปล่อยให้คนต่างถิ่นทั้งสามจัดการไป!
แต่ทันใดนั้น กิโยม·เบเนต์ที่ควรจะตายไปแล้ว กลับลืมตาขึ้น
ดวงตาของมันเป็นสีแดงเลือด
ซึก!
หัวของลูเมี่ยนคล้ายกับถูกขวานสับเป็นสองซีก ความเจ็บปวดแสนสาหัสฉุดรั้งเสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มเอาไว้
ภาพตรงหน้าแตกสลายในพริบตา กลายเป็นเพียงความดำมืด
เขาหมดสติไป
…
เจ็บ!
เจ็บฉิบ!
ลูเมี่ยนดีดตัวนั่งอย่างรวดเร็ว เปิดตากว้างพลางจับหัวของตัวเอง
ภาพตรงหน้าคือโต๊ะไม้ริมหน้าต่าง เก้าอี้เอนหลัง ตู้เสื้อผ้าและชั้นหนังสือเล็กๆ ในแต่ละฝั่ง
เด็กหนุ่มคุ้นเคยกับภาพนี้ดี
ห้องนอนของเขาเอง
“เราถูกพี่ช่วยกลับมา? หมดสติไปนานแค่ไหน? โบสถ์เป็นยังไงบ้าง?” ลูเมี่ยนไม่มีเวลาคิดมาก หลังจากรำลึกสิ่งที่เกิดขึ้น ก็รีบลุกออกจากเตียง กุมหัวแล้ววิ่งออกไป
ไม่นานก็พบโอลัวร์ในครัวชั้นล่าง
โอลัวร์สวมชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงินสบายๆ กำลังขะมักเขม้นเตรียมอาหารเย็น
“โอลัวร์… พี่! รีบหนีเร็ว!” ลูเมี่ยนตะโกนโหวกเหวก “หลวงพ่อกับคนในหมู่บ้านเสียสติไปแล้ว พวกมันฆ่าเอวาในพิธีฉลอง!”
เขาไม่แน่ใจว่าพี่สาวของตนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะการช่วยเหลือสามารถทำได้หลายวิธี ไม่จำเป็นต้องไปถึงจุดเกิดเหตุโดยตรง เด็กหนุ่มจึงพูดเข้าประเด็นเพื่อไม่ให้เสียเวลา
โอลัวร์หันหน้ากลับมา ขมวดคิ้วสงสัย แล้วจึงตอบกลับ
“พิธีฉลอง?”
“พิธีฉลองของเทศกาลมหาพรต?”
“ใช่” ลูเมี่ยนผงกศีรษะหนักแน่น
โอลัวร์ยิ้ม
“เรื่องที่นายเพิ่งเล่ามานั้น นับว่าไม่เลวทีเดียว ใช้แค่สองประโยคก็กลายเป็นนิทานสยองขวัญแล้ว ทำให้คนหวาดกลัวโดยไม่ทันตั้งตัว”
“แต่คราวหน้าเวลาจะปั้นน้ำเป็นตัว กรุณาศึกษาค้นคว้ามาให้ดีก่อน กว่าจะถึงเทศกาลมหาพรตยังเหลืออีกตั้งหลายวัน”
“…” ลูเมี่ยนถึงกับตะลึงงัน
…………………………………………………….