ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 43 ซื่อตรง
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 43 ซื่อตรง
ตอนที่ 43 ซื่อตรง
วัฏจักรเริ่มใหม่แล้วจริงๆ … เมื่อได้ยินคำตอบของโอลัวร์ ลูเมี่ยนไม่แสดงท่าทีตื่นตกใจ
จนถึงปัจจุบัน เด็กหนุ่มผ่านวัฏจักรมาแล้วสามครั้ง เมื่อผนวกประสบการณ์ส่วนตัวเข้ากับคำแนะนำของมาดามลึกลับ เขาสามารถสรุปได้เบื้องต้นว่า
“ขีดจำกัดเชิงเวลาของวัฏจักรคือคืนที่สิบสอง”
“ขีดจำกัดเชิงขอบเขตของวัฏจักรคือหมู่บ้านกอร์ตูและบริเวณใกล้เคียง”
“ขีดจำกัดเชิงบุคคลของวัฏจักร…ห้ามฆ่าหลวงพ่ออธิการโบสถ์”
“นี่คือสามจุดสำคัญของวัฏจักร…”
คิดถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนมองโอลัวร์ พลางถามด้วยท่าทางคล้ายมีอะไรในใจ
“พี่…ถ้าพี่แต่งนิยายเกี่ยวกับวัฏจักรเวลา จะวางกุญแจสำคัญสำหรับยุติวัฏจักรไว้ตรงไหน?”
“จู่ๆ ก็ถามแบบนี้ แถมยังทำตัวน่าเอ็นดูด้วยการเรียกพี่…” โอลัวร์มองลูเมี่ยนหัวจรดเท้า “กำลังแต่งเรื่องใหม่ๆ มาหลอกคนอีกแล้วใช่ไหม”
“ก็ทำนองนั้น” ลูเมี่ยนตอบด้วยสีหน้าจริงใจ
โอลัวร์ขมวดคิ้ว คิดอยู่สักพักแล้วจึงตอบ
“จากมุมมองของนักเขียนนิยาย หรือจากมุมมองตามหลักเหตุและผล จุดสำคัญที่สุดของวัฏจักรต้องอยู่ในฉากสุดท้าย เพราะมันคือจุดสิ้นสุดของวัฏจักร และยังเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรถัดไป เปรียบดังกระดุมที่เชื่อมระหว่างจุดจบกับจุดเริ่ม เป็นสิ่งที่ทำให้เวลาซึ่งไหลไปตามเส้นตรง กลายเป็นวงกลมปิดสนิท”
“ลองคิดตามดูนะ ถ้าวัฏจักรย้อนกลับไปเริ่มใหม่ หมายความว่าต้องมีครั้งแรกที่ถูกย้อน และสาเหตุของการย้อนต้องมาจากเหตุการณ์ในช่วงสุดท้ายก่อนจะย้อน”
คืนที่สิบสอง? ลูเมี่ยนเห็นด้วยกับทฤษฎีของพี่สาว จึงพยักหน้าแล้วถามต่อ
“ทำไมจุดสำคัญที่สุดถึงไม่ใช่วันแรกของวัฏจักรล่ะ? มันต้องมีเหตุผลที่เวลากลับมาเริ่มใหม่ตรงจุดนั้นไม่ใช่หรือ?”
โอลัวร์ตอบยิ้มๆ
“นายถนัดแต่งเรื่องสั้นหลอกคนก็จริง แต่พอเป็นเนื้อหาที่ต้องใช้ตรรกะกับความรู้แน่นๆ ดูเหมือนจะทำได้ไม่ดีสินะ”
“เหตุผลที่วันแรกในวัฏจักรกลายเป็นวันแรก อาจเพราะว่าอำนาจหรือพลังงานที่ก่อให้เกิดวัฏจักร เมื่อนับย้อนมาจากวันสุดท้าย จะส่งอิทธิพลถึงได้แค่วันนั้น และยังเป็นเหตุผลที่วัฏจักรมิได้สร้างอิทธิพลไปทั่วโลก แต่จะเกิดแค่ในวงแคบๆ เท่านั้น…ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำ แต่เพราะทำไม่ได้ต่างหาก”
ลูเมี่ยนก็ทราบถึงหลักการนี้ดี เพียงแต่คิดว่าพี่สาวผู้รอบรู้อาจมีคำตอบใหม่ๆ ต่างออกไป
โอลัวร์ไตร่ตรองสักพักแล้วเสริม
“ถ้าไม่ใช่วัฏจักรที่ปิดสนิท แต่ยังมีการโต้ตอบระหว่างภายในกับภายนอก เช่นข้อมูลภายในถูกส่งออกไปได้ คนนอกสามารถเข้ามาได้แต่ออกไม่ได้… อาจเป็นไปได้ว่า วันแรกของวัฏจักรใหม่ จะเริ่มจากวันที่มีคนนอกเข้ามาในอาณาเขต เพื่อล็อก ‘ตำแหน่ง’ ของคนนอกเอาไว้ในวัฏจักรถัดไป…หรือไม่ก็อาจเป็นการบังคับให้คนนอกกระทำบางสิ่งในวันแรก ซึ่งเดิมทีคนนอกไม่ได้ทำ…เรื่องทำนองนี้จะแต่งยังไงก็ได้”
ลูเมี่ยนฟังด้วยตาเป็นประกาย อยากชื่นชมพี่สาวออกมาเสียงดังๆ
เด็กหนุ่มเริ่มสงสัยว่า การเข้ามาของลีอา ไรอัน และวาเลนไทน์ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้วัฏจักรเริ่มต้นจากบ่ายวันที่ 29 มีนาคม
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง คืนที่สิบสองอาจเปลี่ยนเป็นคืนที่สิบ หรือคืนที่เก้าก็ได้…ไม่แน่ว่าเดิมที จุดสิ้นสุดวัฏจักรอาจเป็นคืนที่สิบสาม แต่เพราะการ ‘บุกรุก’ ของคนนอก มันจึงถูกร่นเข้ามากลายเป็นคืนที่สิบสอง
สามารถออกได้ทุกหน้า และลูเมี่ยนต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง
เด็กหนุ่มเห็นด้วยกับทฤษฎีของพี่สาวอย่างยิ่ง และเชื่อว่า ‘คืนที่สิบสอง’ ต้องเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เกิดวัฏจักร
ถ้าอยากหลุดพ้นจากวัฏจักร เขาต้องสืบหาความจริงในเหตุการณ์นั้นให้พบ
ดังนั้น ลูเมี่ยนตัดสินใจว่าในวัฏจักรรอบนี้ ตนจะไม่ทำตัวโดดเด่นในช่วงเทศกาลมหาพรต จะหาข้ออ้างไม่เข้าร่วมขบวนแห่อวยพร และ ‘อยู่อย่างสันติ’ จนถึงคืนที่สิบสอง
แต่ก็ใช่ว่าจะหายใจทิ้งไปวันๆ เพราะเวลาไม่เอื้ออำนวยขนาดนั้น
เว้นเสียแต่ว่าลูเมี่ยนจะจบวัฏจักรได้เลยในคืนที่สิบสองรอบนี้ ไม่อย่างนั้น เขาต้องเร่งมือเป็นพิเศษในวัฏจักรถัดๆ ไป
หนึ่งรอบวัฏจักรที่สมบูรณ์จะยาวนานถึงสิบสองวัน หากจบรอบนี้ โอกาสที่โลกภายนอกจะค้นพบความผิดปกติในหมู่บ้านกอร์ตูย่อมเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้ลูเมี่ยนเหลือเวลาแก้ไขปัญหาอีกเพียงหนึ่งรอบวัฏจักร หรืออาจจะน้อยกว่านั้น
ต้องไม่กระตุ้นความผิดปกติ ขณะเดียวกันก็ต้องสืบหาความจริงไปด้วย… ลูเมี่ยนขำแห้งในใจอย่างอดไม่ได้
นี่มันต่างอะไรกับตัวตลกที่เดินไต่เชือกบนหน้าผา?
การทำทั้งสองสิ่งในเวลาเดียวกันไม่ใช่เรื่องที่ดี
โอลัวร์เห็นว่าน้องชายเงียบไปหลายวินาที คล้ายกับกำลังแต่งเรื่องราว จึงยกมือขึ้นมาโบกบ่าย
“เกือบลืมไปเลย… ฉันต้องไปทำมื้อเย็น!”
“เดี๋ยวพี่” ลูเมี่ยนมองโอลัวร์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมปนจริงจัง
โอลัวร์ ‘จิ๊’ ปากเบาๆ
“ฉันได้กลิ่นการเล่นพิเรนทร์อยู่นะ”
ลูเมี่ยนพูดอย่างตรงไปตรงมา
“โอลัวร์ เอ่อ… พี่… อันที่จริง… พวกเรากำลังติดอยู่ในวัฏจักรเวลา”
“โฮ่? เพิ่งได้วิชาไปก็เอามาใช้กับพี่สาวเลยหรือ?” โอลัวร์ทั้งโมโหและขบขัน
คนเราควรมีความน่าเชื่อถือติดตัวไว้บ้างสินะ… ลูเมี่ยนคิดในใจโดยไม่เปล่งเพียง แล้วจึงพูดพร้อมรอยยิ้ม
“อย่างน้อยก็ช่วยฟังเรื่องที่ฉันแต่งให้จบก่อนได้ไหม…”
“ลองให้คะแนนด้วยก็ดี”
โอลัวร์มองออกไปนอกหน้าต่างที่ท้องฟ้ายังสว่างอยู่
“เอาสิ”
ลูเมี่ยนเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่ได้พบกับลีอาและพวกคนต่างถิ่น เล่าถึงความฝันรู้ตื่น ก้าวเข้าสู่ซากปรักหักพังพิสดาร ล่าสัตว์ประหลาดและได้รับตะกอนพลัง จนกลายเป็นนักล่า
เขาไม่ได้ซ่อนลวดลาย ‘วงแหวนหนาม’ บนหน้าอก เพราะมันอาจเกี่ยวข้องกับกุญแจสำคัญของวัฏจักรเวลา—เด็กหนุ่มเคยเห็นสัญลักษณ์เดียวกันจากหลวงพ่อ และการฆ่าหลวงพ่อทำให้วัฏจักรเริ่มต้นใหม่
ทีแรกโอลัวร์ยังยิ้มอยู่ มองว่าน้องชายออกแบบเรื่องราวได้สร้างสรรค์ดี แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งทำหน้าจริงจัง เพราะมีหลายสิ่งที่ลูเมี่ยนไม่ควรได้ทราบ
เมื่อลูเมี่ยนบอกว่าตนกลายเป็นผู้วิเศษ โอลัวร์เริ่มเปลี่ยนท่าเป็นครั้งแรก ยกมือขวาขึ้น ถ่างนิ้วบีบกลุ่มก้อนกล้ามเนื้อข้างขมับทั้งสองฝั่ง
ดวงตาสีฟ้าอ่อนของหญิงสาวพลันเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก แต่ไม่ได้สะท้อนภาพใด
เธอจ้องลูเมี่ยนสักพัก แล้วผงกศีรษะเบาๆ
“กายอากาศของนายเปลี่ยนไปมาก พลังชีวิตกับสภาพร่างกายก็เหนือกว่าคนธรรมดา…”
“กายดาราเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ไม่มาก…”
“ดูเหมือนจะเป็น ‘นักล่า’ ที่ถนัดการต่อสู้ในระยะประชิดมากกว่าเวทมนตร์…”
“สัญลักษณ์นั่น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากมัน ฉันมองไม่เห็น และไม่กล้ามองลึกไปมากกว่านี้…”
พูดจบ โอลัวร์ทำแก้มป่องด้วยความคาใจ
“นายไม่ได้จงใจแต่งเรื่องที่น่าเหลือเชื่อพวกนี้ เพียงเพื่อให้ฉันยอมรับว่านายเป็นผู้วิเศษหรอกนะ?”
นั่นคือความถนัดแต่ไหนแต่ไรของลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มไม่พยายามอธิบาย เพียงเล่าความรู้ศาสตร์เร้นลับที่มาดามคนนั้นสอนมา
แน่นอน เขาแค่เอ่ยชื่อต่างๆ อย่างผิวเผิน ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด
มิใช่ว่าเขามีคุณธรรมหรือมีหลักการ ที่ยังไม่ยอมบอกแม้กระทั่งพี่สาวหากยังไม่ได้รับอนุญาตจากมาดามคนนั้น เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายดูแข็งแกร่งเหนือจินตนาการ การเปิดเผยความรู้แสนล้ำค่าอาจทำให้มาดามโกรธ จนลงมือแก้ไขวัฏจักรด้วยตัวเอง ส่งผลให้ไม่มีใครรอดออกไป
“กฎความถาวร…กฎการรวมตัว…การสวมบทบาท…” โอลัวร์พลันตะลึง
น้องชายที่เป็นมือใหม่สำหรับโลกแห่งศาสตร์เร้นลับ กลับได้ครอบครองความรู้อันแสนมีค่า!
เธอเป็นผู้วิเศษมาได้สี่ซ้าห้าปีแล้ว เริ่มต้นจากการพึ่งพาไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์ ต่อมาได้เข้าร่วมองค์กรนั่น ผนวกกับเส้นทางที่เอื้ออำนวยให้ศึกษาศาสตร์เร้นลับได้ง่าย จึงสามารถไขว่คว้าความรู้ได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลอย่าง ‘การสวมบทบาท’ ‘กฎความถาวรของตะกอนพลัง’ และ ‘กฎการอนุรักษ์ตะกอนพลัง’ ซึ่งเป็นสามเสาหลักแห่งโลกเหนือธรรมชาติ โอลัวร์ถือว่าตนเป็นผู้วิเศษที่มีความรู้ลึกซึ้งแม้จะยังขาดประสบการณ์จริง โดยเหนือกว่าผู้วิเศษทั่วไปหลายช่วงตัว
แต่ในตอนนี้ น้องชายของเธอที่ไม่เคยก้าวเข้าสู่โลกแห่งศาสตร์เร้นลับมาก่อน กลับเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ง่ายดาย แถมยังได้ฟัง ‘กฎการรวมตัวของตะกอนพลัง’ ที่แม้แต่เธอก็ไม่เคยทราบ!
ตัดเรื่องที่ลูเมี่ยนแอบเข้าไปอ่านบันทึกเวทมนตร์ในห้องเธอไปได้เลย
ในฐานะผู้วิเศษเส้นทาง ‘ผู้ส่องความลับ’ โอลัวร์ฝืนข่มความอยากรู้ในรายละเอียดของ ‘กฎการรวมตัว’ พลางมองหน้าน้องชายด้วยความฉงน ปนประหลาดใจและกังวล
“ทำไมมาดามคนนั้นถึงยอมสอนเรื่องพวกนี้… นายต้องแลกกับอะไร?”
สูตรโอสถก็ยังมอบให้ฟรี!
หญิงสาวจ้องลูเมี่ยนหัวจรดเท้าอีกครั้ง พยายามค้นหาว่าน้องชายสูญเสียสิ่งใดไป
“ไม่มี” ลูเมี่ยนยิ้มเยาะตัวเอง “นั่นแหละที่น่ากลัว ฉันยังไม่รู้เลยว่าวันข้างหน้าต้องจ่ายอะไรบ้าง… บางที มันคงเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์บนหน้าอก รวมถึงซากปรักหักพังในฝันนั่น มาดามคนนั้นคงอยากให้ฉันคลี่คลายปริศนาเบื้องหลัง”
โอลัวร์อืมในลำคอ
“เล่าต่อสิ”
หญิงสาวรอฟัง ‘เรื่องราว’ ถัดไปด้วยท่าทีจริงจัง
ลูเมี่ยนเริ่มเล่าเกี่ยวกับนกฮูก เล่าถึงความผิดปกติในเทศกาลมหาพรต เล่าถึงประสบการณ์ของสองพี่น้องในวัฏจักรรอบสอง เล่าถึงตอนที่ทั้งคู่พยายามออกจากหมู่บ้านกอร์ตู จนวัฏจักรเริ่มต้นใหม่
โอลัวร์ฟังอย่างตั้งใจจนจบ แล้วพึมพำด้วยน้ำเสียงยากจะทำใจเชื่อ
“หรือว่าฉันถูกนายสะกดจิตให้เล่าเรื่องทุกอย่าง… ถ้าไม่อย่างนั้น… เวลาก็ต้องวนเวียนอยู่จริงๆ …”
เธอเริ่มเชื่อคำพูดของลูเมี่ยน เพราะตนเป็นคนตั้งชื่อ ‘เข็มกลัดซื่อตรง’ ขึ้นมาเอง ชื่อนี้ไม่เคยถูกบันทึกไว้ที่ใด หากไม่ได้เป็นคนบอกน้องชายจากปาก ลูเมี่ยนก็ไม่มีทางทราบ และเธอไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
ลูเมี่ยนถือโอกาสสร้างความน่าเชื่อถือ
“ฉันยังสามารถทำนายได้ด้วยว่า คืนนี้คนต่างถิ่นทั้งสามจะเดินเข้าไปในร้านเหล้าคร่ำครึ… คืนนี้หลวงพ่อจะแอบเล่นชู้กับคุณนายปัวริสในโบสถ์ และคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรีกลับมาถึงหมู่บ้านแล้ว พร้อมกับแกะสามตัวที่มีปัญหา…”
ยิ่งโอลัวร์ฟังก็ยิ่งทำหน้าเคร่งขรึม สักพักหนึ่งจึงพูดว่า
“สามคนนั้นเข้ามาในหมู่บ้านตอนบ่าย… ส่วนนายอยู่บ้านฝึกวิชาต่อสู้กับฉันตลอด จากนั้นพวกเราก็งีบ ไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย”
“และในชั่วโมงฝึกต่อสู้ช่วยบ่าย นายยังเป็นแค่คนธรรมดา…”
เธอจำต้องยอมรับว่า ‘วัฏจักรเวลา’ ของลูเมี่ยนมีอยู่จริง
ถ้าเป็นคนอื่น ลูเมี่ยนอาจจะหัวเราะเยาะพร้อมกับพูดว่า ‘เชื่อแล้วสินะ! ติดกับแล้ว! เรื่องเพ้อเจ้อพรรค์นี้ยังจะเชื่อลงไปได้อีกนะ’ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าโอลัวร์ เด็กหนุ่มฝืนอดกลั้นเอาไว้
เขาลองเสนอ
“ฉันว่าจะไปเดินเล่นในหมู่บ้าน เพื่อลองรวบรวมข้อมูลเท่าที่ทำได้”
โอลัวร์พยักหน้า
“ฉันจะใช้ ‘ดวงตา’ คอยสังเกตดูรอบๆ เอาไว้ แต่มันมีข้อจำกัดและเต็มไปด้วยอันตราย ไม่แน่ใจว่าจะมีประโยชน์มากแค่ไหน”
ลูเมี่ยนโบกมือเป็นนัยว่าเข้าใจ แล้วเดินไปที่ประตู
ผ่านไปไม่กี่ก้าว ลูเมี่ยนหันกลับมามองโอลัวร์ที่ยืนในห้องครัว
ภาพที่พี่สาวผลักตนไปยังจุดปลอดภัยท่ามกลางเหล่าวิญญาณวิปลาส ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดกับการแยกจากกันโดยไม่ทันตั้งตัว
เขาถามผ่านๆ
“พี่… ทำไมตอนนั้นถึงเก็บฉันมาเลี้ยงล่ะ”
โอลัวร์ตอบกึ่งๆ โกรธ
“ใครว่าอยากฉันทำล่ะ!”
“ฉันแค่ใจดีให้อาหารนาย จากนั้นนายก็เริ่มตามฉันแจ ไล่เท่าไรก็ไม่ไปไหน แถมยังช่วยทำนู่นทำนี่อย่างน่าเอ็นดู ฉันก็เลยใจอ่อน… ใครจะไปรู้ว่าโตมาแล้วจะเป็นแบบนี้!”
“นายไม่มีทางเข้าใจแน่ ว่ามันยากแค่ไหนที่เด็กสาวคนหนึ่งต้องหาเลี้ยงตัวเองพร้อมกับดูแลเด็กน้อยแบบนายไปด้วย!”
หลังจากฟังคำตอบของโอลัวร์ ทีแรกลูเมี่ยนคิดจะขอบคุณพร้อมกับชมเชยพี่สาว แต่คำพูดดังกล่าวกลับหยุดอยู่ที่ปลายลิ้น คล้ายกับไหลออกไปทางตาและจมูกแทน
เด็กหนุ่มหันหลังกลับ แล้วตรงไปทางหมู่บ้าน
…………………………………………………….