ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 44 แอบฟัง
ตอนที่ 44 แอบฟัง
เนื่องจากต้องสืบข่าว แต่ไม่อาจทำตัวกระโตกกระตาก ไม่อย่างนั้นอาจไปกระตุ้นให้วัฏจักรเริ่มใหม่ ลูเมี่ยนจึงต้องเริ่มสืบจากสุดขอบของปัญหาก่อน แล้วจึงค่อยๆ รุกล้ำไปตามสถานการณ์
แนวคิดเบื้องต้นก็คือ บ่ายวันนี้จะไล่สืบข้อมูลจากบรรดาสตรีที่เป็นชู้รักของหลวงพ่อ โดยใช้วิธีแอบฟัง หรือทักทายตามมารยาท เพื่อดูว่าพวกเธอรู้อะไรบ้าง หากคว้าน้ำเหลวหรือยังไม่สบโอกาส ก็จะแวะไปที่โบสถ์เพื่อดูว่าหลวงพ่ออยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ก็ถามไถ่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันในหมู่บ้าน
ลูเมี่ยนเลือกฌิบริล·แบรีเป็นเป้าหมายแรก เธอไม่เพียงเป็นชู้รักของหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ แต่ยังเป็นสายเลือดเดียวกับคนเลี้ยงแกะ ปิแยร์·แบรี ถือว่ามีความเชื่อมโยงอย่างใกล้กับชิดกับคนไม่ปกติทั้งสอง จึงน่าจะมีข้อมูลไม่มากก็น้อย
ลูเมี่ยนมีเพื่อนชื่อกิโยมน้อย หรือกิโยม·แบรี ซึ่งเป็นญาติห่างๆ ของปิแยร์·แบรี แต่สีผมของพวกเขาไม่เหมือนกันและไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ฌิบริล·แบรีปีนี้อายุยี่สิบสี่ แต่งงานแล้ว สามีของเธอชื่อฌ็อง·โมรี เป็นชายวัยกลางคนอายุใกล้สี่สิบ
ฌ็องเป็นโสดมากว่าสามสิบปี ที่มาแต่งกับฌิบริล·แบรีได้ เพราะเขาไม่เรื่องมากเรื่องสินสอด
ฌิบริล·แบรีจะยอมแต่งงานด้วยทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าชายใดรับได้ก็เข้าพิธีวิวาห์กับเธอได้เลย ลูเมี่ยนเชื่อว่าเพราะตอนนั้นเธอเป็นชู้รักกับหลวงพ่อแล้ว จึงต้องการใครก็ได้มาเป็นสามี เพื่อคอยเลี้ยงดูลูกนอกสมรสที่อาจจะเกิดมา โดยที่สินสมรสดังกล่าวอาจเป็นเงินของหลวงพ่อ
แม้โดยพื้นฐานแล้ว การมีลูกนอกสมรสคือเรื่องที่พบเห็นได้บ่อย สามีหรือภรรยาหลายคนก็ทราบเรื่องนี้ดี และถึงแม้จะโกรธเกลียด แต่ก็ยังรับลูกนอกสมรสเข้ามาในบ้านอยู่ดี เพราะสุดท้ายแล้ว นี่ไม่ต่างอะไรกับการมีสาวใช้หรือคนรับใช้เพิ่มโดยไม่ต้องเสียเงิน ซึ่งอีกฝ่ายไม่มีสิทธิ์แบ่งทรัพย์สินออกไปอยู่แล้ว
ในทางกลับกัน นักบวชของสุริยันเจิดจรัสจะไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงานมีลูก พวกเขาจึงมักจะหา ‘พ่อ’ ที่ไม่แพงนัก เพื่อรับเป็นบิดาของลูกนอกสมรสตัวเอง
ลูเมี่ยนเดินมาถึงบ้านของฌ็อง·โมรี—บ้านเล็กๆ ชายขอบหมู่บ้านกอร์ตู
บ้านทั้งหลังเป็นสีขาว มีชั้นเดียว ห้องนอนอยู่หลังห้องครัว อีกฝั่งหนึ่งเชื่อมกับห้องใต้ดิน ซึ่งใช้เก็บถังไม้และใช้เป็นห้องนั่งเล่นกับห้องรับประทานอาหาร
แต่ไม่มีห้องน้ำ มีเพียงเพิงเล็กๆ สร้างอยู่ด้านหลังของบ้าน
ลูเมี่ยนไม่ได้เคาะประตูเข้าไป เพียงย่องเงียบไปด้านข้างตัวบ้าน ย่อตัวลงตรงหน้าต่างห้องนอน
ขณะนี้มีคนนั่งอยู่ในห้อง ลูเมี่ยนได้ยินเสียงหายใจของอีกฝ่าย นั่นช่วยให้กะเกณฑ์ส่วนสูงได้อีกด้วย
ถัดมาไม่นาน มีเสียงฝีเท้าเบาๆ จากห้องครัว เคลื่อนที่มายังห้องนอน
โดยไม่ต้องคำนวณ ลูเมี่ยนที่เป็น ‘นักล่า’ สามารถประเมินน้ำหนักตัวเจ้าของเสียงฝีเท้าได้ทันที
อีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้หญิง คงเป็นฌิบริล·แบรี
ในความทรงจำของลูเมี่ยน ฌิบริล·แบรีเจ้าของเรือนผมสีดำเรียบนุ่ม ไม่ชอบจัดแต่งทรงผมเหมือนสตรีทั่วไป เพียงปล่อยทิ้งง่ายๆ หรือไม่ก็รวบหางม้า มอบกลิ่นอายของเด็กสาวที่ยังไม่แต่งงาน
หน้าตาไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่โครงหน้ากลมกลึงนุ่มนวล ถือว่าค่อนข้างมีเสน่ห์
ระหว่างนี้ ฌ็อง·โมรีที่นั่งอยู่ในห้องนอนเงียบๆ มานาน เปิดปากด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ตอนบ่ายหลวงพ่อมาที่นี่หรือ…”
เสียงของเขาเป็นโทนเดียวกับบุคลิก ค่อนข้างมืดมน—เวลาฌ็อง·โมรีคุยกับคนอื่นใต้ต้นเอล์มที่ลานหมู่บ้าน ทุกคนพูดไปสี่ห้าคำเขาถึงจะตอบหนึ่งคำ ผนวกกับผมสีดำที่มักหวีลวกๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลอันไร้ชีวิตชีวา และหนวดเคราที่โกนไม่เรียบร้อย ภาพรวมจึงดูหม่นๆ
“กลับไปแล้ว” เสียงของฌิบริล·แบรียังคงสดใสเหมือนเด็กสาว
เธอเป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิด
ฌ็อง·โมรีเงียบไปสักพัก แล้วจึงถามต่อ
“เธอทำเรื่องนั้นกับเขา?”
“เรียบร้อย” ฌิบริลตอบนิ่งๆ
ฌ็อง·โมรีเงียบไปอีกครั้ง รอจนกระทั่งฌิบริล·เดินไปที่ห้องครัวจึงค่อยพูด
“ฉันไม่ติดใจอะไรกับหลวงพ่อหรอกนะ แต่เธอต้องระวังผู้ชายคนอื่นๆ … โดยเฉพาะปาโตห์·รุสเซล”
ปาโตห์·รุสเซลคือสามีของมาไดนา·เบเนต์ ซึ่งภรรยาของเขาก็เป็นชู้รักของหลวงพ่อเช่นกัน
ลูเมี่ยนที่ซ่อนตัวอยู่นอกหน้าต่าง ฟังแล้วไม่อาจเก็บซ่อนความประหลาดใจ
เด็กหนุ่มเริ่มมองหลวงพ่อด้วยความชื่นชมมากขึ้น ตอนบ่ายเพิ่งมาหาฌิบริล·แบรี พอตกเย็นก็มีนัดกับหญิงอื่นต่อ เขาสมควรถูกเชิดชูวีรกรรมในโลกแห่งกามกิจ
ถ้าหลวงพ่อสามารถแบ่งความหมกมุ่นได้สักครึ่งหนึ่งมาใช้กับธุระของศาสนจักร ด้วยไหวพริบและฝีมือระดับมัน ป่านนี้คงได้เลื่อนขั้นและกลายเป็นผู้วิเศษนานแล้ว
‘สมณศักดิ์’ คือระดับของสงฆ์ในศาสนจักรสุริยันเจิดจรัส ระดับแรกสุดคือ ‘สงฆ์คุมทวาร’ ระดับที่สองคือ ‘สงฆ์อ่านคัมภีร์’ ระดับที่สามคือ ‘สงฆ์สรรเสริญ’ ระดับที่สี่คือ ‘สงฆ์บ่าวพิธี’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือข้ารับใช้พิธี ระดับที่ห้าคือ ‘สงฆ์รองพิธีกรรม’ ระดับที่หกคือ ‘สงฆ์พิธีกรรม’ หรือที่เรียกกันว่าพระสงฆ์ หรือบาทหลวง หรือนักบวช ระดับที่เจ็ดคือ ‘บิชอป’ บางศาสนาเรียกว่าสังฆราช ระดับที่แปดคือ ‘อาร์ชบิชอป’ ระดับที่เก้าคือ ‘พระคาร์ดินัล’ ส่วนพระสันตะปาปาไม่ถูกจัดอยู่ในสมณศักดิ์
ตั้งแต่ระดับที่หกขึ้นไปถือเป็นระดับสูง อ้างอิงจากที่โอลัวร์บอก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้วิเศษ
ในกรณีของระดับที่สาม หน้าที่ของสงฆ์คือการดูแลกิจของศาสนา และคอยเป็นลูกมือในพิธีต่างๆ ในโบสถ์ ซึ่งในช่วงหลายร้อยปีหลัง สงฆ์ระดับนี้เริ่มหมดความสำคัญและไม่ถือว่าเป็นนักบวชที่แท้จริง ส่วนระดับที่สี่—สงฆ์บ่าวพิธี—โดยมากมักเป็นสงฆ์ใหม่ที่เพิ่งจบจากวิทยาลัยสงฆ์ สำหรับระดับที่ห้า หรือสงฆ์รองพิธีกรรม สามารถเป็นผู้นำประกอบพิธีกรรมแทนบาทหลวงจริงๆ ในโบสถ์แถบชนบทของเขตมุขมณฑล
สถานการณ์ในหมู่บ้านกอร์ตูก็เช่นกัน มีอธิการโบสถ์เป็นสงฆ์ระดับห้า—สงฆ์รองพิธีกรรม—และมีสงฆ์ระดับสี่เป็นรองอธิการโบสถ์ รวมถึงลูกมืออีกจำนวนหนึ่ง
กิโยม·เบเนต์แค่ต้องเลื่อนขั้นอีกหนึ่งระดับเท่านั้น มันก็จะกลายเป็นบาทหลวงตัวจริง
“เข้าใจแล้ว” ฌิบริล·แบรีตอบสามีห้วนๆ
ฌ็อง·โมรีเปลี่ยนเรื่องคุย
“ปิแยร์ของครอบครัวเธอน่ะ กลับจากการผลัดถิ่นแล้วหรือ?”
“ใช่ เขาต้องอยู่ช่วยในพิธีสำคัญ” ฌิบริลตอบผ่านๆ
พิธี? ลูเมี่ยนฟังแล้วทำตาลุกวาว
ฌ็อง·โมรีถามต่อ
“หมายถึงพิธีฉลองเทศกาลมหาพรต?”
ฌ็อง·โมรีอืมในลำคอแล้วพูด
“สุริยันจงเจริญ!”
ฌิบริลไม่ตอบ เพียงออกจากห้องนอนแล้วเดินเข้าไปในครัว
ลูเมี่ยนลองประเมินสถานการณ์
ฌิบริลล่วงรู้พฤติกรรมลับๆ ของหลวงพ่อกับคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี ในขณะที่สามีของเธอไม่รู้อะไรเลย!
พิธีที่เธอเอ่ยถึงมิใช่ ‘พิธีเซ่น’ ในเทศกาลมหาพรต แต่อาจเกี่ยวข้องกับคืนที่สิบสอง!
ลูเมี่ยนที่ได้รับข้อมูลบางส่วนจากบ้านโมรี ย้ายไปยังบ้านสองชั้นของปาโตห์·รุสเซล และมาไดนา·เบเนต์
ต่างจากฌิบริล มาไดนา·เบเนต์แต่งงานด้วยสินสมรสของตัวเอง ปาโตห์·รุสเซลก็ได้ส่วนแบ่งจากครอบครัวเช่นกัน พวกเขาจึงสามารถสร้างบ้านดีๆ อยู่ได้ แถมยังมีแกะมากกว่ายี่สิบตัวที่จ้างคนเลี้ยงแกะดูแล
มาไดนากลายเป็นชู้รักของหลวงพ่อตอนไหน ลูเมี่ยนไม่แน่ใจ แต่เด็กหนุ่มทราบว่าในช่วงปีกลาย ก่อนที่หลวงพ่อจะเริ่มล่าสวาทสตรี มันนัดพบกับมาไดนาบ่อยครั้ง บางที ข้อห้ามทางสังคมอาจเป็นเชื้อไฟที่ช่วยกระตุ้นความเร่าร้อน
ขณะนี้ปาโตห์·รุสเซล ผู้เตรียมสอบเป็นเจ้าหน้าที่ปกครอง เจ้าของหนวดเคราคล้ายสุภาพบุรุษ เดินเข้าไปในห้องครัวที่มาไดนากำลังยืนออกคำสั่งกับสาวใช้
“เราจะเชิญหลวงพ่อมาเป็นแขกได้อีกตอนไหน?”
ท่าทีของเขาดูตื่นเต้น คงหวังผูกสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ในหมู่บ้าน
มาไดนาเหล่มองลูกสาวนอกสมรสของบิดาปาโตห์ ซึ่งกำลังทำอาหารอยู่ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา”
รวมถึงสภาพร่างกายของเขาด้วยใช่ไหม? ลูเมี่ยนที่ซ่อนอยู่ด้านนอก พึมพำเงียบภายในใจ
“คุณไปสวดมนต์ที่โบสถ์บ่อยๆ ไม่ใช่หรือ? ลองถามเขาให้หน่อยสิ” ปาโตห์·รุสเซลยังไม่ยอมแพ้
มาไดนาไปเข้าโบสถ์บ่อย? ลูเมี่ยนขมวดคิ้ว
หลวงพ่อกับพรรคพวกแอบวางแผนลับๆ ล่อๆ กันในโบสถ์?
ไม่คิดจะไว้หน้าองค์สุริยันเจิดจรัสกับนักบุญซิธบ้างหรือไง…
หลังจากฟังต่ออีกสักพัก ลูเมี่ยนย้ายไปยังโบสถ์ใกล้กับลานจัตุรัสหมู่บ้าน หวังว่าจะได้พูดคุยกับหลวงพ่อ
แต่เมื่อไปถึงโบสถ์ หลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงรองอธิการโบสถ์ มิเชล·การีกู ที่ยืนอยู่หน้าแท่นบูชา
อีกฝ่ายเป็นนักบวชต่างถิ่น มาจากดาลีแอช จบการศึกษาจากวิทยาลัยสงฆ์บีกอร์ เมื่อปีกลายถูกบิชอปส่งมายังหมู่บ้านกอร์ตู เพื่อคอยช่วยงานของกิโยม·เบเนต์
ไม่ค่อยมีใครคบค้าสมาคมกับมิเชล หน้าที่ของเขามีเพียงการจดบันทึกพิธีศพ พิธีสมรส และการเกิด
ในวัฏจักรรอบก่อน ลูเมี่ยนเดินตรงมาทางโบสถ์ พอดีกับที่หลวงพ่อกำลังจะกลับ กิโยม·เบเนต์จึงบอกให้ลูเมี่ยนมาสวดมนต์ใหม่วันพรุ่งนี้ ไม่เปิดโอกาสให้มิเชลได้นำสวดหรือฟังสารภาพบาป
มิเชลตัวสูงกว่าลูเมี่ยนเมื่อก่อน (หลังจากดื่มโอสถนักล่าเข้าไป ลูเมี่ยนเชื่อว่าตัวเองสูงขึ้นอีกหลายเซนติเมตร จนขยับเข้าใกล้หนึ่งเมตรแปด) เป็นชายหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาล ดูมีเสน่ห์แบบวัยรุ่น
ลูเมี่ยนมองมิเชล·การีกู ซึ่งสวมเครื่องแต่งกายนักบวชสีขาวปักด้ายทอง จากนั้นก็กางแขนออก
“สุริยันจงเจริญ!”
หลังจากแสดงความเคารพ ลูเมี่ยนจ้องหน้ามิเชล เพื่อดูว่ารองอธิการโบสถ์รายนี้จะตอบสนองต่อธรรมเนียมของศาสนจักรสุริยันเจิดจรัสเช่นไร
หากลังเลแม้เพียงน้อยนิด ลูเมี่ยนจะฟันธงได้ว่าอีกฝ่ายถูกหลวงพ่อกับลิ่วล้อลากเข้าก๊วนแล้ว
มิเชล·การีกูตอบทันทีด้วยท่าทางเดียวกัน
“สุริยันจงเจริญ!”
ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเปี่ยมไปด้วยความยินดีและคาดหวัง
จากคำพูดของมาไดนา·เบเนต์ ดูเหมือนว่าหลวงพ่อกับลิ่วล้อจะซ่องสุมกันที่นี่บ่อย ในฐานะรองอธิการโบสถ์ มิเชลควรจะสังเกตเห็นอะไรบ้าง ลูเมี่ยนมิได้ถามตรงๆ เพียงเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะกล่าว
“หลวงพ่อไม่อยู่หรือ”
“ออกไปนานแล้วน่ะ” มิเชลตอบ “มีคนต่างถิ่นมาหาเขาเมื่อสิบห้านาทีก่อน แต่คลาดกัน”
ท่าทีของรองอธิบายโบสถ์ดูกระตือรือร้น คล้ายกับบอกใบ้เป็นนัยว่า ถ้าจะสารภาพบาปตนก็พร้อมรับฟัง
คำนึงถึงความเป็นไปได้ที่หลวงพ่ออาจทำทีเป็นออกไป แต่ความจริงแล้วซ่อนตัวอยู่ในโบสถ์เพื่อรอให้คุณนายปัวริสนำ ‘อาหารเย็น’ มาเสิร์ฟ อีกฝ่ายอาจได้ยินสิ่งที่ลูเมี่ยนพูดกับมิเชล เด็กหนุ่มจึงแสร้งถอนหายใจ
“ไม่เป็นไร… ไว้ค่อยกลับมาสวดมนต์ใหม่วันพรุ่งนี้ดีกว่า”
ดวงตามิเชลคล้ายกับสูญเสียประกาย
ลูเมี่ยนหันหลังเดินออกจากโบสถ์ มีแผนจะรอให้ค่ำมืดจึงค่อยลอบเข้าที่พักของมิเชล เพื่อดูว่าสามารถสืบอะไรเพิ่มเติมได้หรือไม่
เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้คล้อยหลังเขา เด็กหนุ่มตรงกลับบ้าน เจอกับโอลัวร์ที่เตรียมอาหารรออยู่แล้ว
“พี่เจออะไรไหม”
โอลัวร์พยักหน้าเบาๆ
“นอกจากเรื่องผิดปกติที่นายเล่า ฉันยังพบเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับรองอธิการโบสถ์ มิเชล·การีกู”
“หือ?” ลูเมี่ยนทำหน้าประหลาดใจโดยไม่ปิดบัง
…………………………………………………….