ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 37 ป่าอันตราย
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 37 ป่าอันตราย
ตอนที่ 37 ป่าอันตราย
ลูเมี่ยนครุ่นคิดแล้วพูด
“การที่ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณเข้าใกล้ผู้ให้พร เป็นเพราะพลังของพรมาพร้อมกับตราประทับทางจิต?”
เด็กหนุ่มสันนิษฐานเช่นนี้โดยอ้างอิงจากการที่ ในทุกตะกอนพลังล้วนมีตราประทับทางจิตของพระผู้สร้างต้นกำเนิดกับผู้ถือครองคนก่อนๆ
แม้จะพลังที่ได้รับจากพรจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง โดยไม่มีตะกอนพลังปะปน แต่ก็น่าจะถูกปนเปื้อนโดยตัวผู้ประทานพร
มาดามที่ถือไพ่ทาโรต์ในมือ พยักหน้ารับและเอ่ยปาก
“อนุมานได้เยี่ยม”
“เธอต้องไปขอบคุณโอลัวร์ที่ปูพื้นฐานทางการศึกษามาอย่างดี”
ไม่ต้องบอกก็รู้น่า… ลูเมี่ยนคิดในใจ
มาดามกล่าวต่อ
“แม้ผู้ประทานพรจะไม่อยากให้เกิดผลเสียกับผู้รับพร แต่ก็เลี่ยงการทำให้ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของผู้รับพรเข้าใกล้ตนได้ยาก เพราะหากมอบพลังโดยไม่ใส่เจตจำนงของผู้ให้เข้าไป ผู้รับพรก็จะควบคุมพลังได้ยาก จนสูญเสียพลังไปอย่างรวดเร็ว”
“ดังนั้น พรจากเทพแท้จริงส่วนใหญ่จึงอยู่ในรูปแบบชั่วคราว และถูกกดไว้ในระดับหนึ่ง”
เทพมารไม่สนใจว่าผู้รับพรจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร? ลูเมี่ยนพยักหน้าครุ่นคิด แล้วจึงถามด้วยความสงสัย
“ผู้วิเศษน่ะ… ฉันหมายถึง คนที่มีตะกอนพลัง สามารถรับพรได้ไหม? จะขัดแย้งกันหรือไม่ จะนำพาไปสู่ภาวะคลุ้มคลั่งหรือไม่?”
หญิงสาวมองลูเมี่ยน แล้วส่ายหน้าพลางยิ้ม
“ถึงจะขัดแย้งอยู่บ้าง แต่ไม่มาก”
“ลองนึกภาพตามดู พลังจากพรจะเปลี่ยนให้ร่างกายของเธอเข้าใกล้ผู้ประทานพรมากขึ้น ในขณะที่ร่างกายของเธอก็มีสภาพที่เหมาะสมกับตะกอนพลังของตัวเองอยู่แล้ว หากรับพรเข้าไปจนร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ร่างกายก็จะขัดแย้งกับตะกอนพลัง จนกระทั่งหาสมดุลใหม่พบ…”
“เนื่องจากความขัดแย้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจิตใจหรือวิญญาณ ตามปกติแล้วจึงไม่ควรจะคลุ้มคลั่ง เว้นเสียแต่ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว จิตใจของเธอใกล้จะแตกสลายอยู่ก่อนแล้ว”
“ปัญหาเดียวคือ เธอต้องหัดข่มใจมองดูตัวเองด้วยความสงบ ในระหว่างที่ตาที่สามหรือมือที่สี่เริ่มงอกเงย”
“แต่นั่นคือในกรณีที่ พลังจากพรมีลำดับสูงและดำรงอยู่ในตัวเธอเป็นเวลานาน ไม่เช่นนั้นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในร่างกาย จะแทบไม่ส่งผลใดเลย”
ลูเมี่ยนอืมในลำคอ
“ถ้าพลังนั้นมาจากเส้นทางเดียวกับเรา หรือเส้นทางใกล้เคียงล่ะ?”
มาดามผงกศีรษะ
“แบบนั้นจะไม่เกิดความขัดแย้ง”
หญิงสาวเล่าต่อด้วยรอยยิ้ม
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ร่างกายของเธอจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง”
หมายความว่ายังไงอีกเนี่ย… ลูเมี่ยนกำลังจะถามต่อ แต่อีกฝ่ายยิ้มแล้วชิงพูดก่อน
“ทีแรกฉันนึกว่าเมื่อได้ยินเรื่อง ‘คนในวง’ เธอจะเร่งถามเกี่ยวกับวัฏจักรเวลา แต่ผิดคาด เธอสนใจความรู้ที่ตัวเองยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ว่าในอนาคตจะมีประโยชน์หรือไม่”
“นี่ไม่ใช่นิสัยของเธอ!”
ลูเมี่ยนยิ้มจิกกัดตัวเอง
“ทีแรกฉันก็อยากถามเหมือนกัน ว่ามีวิธีช่วยพวกเราทำลายวัฏจักรเวลาหรือไม่ แต่ฉันนึกถึงบางคำที่คุณเคยพูดเอาไว้”
“คุณบอกว่า ค่าตอบแทนในการช่วยแก้ปัญหาก็คือ การทำลายทั้งหมู่บ้านกอร์ตู ทุกคนจะต้องตาย ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ก็ต้องสืบสวนด้วยตัวเอง”
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่เข้าใจเลย แต่ตอนนี้เริ่มเดาได้บ้างแล้ว”
“ผู้ที่ไม่ใช่ ‘คนในวง’ อย่างคุณ หากต้องการทำลายวัฏจักรนี้ วิธีเดียวคือการทำลายทิ้งทั้งหมด”
มาดามพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“เป็นเช่นนั้น”
“แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่พูดให้ชัดเจนล่ะ?” ลูเมี่ยนอดถามไม่ได้
ไม่ใช่เรื่องที่พูดแล้วจะมีใครเดือดร้อนสักหน่อย!
หรือว่ามาดามคนนี้ มีนิสัยชอบพูดครึ่งซ่อนครึ่ง?
มาดามยิ้มทันที
“ถ้าตอนนั้นฉันบอกกับเธอว่า ทั้งหมู่บ้านติดอยู่ในวัฏจักรเวลา เธอจะยอมเชื่อหรือ”
ลูเมี่ยนครุ่นคิดสักครู่ แล้วจึงตอบ
“คงไม่…”
ใครจะไปเชื่อเรื่องพิลึกพิลั่นปานนิยาย เว้นแต่จะได้ ‘ประสบด้วยตัวเอง’ ?
“เห็นไหม” มาดามยิ้ม “ไม่มีเหตุผลที่ฉันต้องเล่าละเอียด สิ้นเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ”
“…” ลูเมี่ยนเถียงไม่ออก
เพียงถือโอกาสนี้สอบถาม
“กุญแจสำหรับทำลายวัฏจักรนี้คืออะไร?”
“แล้วฉันทำอะไรได้บ้าง?”
มาดามส่ายหน้าอีกครั้ง
“สำหรับที่นี่ ‘การทำนาย’ ถือเป็นเรื่องที่อันตราย”
“หือ?” ลูเมี่ยนไม่เข้าใจในทีแรก
มาดามจึงเสริม
“ถ้ารู้ว่ากุญแจนั่นคืออะไร ฉันจะบอกเธอแน่นอน จะได้จบเรื่องนี้เร็วๆ แล้วยุติการเดินทางสักที”
หญิงสาวถอนหายใจ
“เมื่อไรฉันจะได้ท่องเที่ยวโดยไม่ต้องคิดถึงงาน…”
งาน? ลูเมี่ยนที่ยังไม่ได้คำตอบจากมาดามลึกลับ พยายามถามเค้นกลับไป
“ถ้าไม่ฆ่าหลวงพ่อ วัฏจักรใหม่ก็จะไม่เริ่มใช่ไหม”
“ไม่ใช่” มาดามตอบหนักแน่น “มีหลายจุดที่กระตุ้นให้วัฏจักรเริ่มใหม่ หนึ่งในนั้นคือการย่างเข้าสู่คืนที่สิบสอง ส่วนปัจจัยอื่นๆ เธอต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง”
คืนที่สิบสอง… ยังมีเวลาให้สืบอีกพอสมควร… ลูเมี่ยนคิดเงียบๆ
“เป็นเพราะความพิเศษในตัวฉันถูกกระตุ้น ก็เลยรักษาความทรงจำกับตะกอนพลังไว้ได้ในทุกวัฏจักร?”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับ เด็กหนุ่มจึงถามต่อ
“ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันแค่ต้องเอาตัวให้รอด และคอยสืบไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัฏจักร ท้ายที่สุดก็จะหาทางหยุดเรื่องนี้ได้เอง…”
นี่คือหลักการ ‘ค้นหาแบบปูพรม’ ที่โอลัวร์เคยสอน
“ในทางทฤษฎีแล้วก็ใช่” แววตาของมาดามทำให้ลูเมี่ยนทั้งสับสนและไม่อาจเข้าใจ “แต่เธอคงจะสังเกตเห็นแล้วว่า วัฏจักรส่งผลแค่กับหมู่บ้านกอร์ตูและพื้นที่โดยรอบเท่านั้น ส่วนอื่นของโลกไม่ได้อยู่ในวังวน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เวลาภายนอกยังคงไหลไปตามปกติ วันที่ได้ไม่ตรงกับหมู่บ้านกอร์ตู”
“ผู้สืบสวนทั้งสามจะส่งโทรเลขออกนอกหมู่บ้านเป็นระยะ เพื่ออธิบายสถานการณ์ของตัวเองและหมู่บ้าน หากมีการเอ่ยถึงวันที่เมื่อใด ทางการของอินทิสก็จะสังเกตเห็นความผิดปกติของหมู่บ้าน”
“แม้ว่าผู้สืบสวนจะส่งโทรเลขไม่ได้ หรือไม่ได้เอ่ยถึงวันที่เลยสักครั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทางการย่อมต้องสังเกตเห็นปัญหาแน่นอน ถึงตอนนั้น เธอคิดว่าพวกเขาจะแก้ไขปัญหาของหมู่บ้านกอร์ตูด้วยวิธีใด?”
ลูเมี่ยนเงียบไป ใช้เวลาสักพักจึงตอบ
“ทำเหมือนที่คุณเสนอ… ทำลายทุกอย่างทิ้ง”
“วิธีนี้ยังจะช่วยป้องกันมิให้สิ่งผิดปกติแพร่กระจายออกไปด้วย” มาดามกล่าวด้วยแววตาลึกซึ้ง “ถ้าเธอมีโอกาสได้ไปทะเลโซเนีย ลองซักถามเกี่ยวกับท่าเรือแบนชีดู ที่นั่นเคยถูกกวาดล้างโดยศาสนจักรวายุสลาตันเนื่องจากปนเปื้อนมลพิษบางอย่าง ไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว”
คำพูดดังกล่าวทำให้ลูเมี่ยนยิ่งมุ่งมั่นที่จะสืบหา ‘จุดสำคัญ’ ของวัฏจักรด้วยตัวเอง
เด็กหนุ่มเริ่มยิ้มจิกกัดตัวเองอีกครั้ง
“ฉันคงเหลือเวลาไม่มากแล้วสินะ”
อย่างนานที่สุดก็คงสักสามสี่วัฏจักร และใช่ว่าทุกรอบจะไปถึงคืนที่สิบสอง
มาดามลุกขึ้นยืน พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“อย่างน้อยเธอก็ยังมีโอกาสแก้ไข บางคนไม่ได้รับแม้แต่โอกาส”
…
ออกจากร้านเหล้าคร่ำครึ ลูเมี่ยนยืนบนถนน มองไปยังผู้คนบางตาและบ้านเรือนรอบข้าง รู้สึกว่าหมู่บ้านกอร์ตูดูปกติทุกอย่าง ทุกคนมีความสุข มีความโกรธ มีความปรารถนา มีความรู้สึก ไม่แตกต่างไปจากที่อื่น
แต่หมู่บ้านที่ดูเงียบสงบและเจี๊ยวจ๊าวแห่งนี้ ซึ่งก็สงบสุขและเจี๊ยวจ๊าวจริงๆ กำลังซุกซ่อนความน่ากลัวที่ยากจะทำใจเชื่อลง ทุกคนที่นี่ติดอยู่ในวัฏจักรเวลา ต้องใช้ชีวิตซ้ำไปซ้ำมาในรอบไม่กี่วัน
นอกจากหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ คนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี ปงส์·เบเนต์ เอวา·ลีซิแยร์ และคนอื่นๆ อีกกลุ่มหนึ่ง ลูเมี่ยนยังไม่อาจตัดสินใจได้ว่าใครผิดปกติ และใครเป็นผู้บริสุทธิ์
กระทั่งแรมงด์·เคร็กก์ คนที่มักคิดอะไรง่ายๆ และไร้เดียงสา ลูเมี่ยนก็ไม่กล้ายืนยันเต็มร้อยว่าไม่มีปัญหา
ส่วนในเทศกาลมหาพรต ความผิดปกติของกลุ่มคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ อาจเป็นผลมาจากพลังวิเศษของหลวงพ่อในตอนนั้น ไม่ใช่ว่ามีปัญหามาก่อน
ชั่วขณะหนึ่ง ลูเมี่ยนรู้สึกว่าหมู่บ้านกอร์ตูดูคล้ายป่ารกทึบที่เต็มไปด้วยอันตราย ไม่อาจแยกแยะได้ว่าใครเป็นเหยื่อ ใครเป็นนักล่า
ความรอบคอบและอดทนคือปัจจัยสำคัญที่สุดหากต้องการจะอยู่รอด ต้องพับเก็บฝีมือ ความกล้าหาญ ความฉลาด และประสบการณ์เอาไว้ก่อน
สภาพแวดล้อมดูคล้ายคลึงกับชีวิตที่เคยเร่ร่อน แต่ขณะเดียวกันก็แตกต่างอย่างชัดเจน
เมื่อความคิดเหล่านี้ทยอยผุดขึ้นมาแล้วหายไป ลูเมี่ยนสัมผัสได้ว่าโอสถนักล่าของตน เริ่มส่งสัญญาณของการย่อย
“นี่คือขั้นแรกของ ‘การสวมบทบาท’ ?”
“เร็วจริงๆ … นึกว่าต้องรอสักหนึ่งถึงสองเดือน…”
คิดถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนกลายเป็นตื่นเต้น
หรือว่าเราจะย่อยโอสถนักล่าได้ภายในหนึ่งถึงสองวัฏจักร?
กว่าจะถึงตอนนั้น ควบคู่ไปกับการล่าในซากปรักหักพังความฝัน เขาอาจกลายเป็นลำดับ 8 ‘นักยั่วยุ’ ไปแล้ว มีพลังแข็งแกร่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการแก้ปัญหาวัฏจักรเวลา
ลูเมี่ยนครุ่นคิดขณะเดิน ไม่นานก็มาถึงลานหมู่บ้าน
แผนการของเด็กหนุ่มก็คือ ไปคุยกับหลวงพ่ออธิการโบสถ์ หยั่งเชิงหาความผิดปกติหรือเบาะแส
แต่ทันใดนั้น เขาเห็นร่างหนึ่งกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังโบสถ์
อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลเข้มมีฮู้ด รอบเอวผูกเชือก สวมรองเท้าหนังอ่อนนุ่มและดูใหม่ ไม่ใช่ใครนอกจากคนเลี้ยงแกะ ปิแยร์·แบรี
หมอนี่… ลูเมี่ยนเดินเร็วเข้าไปใกล้ๆ และถามอย่างเจาะจง
“ปิแยร์ กลับมาแล้วหรือ ทำไมล่ะ?”
สำหรับตอนนี้ ผมสีดำของปิแยร์·แบรียังคงหยักศกและมันเลื่อม หนวดเคราบนใบหน้าคล้ายกับไม่ถูกโกนมานาน
ได้ยินคำถามลูเมี่ยน อีกฝ่ายตอบกลับอย่างอารมณ์ดี
“ใกล้จะถึงเทศกาลมหาพรตแล้วนี่? ฉันไม่ได้มาร่วมงานหลายปีแล้ว ปีนี้ไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากพลาด…”
นัยน์ตาสีน้ำเงินแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น แตกต่างจากคนเลี้ยงแกะ ‘คนนั้น’ ที่สลักภาพจำไว้ในใจลูเมี่ยน
หืม…พอเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนคำถาม คำตอบก็แตกต่างจากวัฏจักรก่อนหน้าเล็กน้อย แม้ว่าแก่นของคำตอบจะไม่เปลี่ยน แต่การเลือกใช้คำต่างออกไป…ลูเมี่ยนฟังอย่างตั้งใจ แล้วก้มมองรองเท้าคู่ใหม่ของปิแยร์พร้อมกับถามติดตลก
“เดี๋ยวนี้รวยแล้ว?”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแต่นายจ้างครั้งนี้ดีมาก มีส่วนแบ่งให้ฉันเพียบเลย” ปิแยร์ยิ้มแย้ม “คืนนี้ฉันจะเลี้ยงเหล้านายเอง”
“เอาสิ” ลูเมี่ยนตอบรับ แล้วชี้ไปทางโบสถ์ “นายจะเข้าไปสวดมนต์?”
“ใช่ นานแล้วที่ฉันไม่ได้เข้าโบสถ์ไปสวดมนต์” ปิแยร์ถอนหายใจ
คำพูดนี้ไม่มีส่วนใดผิดปกติ แต่ลูเมี่ยนยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล
การเลี้ยงแกะไม่ได้แปลว่าต้องตัดขาดจากเมืองมนุษย์ รอบๆ ทุ่งหญ้าและเนินหญ้าสูงยังพอมีหมู่บ้านอยู่บ้าง แม้เนินหญ้าสูงบนภูเขาอาจเปลี่ยวเหงา แต่คนเลี้ยงแกะก็มักหาโอกาสลงจากเขาเพื่อมาเติมเสบียง จะหาโบสถ์สักแห่งเข้าไม่ได้เลยเชียวหรือ?
จริงอยู่ ถ้าปิแยร์·แบรี ‘ผลัดถิ่น’ ไปยังเฟเนพ็อตหรือลุนเบิร์ก เขาอาจหาโบสถ์สุริยันเจิดจรัสไม่พบ แต่ลูเมี่ยนตั้งแง่ไว้แล้วว่าทุกคำพูดของปิแยร์·แบรีมีปัญหา
อีกฝ่ายถามกลับ
“นายก็จะเข้าโบสถ์?”
“เปล่า” ลูเมี่ยนส่ายหน้า “ฉันนึกว่าจะมีคนมาคุยกันที่ลานจัตุรัส แต่ดูเหมือนจะไม่”
เด็กหนุ่มเดินจากไปพร้อมกับโบกมือลา
“ฉันกลับบ้านก่อนนะ”
“เจอกันตอนเย็น” ปิแยร์·แบรีโบกมือตอบ
หลังจากมองหลังคนเลี้ยงแกะเดินเข้าไปในโบสถ์ ลูเมี่ยนย้อนกลับไปที่หมู่บ้าน
เด็กหนุ่มเปลี่ยนแผน จากที่แต่เดิมจะเข้าไปคุยกับหลวงพ่อ ปลายทางใหม่ในตอนนี้ก็คือ
บ้านของคนเลี้ยงแกะ ปิแยร์·แบรี
…………………………………………………….