ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 33 ยืนยัน
ตอนที่ 33 ยืนยัน
หลังจากอึ้งอยู่สักพัก ลูเมี่ยนมองเข้าไปในตาโอลัวร์ แล้วพูดด้วยความเร็วที่ช้าลง
“ยังเหลืออีกหลายวัน…ก่อนจะถึงเทศกาลมหาพรต?”
เด็กหนุ่มสงสัยว่าตนอาจกำลังถูกพี่สาวอำ แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พี่สาวไม่เคยทำเป็นเล่นในเรื่องสำคัญ และตอนนี้คือช่วงเวลาสำคัญ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่หรือล่มสลายของหมู่บ้าน รวมถึงพวกเขาทั้งสองด้วย
โอลัวร์กวาดมองน้องชายหัวจรดเท้า
“นายเพิ่งงีบหลับมาสินะ สมองยังเบลอๆ อยู่หรือเปล่า?”
“วันนี้คือวันที่ 29 มีนาคม ปี 1358 ยังเหลืออีกหลายวันก่อนถึงเทศกาลมหาพรต”
29 มีนาคม…ลูเมี่ยนไตร่ตรองตัวเลข และพลันรู้สึกเหมือนกับกำลังฝันอยู่
เด็กหนุ่มได้ผ่านพิธีฉลองในเทศกาลมหาพรต ซึ่งเริ่มด้วยความสุขและจบด้วยความโหดร้ายมาแล้ว ชัดเจนว่าเขาเห็นหัวของเอวาถูกขวานฟันขาด ด้วยฝีมือคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี จนเลือดสาดกระจายไปทั่ว…
ที่เรากำลังฝัน คือตอนนี้หรือตอนนั้น? แต่ไม่ว่าจะครั้งไหน มันก็ดูสมจริงเกินไป…ลูเมี่ยนไม่พบร่องรอยการโกหกใดๆ บนใบหน้าของพี่สาว
แน่นอน อาจเป็นไปได้ว่าโอลัวร์มีทักษะการแสดงเป็นเลิศ แต่ลูเมี่ยนเชื่อว่าพี่สาวของตนไม่ใช่คนแบบนั้น
ผ่านการใช้ชีวิตร่วมกันมาห้าปี มีรายละเอียดปลีกย่อยนับไม่ถ้วน ไม่มีทางที่เขาจะถูกพี่สาวของตัวเองหลอก!
หากโอลัวร์คิดจะโกหกเรื่องวันที่จริงๆ ก็มีได้เพียงสองสาเหตุเท่านั้น
หนึ่งคือ เธอถูกหลวงพ่อควบคุมอยู่ หรือไม่ก็ใครบางคนที่ซ่อนตัวในเงามืด
สองคือ สถานการณ์ได้ถูกแก้ไขอย่างสมบูรณ์แล้ว พี่สาวจึงมีอารมณ์มาแกล้งอำและเล่นมุก
แต่ถ้าไม่ใช่ทั้งสองข้อ นั่นเท่ากับว่า คำพูดของเธอมีแนวโน้มสูงว่าจะเป็นความจริง
วันเวลาย้อนกลับไปสู่ 29 มีนาคมจริงๆ —หลายวันก่อนเทศกาลมหาพรต
อิงจากความรู้พื้นฐานของลูเมี่ยน เรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้น และไม่ควรเกิดขึ้นบนโลกความจริง ท่าทีของพี่สาวจึงทำให้เขารู้สึกสับสน
เราต้องหาวิธียืนยัน…ลูเมี่ยนลองนึกทบทวนประสบการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว และพบว่าตนยังจดจำรายละเอียดส่วนใหญ่ได้ดี ตัวอย่างเช่น ในวันที่ 29 มีนาคม ซึ่งการเฉลิมฉลองที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลมหาพรต ‘ผ่านไปด้วยดี’ โอลัวร์ก็สวมชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงินสบายๆ ตัวเดียวกัน และในค่ำคืนดังกล่าว เขายังได้พบกับคนต่างถิ่นอย่างลีอา ไรอัน วาเลนไทน์ และพาพวกเขาไปที่โบสถ์เพื่อเปิดโปงกามกิจของหลวงพ่อ
“มีอะไร?” โอลัวร์ยื่นมือขวาออกมา โบกบ่ายตรงหน้าน้องชายผู้จมอยู่กับอาการสับสน
ลูเมี่ยนดึงสติกลับมาและรีบพูด
“โอลัวร์ พอดีฉันนึกอะไรขึ้นมาได้…ขอออกไปข้างนอกสักครู่นะ”
“แล้วจะรีบกลับมา!”
วิธีที่ดีที่สุดในการยืนยันว่าเวลาจริงๆ ย้อนกลับมาเป็นวันที่ 29 มีนาคม คือการตามหาเอวา!
ถ้าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ ลูเมี่ยนคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับความจริงอันน่าเหลือเชื่อนี้
ไม่รอคำตอบจากโอลัวร์ เด็กหนุ่มรีบเลาะผ่านเธอและวิ่งไปที่ประตู
“เรียกฉันว่าพี่สิ! อย่าพลาดมื้อเย็นล่ะ!” โอลัวร์ตักเตือนด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ
ออกจากบ้านของตัวเองได้ ลูเมี่ยนวิ่งตรงไปที่บ้านของเอวา·ลีซิแยร์ ด้วยเกรงว่าหากช้าไปแม้แต่วินาทีเดียว ตนจะถูกฝันร้ายอันยากอธิบายที่กำลังไล่หลังมา เขมือบเข้าไปอย่างสมบูรณ์
ตลอดทาง ลูเมี่ยนได้รับความสนใจจากชาวบ้านหลายคน แต่ไม่มีใครหยุดเขาหรือถามถึงเหตุผล เพราะทุกคนกลัวว่านี่จะเป็นเพียงการเล่นพิเรนทร์ที่เด็กหนุ่มจัดฉากขึ้นมาเอง
ในที่สุด ลูเมี่ยนก็ถึงที่หมาย
บิดาของเอวา กิโยม·ลีซิแยร์ เป็นช่างทำรองเท้าคนดังของหมู่บ้านกอร์ตูรวมถึงละแวกภูเขาแถบนี้ ฐานะทางการเงินไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่แย่ ตัวบ้านทาสีเทาน้ำเงิน สูงสองชั้นครึ่งรวมใต้ดิน ด้านหลังมีพื้นที่ว่างสำหรับเก็บหญ้าและฟืน และมีเล้าห่าน
เนื่องจากใกล้มื้อเย็น คนจำนวนหนึ่งจึงขะมักเขม้นอยู่ในครัวของบ้านลีซิแยร์
ลูเมี่ยนเดินผ่านประตูที่เปิดอ้าอยู่ เข้าไปข้างใน และได้พบกับเอวา
หญิงสาวผมสีน้ำตาล เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินอ่อน สวมชุดกระโปรงยาวสีเทาขาว กำลังช่วยมารดาเตรียมอาหารเย็นอย่างแคล่วคล่อง แววตาดูเฉลียวฉลาดและมีชีวิตชีวา ชัดเจนว่าเธอยังมีชีวิต
ยังไม่ตายจริงๆ … ลูเมี่ยนมองไปที่คอของเอวาตามสัญชาตญาณ เพื่อหารอยเย็บ
อย่างไรก็ดี คอของเอวาเรียบเนียน ไม่มีแม้แต่รอยแผลเล็กๆ
“ลูเมี่ยน มีอะไรหรือ?” ช่างทำรองเท้ากิโยม·ลีซิแยร์ ซึ่งนั่งบนเก้าอี้ในห้องครัว สังเกตเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
ผมสีน้ำตาลของเขายุ่งเหยิง สวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลปนขาวที่เลอะคราบมัน กิโยม·ลีซิแยร์ลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบร้อน เดินเข้าหาลูเมี่ยน
เมื่อได้ยินเสียงบิดาทักทายคน เอวาพลันหยุดมือจากงาน แล้วหันไปมองประตูด้วยความประหลาดใจ
เธอเห็นลูเมี่ยนยืนอยู่ที่นั่น ด้วยอาการงุนงงปนสับสน
“มีอะไร” หญิงสาวตามมาถามอีกคำ
ลูเมี่ยนรีบดึงสติกลับมา และเตรียมปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อเลี่ยงการตอบคำถาม
แต่ทันใดนั้น ช่างทำรองเท้ากิโยม·ลีซิแยร์ที่เดินมาหา ช่วยให้เด็กหนุ่มฉุกคิดขึ้นมาได้
เขาไตร่ตรองคำพูดอยู่สักพัก แล้วจึงกล่าว
“ลุงกิโยม… ปิแยร์จากบ้านแบรี ได้สั่งทำรองเท้าหนังกับลุงไหม?”
ลูเมี่ยนยังจำได้แม่น เขากับแรมงด์ ‘จะ’ ได้พบกับปิแยร์—คนเลี้ยงแกะบ้านแบรี—ในเช้าวันพรุ่งนี้ โดยจะเกิดความประหลาดใจที่อีกฝ่ายไม่สนใจฝูงแกะ ยอมเสี่ยงอันตราย ยอมเดินทางอย่างยากลำบาก เพียงเพื่อกลับมาร่วมพิธีฉลองเทศกาลมหาพรต
ในช่วงเวลาดังกล่าว ปิแยร์·แบรีมาพร้อมกับรองเท้าหนังใหม่เอี่ยมที่ดูนุ่มสบาย
เว้นแต่จะไปซื้อที่ร้านขายรองเท้าสำเร็จรูปในเมืองดาลีแอช การทำรองเท้าหนังต้องใช้เวลา นั่นหมายความว่าปิแยร์·แบรี กลับมาถึงหมู่บ้านได้ไม่ต่ำกว่าสองสามวันแล้ว!
“เธอรู้ได้ยังไง?” กิโยม·ลีซิแยร์ทำหน้าประหลาดใจ “ปิแยร์·แบรีเพิ่งกลับมาถึงเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ยังไม่มีใครในหมู่บ้านรู้ เขายังกำชับให้ฉันห้ามบอกคนอื่นๆ”
นั่นปะไร…ลูเมี่ยนรีบแก้ต่าง
“ฉันเห็นคนคล้ายเขา ตอนนั้นนึกว่าเห็นภาพหลอน”
“เพราะหมอนั่นสวมรองเท้าหนังใหม่เอี่ยม ฉันเลยอยากมายืนยันกับลุง”
“เป็นเขา” กิโยม·ลีซิแยร์ตอบอย่างมั่นใจ “ตอนนั้นเขาพาแกะมาด้วยสามสี่ตัว บอกว่าเป็นส่วนแบ่งที่นายจ้างให้มา”
ปกติแล้วจะนำฝูงแกะกลับหมู่บ้านในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เพื่อตัดขนกับรีดนมไม่ใช่หรือไง? ทำไมถึงนำแกะกลับมาแค่ไม่กี่ตัว แล้วจะเลี้ยงพวกมันที่ไหน? ทุ่งหญ้าบนที่ราบสูงยังอยู่ในช่วงห้ามเลี้ยงแกะ…ลูเมี่ยนยิ่งคิดยิ่งพบว่า พฤติกรรมของคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี ผิดวิสัยอย่างมาก
การกระทำของอีกฝ่ายในช่วงสิ้นสุดพิธีฉลอง ช่วยยืนยันความคิดของลูเมี่ยน
แต่เด็กหนุ่มยังไม่ทราบว่า ปิแยร์กับหลวงพ่อคิดจะทำอะไร หรือทำอะไรไปแล้วบ้าง
นึกถึงเรื่องนี้ ลูเมี่ยนหันไปยิ้มให้กิโยมและเอวา·ลีซิแยร์
“ถ้าเป็นเขาจริงๆ ฉันก็สบายใจแล้ว…นึกว่าตัวเองดื่มหนักจนสมองกับตามีปัญหา”
จากนั้น เด็กหนุ่มโบกมือลาครอบครัวลีซิแยร์
“ขอตัว”
หลังออกจากบ้านลีซิแยร์ รอยยิ้มบนใบหน้าของลูเมี่ยนพลันมลายหาย
ตอนนี้เขามั่นใจมาก ว่าวันนี้คือ 29 มีนาคมจริงๆ
เป็นการย้อนเวลากลับมา หรือเราฝันเห็นอนาคต? ฝันไม่น่าสมจริงขนาดนั้น จริงจนทุกรายละเอียดชัดเจน…ลูเมี่ยนเดินไปข้างหน้าพลางไตร่ตรองหาคำตอบ
ไม่ว่าจะเป็นการย้อนเวลา หรือฝันเห็นอนาคต ลูเมี่ยนเคยได้ยินผ่านนิยายของโอลัวร์ แต่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน
ระหว่างทางกลับบ้าน เด็กหนุ่มตัดสินใจเดินเลี่ยงไปที่ลานจัตุรัส จนมาถึงฝั่งด้านข้างของโบสถ์สุริยันเจิดจรัส
หน้าต่างกระจกสีที่ควรจะแตกละเอียด และกรอบหน้าต่างที่ควรหลุดออกไป ยังคงประกบกับผนังอย่างสมบูรณ์ ภาพวาดนักบุญซิธขณะกำลังเทศนา ยังคงส่องประกายอย่างงดงามใต้แสงแดด
ลูเมี่ยนมองดูฉากดังกล่าวด้วยความรู้สึกซับซ้อน ความคิดในหัวเสียดสีกันจนแทบจะมองเห็นควันขาว
ขณะเดินกลับมาที่ลานจัตุรัส เขาเห็นหนึ่งร่างที่คุ้นเคย กำลังเดินออกจากประตูหน้าของโบสถ์
ไม่ใช่ใครนอกจากหลวงพ่อเจ้าของปลายจมูกงุ้มเล็กน้อย บรรยากาศน่าเกรงขาม สวมชุดคลุมสีขาวปักด้ายทองคำ อธิการโบสถ์กิโยม·เบเนต์
หัวใจลูเมี่ยนพลันบีบเกร็ง สองขาแบะออกจากกันเล็กน้อย ลำตัวเอนไปด้านหน้าเล็กน้อย
หลวงพ่อกิโยม·เบเนต์มองเด็กหนุ่ม พยักหน้าอย่างไร้อารมณ์
“ไว้ค่อยมาสวดมนต์พรุ่งนี้”
หือ…? จริงสิ ในช่วงเย็นของวันที่ 29 มีนาคม มันยังไม่ถูกเราพาคนมาเปิดโปงกามกิจ ยังไม่ได้บาดหมางกัน และยังไม่ได้กังวลเรื่องที่แผนลับๆ จะรั่วไหล…คิดถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนรีบทำตัวตามสัญชาตญาณ
เด็กหนุ่มยืนหลังตรง กางแขนสองข้ามพร้อมกับพูด
“สุริยันจงเจริญ!”
“สุริยันจงเจริญ!” หลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ตอบกลับด้วยท่าทางเดียวกัน
หลังออกจากลานจัตุรัส ลูเมี่ยนนึกทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เพิ่งเกิด
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มตระหนักถึงจุดหนึ่งที่ตนละเลยไปก่อนหน้านี้ เพราะมัวแต่ช็อกอยู่กับการ ‘ย้อนเวลา’
เขายังคงมีพลังวิเศษ!
เขายังคงเป็น ‘นักล่า’ !
ทั้งความจริงที่ว่า ตนวิ่งไปถึงบ้านลีซิแยร์โดยไม่รู้สึกหอบเลย และการตอบสนองต่อหลวงพ่อด้วยเชิงมวยที่ดีที่สุดทันที บ่งบอกว่าร่างกายและปฏิกิริยาตอบสนองของตน เหนือกว่าก่อนที่จะเริ่มดื่มโอสถ!
ลูเมี่ยนจึงได้ข้อสรุป
ประสบการณ์ที่ผ่านมา มิใช่ความฝันที่มองเห็นอนาคต!
เขาเป็นผู้วิเศษลำดับ 9 แล้ว!
เย็นนี้จะลองเข้าไปในฝันพิเศษนั่นดู ว่ายังเข้าได้อยู่ไหม หรือมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม…ลูเมี่ยนรีบวางแผนสำหรับก้าวถัดไป
เมื่อกลับถึงบ้าน เด็กหนุ่มทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ร่วมรับประทานอาหารเย็นกับโอลัวร์ตามปกติ
เนื่องจากน้องชายของเธอชอบก่อเรื่อง และไม่ชอบให้พี่สาวคอยตามเช็ดตามล้างให้ จึงมักทำตัวแบบนี้อยู่บ่อยๆ
โอลัวร์จึงไม่ได้ถามอะไรแม้ว่าจะดูออก
หลังจากล้างจานและทำความสะอาดครัว ลูเมี่ยนอำลาพี่สาวและรีบไปที่ร้านเหล้าคร่ำครึ
เขาต้องการยืนยันว่า มีคนต่างถิ่นปรากฏตัวหรือไม่
เมื่อเข้าไปในร้านเหล้า ลูเมี่ยนนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ กล่าวทักทายกับเจ้าของร้านที่ควบงานบาร์เทนเดอร์—มอริส·เบเนต์ รวมถึงชายผอมบางวัยกลางคนนามว่าปิแยร์·กิโยม และคนอื่นๆ
“ไซเดอร์หนึ่งแก้ว” เขาสั่งอย่างช่ำชอง
ไซเดอร์หมายถึงแอปเปิลไวน์รสเลว ซึ่งในร้านเหล้ามักขายแพงกว่าเบียร์ถูกๆ แค่เล็กน้อย และมักวางขายกันตามท้องถนนในเมือง
“ไอ้เด็กแสบ ไม่ใช่ว่าเอ็งชอบความทรมานของอัปแซ็งต์หรือไง?” มอริส·เบเนต์จิกกัด
“จะเลี้ยงไหมล่ะ?” ลูเมี่ยนงัดคำที่คุ้นเคยออกมาพูด
นั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนเข้าสู่ภวังค์
มอริส·เบเนต์ไม่พูดต่อ รินไซเดอร์ให้หนึ่งแก้ว แล้วส่งให้ลูเมี่ยน
ลูเมี่ยนจิบไซเดอร์เบาๆ ระหว่างรอ
ไม่นานก็ได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊ง
หันกลับไปมอง เขาเห็นไรอันที่สวมหมวกโบวเลอร์สีเข้ม แต่งกายด้วยแจ็กเกตทวีตสีน้ำตาล และกางเกงขายาวสีเหลืองอ่อน
แต่คนที่ดึงดูดสายตาบุรุษส่วนใหญ่ในร้านเหล้าคือลีอา ซึ่งยังคงสวมชุดกระโปรงยาวรัดรูปสีขาว ตัดจากผ้าแคชเมียร์ เสื้อโค้ตสีเบจอ่อนและบูทยาวมาร์เซล
ทั้งรองเท้าและหมวกผ้าคลุมหน้า ต่างก็ติดกระดิ่งเล็กสีเงิน
เช่นเดียวกับวาเลนไทน์ที่สวมเสื้อกั๊กสีขาว ทับด้วยทวีตแจ็กเกตสีน้ำเงิน กางเกงยาวสีดำ ผมสีบลอนด์มีร่องรอยโรยแป้ง
ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่จับจ้อง ทั้งสามเดินตรงมาที่เคาน์เตอร์บาร์ นั่งลงข้างๆ ลูเมี่ยน
ไวน์แดงดาลีแอชหนึ่งแก้ว ไรย์เบียร์หนึ่งแก้ว และ ‘แสบถึงทรวง’ หนึ่งแก้ว…ลูเมี่ยนไม่ได้ยกหัวขึ้น เพียงพึมพำกับตัวเองในใจ
ไรอันถอดหมวกวางไว้ข้างมือ จากนั้นก็พูดกับมอริส·เบเนต์
“ไวน์แดงดาลีแอชหนึ่งแก้ว ไรย์เบียร์หนึ่งแก้ว และ ‘แสบถึงทรวง’ หนึ่งแก้ว”
ได้ยินเช่นนั้น ลูเมี่ยนพลันถอนหายใจยาว
“มีอะไรหรือ?” ไรอันหันมามอง
ลูเมี่ยนจิบไซเดอร์อีกคำ แล้วพูดด้วยเสียงทุ้ม
“ฉันเป็นไอ้ขี้แพ้ที่แทบไม่เคยใส่ใจว่าฟ้าสว่างอยู่หรือไม่ เพราะไม่มีเวลา…”
…………………………………………………….