ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 45 เรียนซ่อม
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 45 เรียนซ่อม
ตอนที่ 45 เรียนซ่อม
ลูเมี่ยนเพิ่งจะยืนยันว่ามิเชล·การีกูยังไม่ถูกกิโยม·เบเนต์กับลิ่วล้อลากเข้ากลุ่มก๊วน จึงวางแผนไปเยี่ยมรองอธิการโบสถ์ในช่วงมืดค่ำ แต่พอกลับถึงบ้านกลับได้ยินจากปากพี่สาวว่า มิเชล·การีกูมีปัญหา
โอลัวร์มองลูเมี่ยนแล้วยิ้ม
“ในตอนที่ฉันค้นพบว่าเขามีปัญหา เจ้าน้องชายทึ่มก็กำลังยืนอยู่ข้างๆ กัน”
“คงสัมผัสไม่ได้เลยสินะ…”
เธอดูมีความสุขอย่างยิ่ง จนถึงกับต้องยกมือขวาขึ้นมาป้องปากเล็กน้อย
ท้ายที่สุดแล้ว น้องชายที่เคยไร้การศึกษาในศาสตร์เร้นลับ กลับกลายเป็นผู้วิเศษในชั่วข้ามคืน ได้เข้าถึงความรู้ลึกซึ้งมากมาย แถมยังตระหนักว่าหมู่บ้านกอร์ตูกำลังอยู่ในวัฏจักรเวลา ส่วนพี่สาวอย่างเธอไม่เพียงจะไร้ประโยชน์ แต่ยังถูกแซงหน้าในแง่ภูมิปัญญาศาสตร์เร้นลับที่ตนถนัดถนี่ จิตใจจึงกระสับกระส่ายอย่างไม่อาจเสี่ยง
ขณะนี้เธอทวงคืนเกียรติยศของพี่สาวกลับคืนมาได้บางส่วน
ลูเมี่ยนมองหน้าโอลัวร์ที่กำลังยิ้ม พลางผงกหัวรับ
“ดูจากพฤติกรรมของเขา…ฉันไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ”
โอลัวร์อืมในลำคอ
“กายดาราของเขาน่ะ…จะพูดยังไงดี…ดูสว่างกว่าคนปกตินิดหน่อย แต่เขาไม่ใช่ผู้วิเศษ แถมยังไม่เคยฝึกร่างกายอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ”
“อาจจะมีร่างกายดีมาตั้งแต่เกิดก็ได้” ลูเมี่ยนลองเดาก่อน แล้วถามด้วยความสงสัย “ว่าแต่… กายดาราคืออะไร?”
โอลัวร์ตอบกลับอย่างประหลาดใจ
“นายไม่รู้?”
“ก็ไม่รู้น่ะสิ” ลูเมี่ยนส่ายหน้า
โอลัวร์ยิ้มอีกครั้ง พลางพูดด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเข้าใจ
“มาดามคนนั้นสอนเกี่ยวกับ ‘เส้นทางแห่งเทพ’ สอน ‘กฎความถาวรของตะกอนพลัง’ สอน ‘การสวมบทบาท’ แต่ไม่ได้สอนเรื่องพื้นฐานอย่างกายดารา?”
“เธอมีเวลาจำกัด ต้องเลือกสอนเฉพาะหัวข้อสำคัญๆ ก่อน” ลูเมี่ยนหาข้ออ้างให้มาดาม
โอลัวร์ยิ้มอย่างมีความสุข
“คงเพราะความรู้พื้นฐานของศาสตร์เร้นลับไม่มีประโยชน์กับ ‘นักล่า’ แบบนาย… แค่คอยสะกดรอย วางกับดัก และต่อสู้ก็พอ”
เธอไม่รู้ว่าควรนิยามสถานะของน้องชายว่าอย่างไรดี จะเรียกว่าไร้การศึกษาในศาสตร์เร้นลับก็ไม่เชิง เพราะเขารู้หลายเรื่อง แถมยังเป็นความรู้ล้ำค่า แต่จะบอกว่ารู้ลึกกว่า ‘นักล่า’ คนอื่นก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้กระทั่งว่า ‘กายดารา’ คืออะไร
โอลัวร์ถอนหายใจ พูดอย่างเอาจริงเอาจัง
“ต้องเป็นฉันสินะ ที่ช่วยเติมพื้นฐานศาสตร์เร้นลับของนายให้เต็ม”
“จำเอาไว้ว่า ในศาสตร์เร้นลับน่ะ นอกจากกายเนื้อแล้ว กายของมนุษย์ยังแบ่งเป็นสี่ชั้น ชั้นในสุดและสำคัญที่สุดคือ ‘กายวิญญาณ’ ซึ่งใกล้เคียงกับแนวคิดของ ‘วิญญาณ’ เป็นตัวแทนของพลังวิญญาณที่มีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง หรือกล่าวได้ว่า กายวิญญาณคือรากฐานของดวงวิญญาณ”
“สำหรับผู้ส่องความลับ โอสถส่วนใหญ่จะช่วยเสริม ‘กายวิญญาณ’”
“‘กายดารา’ อยู่ถัดออกมาจากกายวิญญาณ เปรียบดังรูปลักษณ์ภายนอกของ ‘กายวิญญาณ’ ที่ปรากฏในโลกความจริงและโลกวิญญาณ เชื่อมโยงกับความคิดและอารมณ์ปัจจุบันของบุคคลนั้นๆ โดยตรง”
“ทีนี้เข้าใจหรือยัง? เมื่อฉันบอกว่า ‘กายดารา’ ของรองอธิการโบสถ์สว่างกว่าคนปกติ หมายความว่า ‘กายวิญญาณ’ ของเขา หรือวิญญาณของเขามีปัญหา และมันสะท้อนออกมาผ่าน ‘กายดารา’ โดยไม่เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ทางด้านกายเนื้อ…แต่แน่นอน นี่อาจเป็นเพราะวิญญาณของเขาแข็งแกร่งตั้งแต่เกิดก็ได้”
“เราสามารถมองเห็นอารมณ์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายผ่านกายดารา เช่นสีแดงหมายถึงความหลงใหลและตื่นเต้น สีส้มหมายถึงความอบอุ่นและพึงพอใจ สีเหลืองหมายถึงความสุขและการเปิดใจ สีเขียวหมายถึงความสงบร่มเย็น สีน้ำเงินหมายถึงการคิดอย่างเยือกเย็น สีขาวคือความสว่างและการคิดบวก สีเข้มหมายถึงความเศร้า ความเสียใจ และเงียบงัน สีม่วงหมายถึงพลังวิญญาณเป็นใหญ่ ความเย็นชา และห่างเหิน…”
“สีเหล่านี้ยากที่จะปลอมแปลง แต่ก็ค่อนข้างคลุมเครือ ไม่อาจแยกแยะอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนหรือความรู้สึกซับซ้อนได้”
ลูเมี่ยนตั้งใจฟังอย่างมาก แทบจะหยิบปากกาขึ้นมาจดบันทึก
“ตอนนี้แค่ฟังไปก่อน” โอลัวร์พูดจนเริ่มเหนื่อย จึงนั่งลงที่โต๊ะอาหาร “ไว้ฉันจะให้สมุดบันทึกเวทมนตร์เล่มแรกกับนาย ในนั้นเขียนถึงความรู้พื้นฐานทั้งหมด”
“อา…” ลูเมี่ยนนั่งลงตาม พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “แล้วนอกจากกายดาราล่ะ”
โอลัวร์ยกแก้วน้ำแกะสลักขึ้นมาจิบ
“นั่นคือ ‘กายปัญญา’ …จากจุดนี้ วิญญาณกับร่างกายเริ่มหลอมรวมกัน”
“กายปัญญาเกี่ยวข้องกับสมอง เชื่อมโยงกับความสามารถในการใช้เหตุผล ความคิด การรับรู้ และความสามารถในการเข้าใจสิ่งต่างๆ …โอสถบางชนิดจะเน้นเสริมสร้างในส่วนนี้ และมีมนตร์คาถาบางประเภทจ้องเล่นงานในส่วนนี้เช่นกัน”
“ชั้นนอกสุดคือ ‘กายอากาศ’ สื่อถึงพลังชีวิตและสภาพร่างกาย ฉันจึงมองเห็นทันทีว่าร่างกายของนายพัฒนาขึ้นมาก อา… อาศัยความหนา ความสว่าง และสีของกายอากาศ ฉันยังประเมินสุขภาพของเป้าหมายได้ด้วย และในฐานะลำดับ 7 แห่งเส้นทางผู้ส่องความลับ ฉันสามารถคำนวณอายุขัยของผู้อื่นได้จากคุณลักษณะของ ‘กายอากาศ’”
“ส่วนวิธีการประเมิน นายจะได้เรียนรู้จากสมุดบันทึก”
ลูเมี่ยนตระหนักได้ทันที
“โอสถนักล่าเน้นเสริมกายอากาศใช่ไหม?”
“กลับกันต่างหาก… โอสถนักล่าจะเน้นเสริมสร้างร่างกายและพลังชีวิต ซึ่งกายอากาศเป็นกระจกสะท้อนสองสิ่งนี้” โอลัวร์ตอบกลับ
ลูเมี่ยนพยักหน้าพลางนึกทบทวนของเก่า จนเริ่มเข้าใจศาสตร์เร้นลับในแง่มุมนี้
เด็กหนุ่มนึกถึงคำพูดเมื่อสักครู่ของพี่สาว จึงถามอย่างใคร่รู้
“โอลัวร์… แล้วพี่จับตาดูรองอธิการโบสถ์ได้ยังไง ทำไมฉันถึงสัมผัสไม่ได้ว่าพี่อยู่ใกล้ๆ?”
โอลัวร์ยิ้ม
“อันที่จริง ฉันอยู่บ้านตลอดเวลา เพียงแต่ใช้เทคนิคพิเศษของผู้ส่องความลับ”
“เทคนิคพิเศษ?” ลูเมี่ยนถามโดยไม่คาดหวังคำตอบ
โอลัวร์ชี้ลูกตาตัวเอง
“พลังที่โดดเด่นที่สุดของผู้ส่องความลับ คือเนตรส่องความลับ”
“จริงอยู่ ฉันต้องมีลำดับสูงกว่านี้ถึงจะใช้เนตรส่องความลับได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งไม่เพียงจะใช้กับดวงตาตัวเอง แต่ยังสามารถติดตั้งบนสิ่งของอื่นๆ เพื่อคอยเฝ้าระวังจากระยะไกล…อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้แปลว่าเนตรส่องความลับในช่วงต้นๆ จะไร้ประโยชน์”
“ตั้งแต่ระดับ 9 ขึ้นไป ผู้ส่องความลับจะเห็นได้มากกว่าผู้วิเศษลำดับเดียวกันของทุกเส้นทาง… ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ นักล่าที่ยังก้าวไปไม่ถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพระดับบารมีเทพ จะเห็นได้อย่างมากก็แค่ ‘กายอากาศ’ แถมยังไม่ละเอียดนัก ในขณะที่ฉันตอนนี้สามารถตรวจสอบ ‘กายดารา’ ได้อย่างละเอียด และยังเห็นสิ่งรอบๆ ตัวที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็น”
พูดถึงตรงนี้ โอลัวร์มองไปทางห้องครัว
ลูเมี่ยนพลันขนลุกอย่างไม่มีเหตุผล
ทั้งที่ตรงนั้นไม่มีอะไรเลย แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนมีบางสิ่ง!
โอลัวร์เล่าต่อ
“แน่นอน นี่อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป การเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นมักนำพาไปสู่ปัญหา ฉันจึงต้องควบคุมตัวเองอยู่เสมอ ไม่ดูสิ่งที่ไม่ควรดู แต่เมื่อลำดับสูงขึ้น ใช่ว่าแค่ไม่มองแล้วจะไม่เห็น”
ลูเมี่ยนครุ่นคิดสักพัก แล้วจึงถามด้วยความสงสัย
“แต่พี่บอกว่า ต้องรอให้ลำดับสูงกว่านี้ก่อน จึงจะสามารถใช้เนตรส่องความลับกับสิ่งอื่นนอกจากตาตัวเอง…”
“แล้วทำไมพี่ที่อยู่บ้าน ถึงมองเห็นคนที่อยู่ในโบสถ์?”
โอลัวร์ยกมือขวาขึ้น กำหมัดแล้วยกขึ้นเฉพาะนิ้วชี้
“ฉันพูดจนปากเปียกปากแฉะแล้วว่าความรู้คือพลัง แต่นายก็ไม่เคยเชื่อ!”
“ภายใต้สถานการณ์ปกติ ฉันคงมองสิ่งที่อยู่ห่างจากบ้านเกินร้อยเมตรไม่ได้ แต่มนุษย์สามารถพึ่งพาเครื่องไม้เครื่องมือ และฉันมี ‘ผู้ช่วย’ อยู่สองอย่าง”
ขณะกล่าว โอลัวร์หยิบสองสิ่งออกจากช่องกระเป๋าในชุดกระโปรงสีน้ำเงิน
หนึ่งคือกล้องส่องทางไกลทองเหลืองที่ยืดหดได้ อีกหนึ่งคือขวดหมึกสีเข้มแบบพกพา—ดูคล้ายของเล่นเด็ก
“กล้องส่องทางไกลช่วยให้ฉันเห็นคนที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรได้ชัดเจนขึ้น และเมื่อ ‘ระยะสายตา’ ไกลขึ้น ฉันก็จะมองเห็นกายดารา กายอากาศ และกายปัญญาของเป้าหมายได้” โอลัวร์อมยิ้มขณะอธิบาย “แต่ใช้ได้เฉพาะกับที่โล่งซึ่งไม่มีสิ่งกีดขวาง”
ลูเมี่ยนฟังด้วยความตกตะลึง
แบบนี้ก็ได้หรือ?
กล้องส่องทางไกล กับศาสตร์เร้นลับ?
“แล้วนี่ล่ะ?” เด็กหนุ่มชี้ขวดหมึกพกพา
โอลัวร์ไม่ตอบ เพียงบีบขมับทั้งสองข้างแล้วเปิดฝาขวด
ลูเมี่ยนพลันหนาวสั่น ราวกับมีลมเย็นพัดเข้ามาทางหน้าต่าง
“มันคือสิ่งมีชีวิตพิเศษในโลกวิญญาณ” โอลัวร์อธิบาย
“มัน? มันไหน?” ลูเมี่ยนมองไปรอบๆ
โอลัวร์ทำหน้าประหลาดใจ
“นายยังไม่รู้วิธีเปิดเนตรวิญญาณ…?”
“ไหนบอกว่าเคยเห็นวิญญาณคนตายมากมายในทุ่งร้าง?”
ลูเมี่ยนเคยอ่านเจอคำว่า ‘เนตรวิญญาณ’ ในนิตยสาร ‘สื่อวิญญาณ’ และเข้าใจความหมายดี แต่เขาไม่ทราบวิธีเปิดใช้งานมัน
เด็กหนุ่มมองหน้าพี่สาวพลางส่ายหัว
“เปิดไม่เป็น”
ต่อจากนั้น เขาลองคาดเดา
“อาจเป็นเพราะว่าได้เข้าไปใน ‘โลกอีกฝั่ง’ คนธรรมดาก็เลยเห็นพวกภูตผีได้โดยตรง”
โอลัวร์ไตร่ตรองอย่างจริงจังแล้วถาม
“งั้นก็แปลว่า… นายยังไม่รู้จักภาษาเฮอร์มิส เฮอร์มิสโบราณ เอลฟ์ มังกร และคนยักษ์?”
“อะไรล่ะนั่น?” ลูเมี่ยนไม่ปิดบังเรื่องที่ตนโง่เขลาศาสตร์เร้นลับ
โอลัวร์อดเอามือก่ายหน้าผากไม่ได้
“มาดามคนนั้นสอนอะไรนายบ้าง…”
“กฎความถาวรของตะกอนพลัง กฎการรวมตัว การสวมบทบาท เส้นทางแห่งเทพ ลำดับศูนย์ สมบัติปิดผนึก…” ลูเมี่ยนตอบอย่างซื่อตรง
“…” โอลัวร์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกเกทับ “มันน่าโมโหจริงๆ!”
หญิงสาวถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะรวบรวมสติกลับมา
“งั้นฉันจะสอนวิธีเปิดเนตรวิญญาณให้ สอบวิธีประกอบพิธีกรรมเวทมนตร์ และสอนใช้ภาษาเหนือธรรมชาติ”
“นี่เป็นแค่การอธิบายเบื้องต้นเท่านั้น ถ้าอยากเข้าใจอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะภาษาเหนือธรรมชาติ ถ้าไม่ทุ่มเทเวลาให้สักปีสองปีก็คงทำไม่ได้…แน่นอน หนึ่งในอุปสรรคคือลำดับและเส้นทางของนาย ‘นักล่า’ น่าจะยังไม่ถูกยกระดับการเรียนรู้มากนัก รวมไปถึงปัญญาเชิงศาสตร์เร้นลับต่างๆ …พี่สาวของนายอาศัยความขยันหมั่นเพียรและการถูกถ่ายทอด ใช้เวลาเพียงหกเดือนก็บรรลุพื้นฐานได้แล้ว”
หญิงสาวใช้มือขวาลูบไปบนอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้า คล้ายกับกำลังลูบหัวแมวล่องหน
“สำหรับผู้วิเศษ การเปิดเนตรวิญญาณไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่ตอนนี้ยังฟ้ายังไม่มืด เรามาพูดถึงเรื่องอื่นกันก่อน”
“ฉันเรียกมันว่า ‘เจ้ากระดาษขาว’ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจากโลกวิญญาณ ถ้าทราบคำนิยามที่ถูกต้องของมัน ไม่ว่าใครก็สามารถทำพิธีอัญเชิญออกมาในนามของตัวเองได้”
“นอกจากคุณสมบัติทั่วๆ ไปของสิ่งมีชีวิตในโลกวิญญาณอย่างการถูกพบเห็นได้ยาก เจ้านี่มีเพียงประโยชน์เดียว นั่นคือการใช้พลังวิเศษของผู้ทำพันธสัญญาได้บางส่วน แต่ต้องไม่ซับซ้อนหรือทรงพลังเกินไป”
…………………………………………………….