ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 41 วิญญาณคนตาย
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 41 วิญญาณคนตาย
ตอนที่ 41 วิญญาณคนตาย
โลกอีกฝั่งคืออะไร? ลูเมี่ยนตกใจเงียบ พลางรีบหันไปมองด้านนอกหน้าต่าง
เขาควรจะเห็นเทือกเขา ทุ่งหญ้า และต้นไม้ แต่ภาพตรงหน้ากลับเป็นทุ่งราบสูงชัน บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆสีขาวซีดลอยซ้อนทับกัน บดบังแสงอาทิตย์ไว้เกือบทั้งหมด ทำให้ทุกสิ่งดูคล้ายถูกปกคลุมด้วยเงามืดขนาดใหญ่
บนทุ่งร้างสีน้ำตาลอมดำ มีหลายร่างเดินเตร็ดเตร่ไปเดินมา ส่วนใหญ่สวมชุดผ้าฝ้ายสีขาว ผิวหน้าแต่ละคนซีดเซียวอมเขียว แววตาดูว่างเปล่า ปากเผยอเล็กน้อย
ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนปกติ
ในหมู่ร่างนับไม่ถ้วนเหล่านี้ ส่วนหนึ่งวิ่งพล่านอย่างบ้าคลั่งไปยังปลายทุ่ง หรือไม่ก็จากปลายทุ่งเข้ามา คล้ายกับหยุดพฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้ มิอาจพักผ่อนได้อย่างที่ใจปรารถนามาเนิ่นนาน
สุดปลายทุ่งที่ดูคล้ายหน้าผา มีสิ่งมีชีวิตตัวสีดำทะมึน บนหัวมีเขาแพะ ร่างกายคล้ายมนุษย์ปรากฏอยู่รางเลือน บางคราวพวกมันก็จับคนที่สวมชุดผ้าฝ้ายขาวโยนลงไปข้างล่าง
เสียงร้องอันน่าสลดหดหู่ดังมาจากคนที่ตกลงไป แว่วเข้าสู่โสตประสาทของลูเมี่ยนกับโอลัวร์
ท่ามกลางเสียงเท้าเหยียบอันหนักแน่น มีบุคคลร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำทึบ ขี่ม้าขาวที่ผอมแห้งจนหนังติดกระดูก บางคนขี่ม้าเดินเอ้อระเหย บางคนขี่ม้าวิ่งไปมาคล้ายกำลังต้อนแกะ
ด้วยสายตาอันเป็นเลิศ ลูเมี่ยนเห็นรูปร่างของ ‘เขา’ ได้ชัดเจนเมื่ออีกฝ่ายหันกลับมา
ในหมวกเกราะที่ส่องแสงคล้ายโลหะนั่น มีจุดแสงสีแดงเข้มที่ดูเหมือนเปลวไฟไหววูบวาบ ตรงคอมีแผลฉกรรจ์อันน่าสะพรึงซึ่งลากยาวไปจนถึงสะดือ แทบจะแยก ‘เขา’ ออกเป็นสองซีก ลำไส้ซีดขาวห้อยโทงเทงลงมา
โดยไม่ต้องการหลักฐานอื่น ลูเมี่ยนคิดอยู่ในหัวทันที
อัศวินแห่งความตาย!
นี่คืออัศวินแห่งความตายที่ถูกเอ่ยถึงในตำนานพื้นบ้านของอินทิสหลายเรื่อง!
ทันใดนั้น รถม้าที่ลูเมี่ยนและโอลัวร์โดยสารพลันหยุดแล่น
นาโรคาเปิดประตูรถม้า เดินลงไปโดยไม่พูดไม่จา
นอกจากเสื้อผ้าแล้ว ผิวหน้าอันซีดเซียวของหญิงชรา สายตาอันว่างเปล่า และท่าทางที่งุ่มง่าม เริ่มคล้ายคลึงกับเหล่าร่างที่สวมชุดผ้าฝ้ายขาวเข้าไปทุกที
โอลัวร์ถอนสายตาออกจากหน้าต่าง กล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“วิญญาณคนตายเต็มไปหมด…”
“นายอยู่ใกล้ฉันไว้นะ”
ขณะพูดก็หยิบเข็มกลัดทองคำออกมาติดหน้าอก
ในเวลาเดียวกันก็หยิบผงสีเทาดำออกจากกระเป๋าลับในเสื้อ
ลูเมี่ยนโน้มตัวไปทางด้านหน้าของรถม้าเพื่อสังเกตคนขับ และพบว่าเซแวร์ก็เปลี่ยนไปในทำนองเดียวกับนาโรคา ผิวหน้าซีดขาว แววตาว่างเปล่า กำลังเดินตรงไปยังทุ่งร้างอย่างเชื่องช้าราวกับว่าเสียชีวิตมานานแล้ว
เด็กหนุ่มรีบกล่าวกับโอลัวร์
“พี่! ฉันเป็นผู้วิเศษแล้ว พี่จัดการกับพวกวิญญาณไป ฉันจะขับรถม้าให้เอง พวกเราต้องรีบออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด!”
เนื่องจากไม่มีความสามารถในการปราบวิญญาณหรือภูตผี เด็กหนุ่มจึงอาสาเป็นสารถีจำเป็น
แน่นอนว่าถ้าอัศวินแห่งความตายโจมตีเข้ามา เขาก็จะช่วยสกัดกั้นเท่าที่ทำไหว
โอลัวร์ดูตกใจ แต่ไม่มีเวลาถาม จึงทำเพียงเตือน
“ตรวจสอบม้าดูก่อน!”
ลูเมี่ยนเพิ่งนึกขึ้นได้ จึงรีบหันไปมองม้าหน้าห้องโดยสาร
คล้ายกับม้าเหล่านี้ถูกสูบเลือดเนื้อออกไป ขนเหี่ยวแห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ร่างกายแทบไม่ขยับเขยื้อน
“พวกมันน่าจะตายแล้วล่ะ” ลูเมี่ยนรายงาน
โอลัวร์ยังไม่ทันจะได้ตอบ วิญญาณที่ลอยวนเวียนอยู่รอบๆ คงได้กลิ่นของคนเป็น จึงเปลี่ยนทิศมุ่งหน้ามายังรถม้า แล้วพยายามบุกเข้ามาภายใน
“XXX” โอลัวร์เปล่งศัพท์ที่ลูเมี่ยนไม่เข้าใจ
ระหว่างที่พูด เข็มกลัดทองคำของหญิงสาวเริ่มเรืองแสง มือซ้ายที่กำผงสีเทาดำไว้พลันมีไฟลุกโชน เปล่งแสงสีทองเรืองรองแต่ไม่ระคายเคือง
แสงเหล่านี้ลื่นไหลดุจดังสายวารีไปยังรอบข้าง วิญญาณที่สัมผัสกับแสงพลันกรีดร้องโดยธรรมชาติ ‘ร่างกาย’ ของพวกมันเริ่มส่งควันสีออกเขียว
พวกมันพยายามถอยหลัง แต่ก็ถูกวิญญาณที่เหลือดันเข้ามาล้อมรถม้าไว้ ส่งผลให้ ‘บางคน’ ระเหิดระเหยหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ลูเมี่ยนมองดูด้วยความอิจฉาและหนักใจ
เขาหงุดหงิดที่ตัวเองช่วยอะไรไม่ได้ ร้อนใจอยากเพิ่มลำดับเพื่อเสริมความสามารถ
เมื่อเห็นผงในมือโอลัวร์ใกล้จะหมด และวิญญาณรอบๆ ยังคงมุ่งหน้าเข้ามาโดยไม่แยแสพวกพ้องที่ถูกแสงทำลายไป ลูเมี่ยนรีบเตือน
“เราอยู่ตรงนี้ไปตลอดไม่ได้”
“ฝ่าออกไปกันเถอะ!”
แม้พี่สาวของตนจะเตรียมตัวมาดี แต่ก็คงจัดการวิญญาณมากขนาดนี้ไม่หมดแน่!
มิหนำซ้ำ อัศวินแห่งความตายกับสิ่งที่คล้ายปีศาจ ณ ปลายทุ่งร้างนั่น ก็ยังไม่ได้หันมาสนใจ
ทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการพึ่งพาของวิเศษซึ่งยังไม่เสื่อมฤทธิ์ เพื่อหนีออกจากทุ่งร้างที่ถูกเรียกว่า ‘โลกอีกฝั่ง’ อย่างสุดกำลัง
โอลัวร์พยักหน้ารับแล้วพูดสั้นๆ
“ตามฉันมา”
เมื่อกล่าวจบ ผงสีเทาดำในมือหญิงสาวก็หมดลง ทุ่งกว้างว่างเปล่ารอบตัวไปด้วยวิญญาณที่กรูเข้ามาล้อมอีกครั้ง
โอลัวร์รีบหยิบผงออกมาอีกหนึ่งกำมือ พร้อมกับใช้เข็มกลัดทองคำบนหน้าอกเพื่อแผดเผาผงเหล่านั้น สร้างแสงสว่างสีทองเรืองรองอีกครั้ง
วิญญาณที่ขยับเข้าใกล้รถม้า กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับละลายไปท่ามกลางแสง
โอลัวร์รีบกระโดดออกจากรถม้า วิ่งตรงไปยังขอบทุ่งกว้างที่ใกล้ที่สุด โดยมีลูเมี่ยนไล่หลังไปติดๆ
ทันใดนั้น มือข้างหนึ่งยื่นออกจากแสงสีทอง แล้วจับคว้าแขนของลูเมี่ยนไว้
อาศัยสัญชาตญาณและประสาทสัมผัสเฉียบคม เด็กหนุ่มตระหนักถึงอันตรายล่วงหน้า จึงรีบหมุนข้อมือเพื่อขัดขืนฝ่ามือดังกล่าว
ปะ!
เขารู้สึกเหมือนสัมผัสกับก้อนน้ำแข็ง ไอเย็นสุดขั้วหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ทุกอณูรู้สึกคล้ายถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ
กั่กกั่กกั่ก! เมื่อฟันเริ่มกระทบกัน ลูเมี่ยนมองเห็นเจ้าของมือ
อีกฝ่ายคือวิญญาณที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีขาว แต่ผิวหน้าถูกหน้ากากกระดาษสีขาวบดบังไว้ ร่างกายค่อยๆ สลายไปท่ามกลางแสงสีทอง
เมื่อเห็นว่าลูเมี่ยนชะงักไป วิญญาณประหลาดก็เริ่มเข้ามาซ้อนทับเด็กหนุ่ม
ทันใดนั้น แสงสว่างอันบริสุทธิ์ผุดผ่องเจือความศักดิ์สิทธิ์ สาดลงบนร่างวิญญาณสวมหน้ากากนั่น
การเคลื่อนไหวของมันชะงักงันในทันที ร่างกายเริ่มไหม้เกรียมและกลายเป็นควันดำมลายหาย
“ห้ามหยุด!” โอลัวร์ถอนมือออกจากเข็มกลัดทองคำแล้วเริ่มวิ่งอีกครั้ง
ลูเมี่ยนฟื้นตัวจากความหนาวเหน็บและรีบตามพี่สาวไป
อาศัยผงสีเทาดำกับเวทมนตร์ของจอมเวท สองพี่น้องข้ามผ่านทุ่งกว้างไปอย่างปลอดภัย นับไม่ได้ว่ามีวิญญาณในชุดผ้าฝ้ายสีขาวถูกแสงสีทองจำกัดไปเท่าไร
น่าเสียดายที่โอลัวร์ไม่ได้ใส่ผงแบบเดียวกันในทุกถุงที่พกมา เพราะ ‘จอมเวท’ ต้องคิดเผื่อสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป
ไม่นานหลังจากนั้น ถุงที่โอลัวร์ใส่ผงเกสรทานตะวันก็ว่างเปล่า
ทั้งสองยังอยู่ห่างจากขอบทุ่งกว้างอีกหลายร้อยเมตร แต่วิญญาณรอบตัวมีมากมายราวกับจะไร้สิ้นสุด
สิ่งที่ทำให้สองพี่น้องหวาดกลัวยิ่งขึ้น คือเรื่องที่อัศวินแห่งความตายดูเหมือนจะสังเกตเห็นพวกตนแล้ว พวกมันกำลังเชิดหัวม้าให้หันมามอง
ท่ามกลางแสงสีทอง โอลัวร์เปลี่ยนสีหน้า ชะลอความเร็วพลางกัดฟันพูด
“เจ้าน้องชายทึ่ม ถ้าได้ยินฉันตะโกนว่า ‘สาม’ ให้รีบวิ่งตรงไปอย่างบ้าคลั่งแล้วอย่าหันกลับมา!”
ลูเมี่ยนกำลังจะคัดค้าน แต่โอลัวร์ชิงเสริม
“ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะตามไปแน่ ถ้านายยังอยู่ ฉันจะใช้เวทมนตร์ที่ทรงพลังไม่ได้ ทำให้การหนีของพวกเราช้าลง”
ระหว่างพูดก็ถอดเข็มกลัดทองคำจากหน้าอกแล้วยื่นให้ลูเมี่ยนที่ชะลอความเร็วตาม พร้อมกับแนะนำ
“เพิ่งสมาธิแล้วถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในเข็มกลัด ระหว่างวิ่งอย่างบ้าคลั่งให้ท่องว่า ‘XXX’”
ลูเมี่ยนฟังไม่ออก แต่พยายามจดจำวิธีออกเสียงคำดังกล่าว
เมื่อรับเข็มกลัดมา เด็กหนุ่มสัมผัสถึงแสงอันอบอุ่นที่สว่างจากภายใน ช่วยให้ความคิดอันมืดมนเลือนหายไป แต่หัวสมองช้าลงเล็กน้อย
ลูเมี่ยนติดเข็มกลัดโดยอัตโนมัติ รีบทำตามคำแนะนำของพี่สาว ลองเพ่งสมาธิเพื่อถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป
เมื่อเห็นผงสีเทาดำในมือลดลงอย่างต่อเนื่อง โอลัวร์ตะโกนสุดเสียงขณะหยิบวัสดุอื่นๆ ออกมา
“หนึ่ง สอง สาม!”
เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับพี่สาว ลูเมี่ยนจึงเริ่มวิ่งอย่างบ้าคลั่ง
แทบจะในเวลาเดียวกัน เขาแผดเสียงตะโกนคำนั้นออกมา
เข็มกลัดทองคำเปล่งแสงสีทองอ่อนๆ
ทันใดนั้น ราวกับบนหน้าอกลูเมี่ยนมีพระอาทิตย์ดวงเล็กประทับอยู่ เหล่าวิญญาณรอบข้างพลันพร้อมใจหลีกทางให้
ตึกตึกตึก!
เด็กหนุ่มสับเต็มฝีเท้าด้วยย่างก้าวใหญ่ๆ แต่ใจหนึ่งก็ยังห่วงพี่สาว จึงเหลียวหลังกลับไปมองอย่างไม่อาจหักห้ามใจ
โอลัวร์ยังคงยืนอยู่ในจุดเดิม รอบกายเต็มไปด้วยกลุ่มควันดำพลิ้วไหว
ควันเหล่านั้นคล้ายกับมีอำนาจดึงดูดวิญญาณ พวกมันเริ่มเมินลูเมี่ยนและกรูเข้าไปหาโอลัวร์ทั้งหมด
ลูเมี่ยนไม่ได้โง่ เมื่อได้เห็นภาพนี้ เด็กหนุ่มทราบทันทีว่าคำพูดของพี่สาว ‘แล้วจะตามไป’ เป็นเพียงคำโกหก
“โอลัวร์!”
เขาแผดเสียงตะโกน รีบชะงักฝีเท้าพร้อมหมุนตัวกลับ
เนื่องจากเกรงว่าคนที่ตายในวัฏจักร เมื่อวัฏจักรสิ้นสุดลง คนเหล่านั้นอาจตายไปจริงๆ
โอลัวร์หันมามองตามเสียง พอเห็นน้องชายหยุดวิ่งก็รีบตะโกนอย่างร้อนรน
“เป็นไอ้ทึ่มรึไง! วิ่งเร็วเข้า!”
ลูเมี่ยนไม่พูดไม่จา ยังคงวิ่งตรงเข้าไปหาโอลัวร์ เหล่าวิญญาณเบื้องหน้าพลันแหวกทางเมื่อถูกแสงจากเข็มกลัดทองคำส่องกระทบ
โอลัวร์เห็นภาพนั้นจึงก้มศีรษะลงเล็กน้อย พึมพำด้วยเสียงค่อย
“เป็นไอ้ทึ่มจริงๆ ด้วย…”
หญิงสาวรีบหยิบวัสดุอื่นออกมา โปรยสิ่งที่คล้ายสีดำเหล็กไปทางลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มถูกฝ่ามือล่องหนขนาดมหึมากดทับ พร้อมกับถูกผลักไปยังสุดขอบทุ่งร้าง
เขาพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ก็หาหลักยึดไม่ได้
วินาทีถัดมา เด็กหนุ่มเห็นโอลัวร์เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์เกล้ามวยสูง เผยรอยยิ้มเจือความเศร้าบางๆ
หญิงสาวตะโกนด้วยเสียงอ่อนโยน
“เจ้าน้องชายทึ่มของฉัน…จงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข…”
ก่อนที่เสียงจะเงียบลง ควันดำรอบตัวหญิงสาวถูกเหล่าวิญญาณสูบเข้าไปจนหมด
ตอนนี้เธอต้องเผชิญหน้ากับร่างจำนวนมากและอัศวินความตายตามลำพัง
“โอลัวร์!”
ลูเมี่ยนเบิกตากว้างสุดขีดจนเบ้าตาแทบปริ เส้นเลือดฝอยสีแดงผุดขึ้นบนเนื้อตาและผิวหนัง
ทว่า ร่างเด็กหนุ่มยังคงถูกผลักไสไปทางขอบทุ่งร้างอย่างไม่อาจขัดขืน
แต่ทันใดนั้น วิญญาณทั้งหมดพลันหยุดเคลื่อนไหว
คล้ายกับเกิดบางสิ่งขึ้นในตำแหน่งไกลๆ
โอลัวร์สัมผัสถึงบางอย่าง จึงหันไปมองด้วยท่าทีสับสน จนกระทั่งเห็นรถม้าเปิดประทุนกำลังแล่นผ่านมา
ห้องโดยสารดูคล้ายหอยสังข์หรือเปลนอน ทั้งคันเป็นสีแดงเข้ม ถูกลากด้วยสิ่งที่ไม่ใช่ม้า แต่เป็นสัตว์สีดำมีเขาแพะคล้ายปีศาจ
บนรถมีหญิงสาวนั่งอยู่หนึ่งคน สวมมงกุฎดอกไม้ แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีเขียว หน้าตาละม้ายคล้ายคุณนายปัวริส
จุดแตกต่างจากคุณนายปัวริสก็คือ สตรีผู้นี้ทั้งสง่างามและน่าเกรงขาม
อัศวินแห่งความตายหันหัวม้ากลับทันที เริ่มไล่ตามรถม้าคันนั้นไป
วิญญาณคนตายทั้งหมดบนทุ่งร้างต่างก็ทำแบบเดียวกัน พวกมันรุมล้อมไล่ตามรถม้า มุ่งหน้าไปยังภูเขาอันรางเลือนอีกฟากหนึ่งของทุ่งร้าง
…………………………………………………….