ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 49 เข้าฌานที่แท้จริง
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 49 เข้าฌานที่แท้จริง
ตอนที่ 49 เข้าฌานที่แท้จริง
สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก? ถ้ามิใช่เพราะพี่สาวกำลังอารมณ์ขุ่นมัว ลูเมี่ยนคงหัวเราะออกมาเสียงดังแล้ว
แต่เสียงหัวเราะก็เรื่องหนึ่ง เด็กหนุ่มไม่อาจหักห้ามใจมิให้เย้าแหย่
“ฉันเข้าใจดี ว่าพี่หมายถึง ‘กลุ่มวิจัยลิงบาบูนขนหยิก’ แต่คนอื่นอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็น ‘กลุ่มลิงบาบูนขนหยิกที่กำลังวิจัย’”
แน่นอน เขาแค่ล้อเล่น เพราะคำว่า ‘วิจัย’ ถูกเขียนในตำแหน่งของกรรมวาจก (Passive Voice)
โอลัวร์มองบนใส่น้องชาย
“พวกเราก็ชอบล้อตัวเองบ่อยๆ ว่าเป็นกลุ่มของลิงบาบูนขนหยิกที่กำลังถูกวิจัย”
เมื่อเห็นพี่สาวดูร่าเริงขึ้น ลูเมี่ยนจึงเปลี่ยนไปถาม
“สมาชิกสมาคมทุกคนเป็นผู้วิเศษหมดเลยหรือ”
“ไม่ทั้งหมด” โอลัวร์ตอบสั้นๆ “แต่ในบางการประชุม คนธรรมดาจะเข้าร่วมไม่ได้”
เธอไม่ได้เล่าถึงเหตุผลที่เข้าร่วมไม่ได้
“ประธานเป็นใคร? มีรองประธานกี่คน?” ลูเมี่ยนถามต่อ
“นายกำลังทำสำมะโนอยู่หรือไง” โอลัวร์ถามกลับด้วยท่าทีไม่พอใจ
“หือ?” ลูเมี่ยนทำหน้างง
อันที่จริง เขาพอเดาได้ว่าพี่สาวหมายถึง ‘สมุดสำมะโนครัว’ แต่เป็นขององค์กร ‘สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก’ และสื่อเป็นนัยว่าเธอกำลังไม่พอใจที่ตนถามซอกแซก
โอลัวร์ทำแก้มป่อง แล้วถอนหายใจก่อนจะพูด
“รหัสเรียกของประธานคือ ‘แกนดาล์ฟ’ มีรองประธานทั้งหมดห้าคน”
“เอาล่ะ ฉันจะอัญเชิญผู้ส่งสารของเฮล่าออกมา”
ทีแรกลูเมี่ยนพยักหน้า ก่อนจะผุดความสงสัยเล็กๆ
“โอลัวร์ เอ่อ พี่สาว… ไหนบอกว่ารู้จักแค่รหัสเรียก ‘เฮล่า’ แต่ไม่ทราบชื่อจริงไง? ทำไมถึงอัญเชิญผู้ส่งสารได้ล่ะ”
เขายังไม่ลืม พี่สาวเพิ่งพูดเองว่า เพียงเปลี่ยนส่วนสุดท้ายของคาถาอัญเชิญให้เป็น ‘ผู้ส่งสารของ…แต่เพียงผู้เดียว’ ก็จะเจาะจงไปยังเป้าหมายอัญเชิญได้แม่นยำ แต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าต้องเติมคำใดลงในช่องว่าง
“ถามได้ดี” โอลัวร์ชื่นชม “การหมั่นค้นพบปัญหาคือคุณสมบัติที่ดีของนักเรียนหัวกะทิ… อธิบายแบบนี้ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะตอนที่ทำพันธสัญญาจะใช้ชื่อใด แต่พันธสัญญาจะดึงออร่าของนายออกมาเล็กน้อย เพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองฝ่าย… จงจำไว้ว่า การอัญเชิญหลังจากนั้นต้องใช้ชื่อเดิมที่ทำพันธสัญญาเสมอ ถ้าเปลี่ยนกลับเป็นชื่อจริงจะไม่ได้ผล”
ลูเมี่ยนไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูด
“เข้าใจแล้ว… สิ่งสำคัญคือออร่าและความเชื่อมโยง ชื่อที่ใช้ทำพันธสัญญาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคาถาอัญเชิญในอนาคต ดังนั้นจะกำหนดให้เป็นอะไรก็ได้”
“ถูกต้อง” โอลัวร์พยักหน้ารับ
ลูเมี่ยนพลันหัวเราะ
“แล้วเคยมีสถานการณ์แบบนี้ไหม…สมมตินะพี่ ถ้าเกิดวันดีคืนดีพี่ได้รับคาถาอัญเชิญผู้ส่งสารแบบสมบูรณ์ และทำพันธสัญญากับมัน แล้วหลังจากนั้น ด้วยความรักที่มีต่อน้องชาย ก็คือฉันนี่แหละ พี่สอนคาถานั้นให้ฉันด้วย จนฉันอัญเชิญอีกตัวออกมาสำเร็จ แต่ตอนทำพันธสัญญา ฉันเกิดเล่นพิเรนทร์ทำพันธสัญญาด้วยชื่อโอลัวร์·ลี”
“คำถามก็คือ ถ้าใช้นิยาม ‘ผู้ส่งสารของโอลัวร์·ลี’ เราจะอัญเชิญวิญญาณตัวไหนออกมา?”
โอลัวร์ฟังจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ
“ฉันไม่เคยมีผู้ส่งสาร จะไปรู้ได้ยังไง!”
หญิงสาวหายใจเข้าออกเพื่อสงบสติ พลางคิดไปพูดไป
“ปัญหาชื่อซ้ำอาจจะสร้างความสับสนได้จริงๆ นั่นแหละ… ไม่เหมือนกับ ‘สัตว์พันธสัญญา’ ทั่วๆ ไปที่ต้องให้เจ้าของอัญเชิญเท่านั้น ผู้ส่งสารที่จะถูกอัญเชิญโดยใครก็ได้ มีโอกาสเกิดปัญหาในทำนองนี้ได้ง่ายกว่า… แต่เพราะฉันไม่มีผู้ส่งสาร จึงไม่แน่ใจว่ามีกลไกพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทำนองนี้หรือไม่ ทำได้เพียงวิเคราะห์จากปัญญาที่มี”
“หนึ่ง… ผู้ครอบครองผู้ส่งสารมีน้อยมาก โอกาสที่ชื่อจะซ้ำกันจึงต่ำจนแทบไม่ต้องคำนึงถึง”
“สอง… หากมีกรณีชื่อซ้ำจริงๆ แค่วางวัตถุเจือกลิ่นอายเจ้าของผู้ส่งสารไว้ในพิธีอัญเชิญก็คงพอ เพื่อให้ล็อกเป้าได้แม่นยำ”
“สาม… ถ้ากลัวจะเกิดกรณีชื่อซ้ำจริงๆ นายสามารถใช้ชื่อที่ยาวกว่าเดิมระหว่างทำพันธสัญญา เช่น ลูเมี่ยน·ตอร์เรส·ฮัลแลร์·ลันซ์ลอต·อาร์เธอร์·เกอร์มัน·สแปร์โรว·ลี แบบนี้คงไม่ซ้ำแน่นอน”
“แต่พอทำพันธสัญญาเสร็จ ฉันก็คงลืมมันทันที… ใครจะไปจำได้” ลูเมี่ยนตัดพ้อ “แล้วทำไมต้องเติมชื่อของนักล่าโจรสลัด นักผจญภัยผู้ยิ่งใหญ่ลงไปด้วย?”
“เพราะฉันชอบน่ะสิ ชุดนิยายผจญภัยของมาดามฟอร์ส·วอลล์กลายเป็นตำนานขึ้นหิ้งไปแล้ว” โอลัวร์ตอบด้วยท่าทางมั่นใจ
หญิงสาวหันไปจัดแท่นบูชา เตรียมประกอบพิธีอัญเชิญให้เป็นเรื่องเป็นราว
แต่ทันใดนั้น ลูเมี่ยนฉุกคิดถึงบางสิ่ง จึงรีบร้อนตะโกน
“เดี๋ยว!”
“มีอะไร?” โอลัวร์หันมาด้วยสีหน้างุนงง
ลูเมี่ยนถามขึงขัง
“ผู้ส่งสารถือเป็นสิ่งมีชีวิตจากภายนอกหรือไม่”
“…” โอลัวร์ดูงงงวยในทีแรก ไม่เข้าใจความหมายของน้องชาย แต่ไม่นานก็กระจ่าง
จึงตอบกลับอย่างระมัดระวัง
“นายหมายถึง… ผู้ส่งสารที่เป็นสิ่งมีชีวิตจากภายนอก เมื่อมาถึงกอร์ตูจะติดอยู่ในวัฏจักรจนออกไปไม่ได้?”
ก่อนที่ลูเมี่ยนจะตอบ โอลัวร์ลองอนุมาน
“ไม่สิ… สถานการณ์อาจเลวร้ายกว่านั้นอีก มันเป็นสัตว์พันธสัญญา พอได้รับจดหมายก็จะไปหา ‘เฮล่า’ ทันที เท่ากับว่ามันออกจากกอร์ตู ส่งผลให้วัฏจักรเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”
“และหลังจากนั้น มันจะพยายามออกไปซ้ำๆ ตามสัญชาตญาณ ทำให้เราต้องเริ่มใหม่เรื่อยๆ โดยไม่มีเวลาตรวจสอบกุญแจสำคัญของวัฏจักร”
ลูเมี่ยนไม่อาจหยุดคิดถึงภาพที่พี่สาวของตนกำลังอธิบาย
เราเพิ่งจะลืมตา เห็นห้องนอนที่คุ้นเคย แต่ทันใดนั้นภาพก็ย้อนกลับไปใหม่ ลืมตาและเห็นห้องนอนที่คุ้นเคย… เกิดขึ้นซ้ำซากอย่างไร้จุดสิ้นสุด โดยมีต้นตอมาจากผู้ส่งสารบางตัวที่รีบร้อน ‘กลับบ้าน’
โอลัวร์ยกมือขึ้นมาจับหน้าผาก
“แค่จินตนาการก็ขนลุกแล้ว…”
หลังจากถอนหายใจ หญิงสาวกลับมาตั้งสติวิเคราะห์
“คำนึงจากสถานการณ์ปัจจุบัน หากมีสิ่งมีชีวิตออกจากกอร์ตูหรือละแวกใกล้เคียง วัฏจักรจะเริ่มใหม่ ส่วนวัตถุไร้ชีวิตจะไม่ส่งผลใดเลย หลักฐานยืนยันก็คือโทรเลขและจดหมายที่ถูกส่งออกไป”
“ถ้าเป็นไปตามที่ว่ามา วิญญาณคงผ่านเข้าออกไม่ได้… หรือก็คือ เราไม่ควรอัญเชิญผู้ส่งสาร”
ฟังมาถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนพลันกระจ่าง ถึงเหตุผลที่หนังสือเล็กปกฟ้าถึงยังคงมีสภาพ ‘ถูกตัด’ ไม่แปรเปลี่ยน
ใช่แล้ว… เศษกระดาษที่ถูกตัดออกไป เดินทางออกจากหมู่บ้านกอร์ตูและหลุดพ้นจากวัฏจักร จนไม่ได้รับผลกระทบจากการเริ่มต้นใหม่ เศษตัวอักษรจึงไม่ย้อนกลับมารวมกับหนังสือ ส่งผลให้หนังสือเล็กปกฟ้ากลับสู่สภาพเดิมไม่ได้!
เด็กหนุ่มแบ่งปันความคิดนี้กับพี่สาว แล้วจบด้วยคำถาม
“ปริศนาของหนังสือเล็กปกฟ้าถูกไขกระจ่างแล้ว แต่จดหมายฉบับนั้นถูกส่งออกไปได้ยังไง?”
“ไม่มีทางส่งจดหมายระหว่างวัฏจักรได้แน่ ถ้าคนส่งจดหมายออกจากกอร์ตู ทุกอย่างก็จะเริ่มใหม่… แต่ถ้าเป็นเหตุการณ์ก่อนเริ่มวัฏจักร ทำไมฉันถึงไม่มีความทรงจำเลย? แล้วพี่ล่ะ?”
“ฉันก็ไม่มี…” โอลัวร์คิดอยู่ไม่นาน แล้วจึงหัวเราะ “เจ้าทึ่มเอ๊ย! นายเกือบทำให้ฉันดูโง่ไปด้วยแล้ว… การส่งจดหมายระหว่างวัฏจักรไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย!”
“หือ?” ลูเมี่ยนมองหน้าพี่สาวผู้ปราดเปรื่อง
โอลัวร์ยิ้ม
“การส่งจดหมายน่ะ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบุรุษไปรษณีย์หรือคนส่งของเสมอไป”
“เมื่อเราพบความผิดปกติและไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือหากล่องไม้ ใส่จดหมายขอความช่วยเหลือของเราไว้ข้างใน ปิดผนึกให้แน่นหนา แล้วโยนกล่องไม้ลงแม่น้ำด้านนอกหมู่บ้าน ปล่อยให้มันลอยไปตามกระแสน้ำจนถึงหมู่บ้านอื่น หรือไปถึงกระทั่งดาลีแอช ให้คนที่นั่นเก็บขึ้นมาแล้วนำไปส่งทางการ”
“จากที่นายเล่า ในวัฏจักรครั้งก่อนๆ เคยมีเหตุการณ์ที่คนในหมู่บ้านลงไปในแม่น้ำ”
“จริงด้วย!” ลูเมี่ยนประสานมือเสียงดัง
แล้วก็นึกถึงอีกหนึ่งปัญหา
“แล้วฝูงปลาในแม่น้ำทำให้วัฏจักรเริ่มใหม่ได้ไหม?”
“คงไม่” โอลัวร์คิดและตอบ “สิ่งมีชีวิตสติปัญญาต่ำจะไวต่อ ‘ขีดจำกัดที่มองไม่เห็น’ เสมอ หรือก็คือ มีโอกาสสูงที่พวกมันจะสัมผัสถึงอิทธิพลล่องหน จนสัญชาตญาณสั่งให้หลีกเลี่ยงกลไกที่อาจกระตุ้นการเริ่มใหม่ของวัฏจักร”
“แล้วเจ้ากระดาษขาวของพี่ล่ะ? พอครบสิบสองชั่วโมง มันก็ต้องออกจากโลกความจริง…” ลูเมี่ยนกังวลว่านี่อาจก่อให้เกิดการเริ่มต้นใหม่
โอลัวร์มองไปรอบตัว กล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“บางที วัฏจักรนี้ไม่เพียงนับรวมหมู่บ้านกอร์ตูและละแวกใกล้เคียง แต่ยังรวมถึง ‘พื้นที่ที่สอดคล้องกันในโลกวิญญาณ’ และผู้คนทั้งหมดด้วย”
“นายอาจไม่ทราบ แต่โลกวิญญาณกับโลกความจริงมีปฏิสัมพันธ์กันมากกว่าที่คิด หากไม่นับรวม ‘พื้นที่ที่สอดคล้องกันในโลกวิญญาณ’ เข้าไปด้วย เกรงว่าวัฏจักรคงต้องเริ่มใหม่บ่อยครั้งมาก ซึ่งไม่ใช่สถานการณ์ที่เรากำลังพบเจอ”
“เจ้ากระดาษขาวเป็นสัตว์พันธสัญญาของฉัน มีความเชื่อมโยงกับหมู่บ้านกอร์ตูโดยตรง พื้นที่ในโลกวิญญาณที่มันเตร็ดเตร่ มีแนวโน้มสูงว่าจะถูกนับรวมอยู่ในวัฏจักรด้วย”
เรานี่โง่ศาสตร์เร้นลับจริงๆ … ลูเมี่ยนไม่ได้ถามต่อ
โอลัวร์เริ่มสาธิตแสดงขั้นตอนอาคมพิธีกรรมอีกครั้ง จนกระทั่งยกเลิกกำแพงวิญญาณ
ท่ามกลางสายลมกระโชกที่มองไม่เห็น โอลัวร์พูดกับลูเมี่ยน
“ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ฉันจะสอนวิธีเข้าฌานที่แท้จริง และวิธีเปิดเนตรวิญญาณให้”
“ตกลง” ลูเมี่ยนทำหน้าตั้งใจฟัง
โอลัวร์อธิบาย
“นายเรียนส่วนแรกของการเข้าฌานไปแล้ว ฉันจะเริ่มจากครึ่งหลังเลยนะ”
“เมื่อนายจินตนาการถึงพระอาทิตย์ ให้รวบรวมสมาธิเพื่อสร้างความสงบแก่จิตใจ ทำหัวสมองให้โปร่งโล่ง จินตนาการถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงมาแทนที่พระอาทิตย์ดวงดังกล่าว ทำซ้ำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสงบทั้งกายและใจ จนกว่าจะรู้สึกเหมือนกำลังลอยขึ้น”
“สิ่งที่ไม่มีอยู่จริง?” ลูเมี่ยนไม่ค่อยเข้าใจ
โอลัวร์หยิบกระดาษและปากกาออกมา วางบางสิ่งอย่างรวดเร็ว
“ลองดูนี่ คิดว่าในความเป็นจริงมีอะไรที่คล้ายแบบนี้ไหม?”
บนกระดาษแผ่นดังกล่าวคือรูปวาดนามธรรม ใกล้เคียงกับลูกบอลที่มีตาและเครื่องหมายกากบาทบนใบหน้า
“แต่พี่เพิ่งวาดมันขึ้นมา… รูปนี้มีอยู่ในโลกความจริง” ลูเมี่ยนมองว่าคำอธิบายของพี่สาวฟังดูไม่เข้าที
“สิ่งที่อยู่ในภาพวาดหรือจินตนาการ ไม่ถูกนับรวมเป็นส่วนหนึ่งของโลกความจริง” โอลัวร์กลอกตามองบน
การเป็นครูให้กับน้องชาย บางครั้งก็ต้องใจเย็นเป็นพิเศษ
ลูเมี่ยน ‘อ๋อ’ ด้วยสีหน้ากระจ่าง
“งั้นฉันจะลองนึกถึงภาพที่พี่วาด”
เด็กหนุ่มดึงเก้าอี้มานั่ง พิงพนักพลางรวบรวมสมาธิ
พระอาทิตย์สีแดงสดใสก่อตัวอย่างรวดเร็วภายในจิตใจ ช่วยให้สงบนิ่งขึ้นมาหลายส่วน
ผ่านไปสักพัก เนื่องจากเด็กหนุ่มอยู่บนโลกความจริง จึงไม่ได้ยินเสียงลึกลับอันน่าพรั่นพรึงนั่น ย่อมสามารถเปลี่ยนพระอาทิตย์ที่ใช้เข้าฌาน ให้เป็นภาพวาดของพี่สาวได้อย่างราบรื่น
ลูกบอลที่มีตาและเครื่องหมายกากบาท ปรากฏขึ้นในใจลูเมี่ยนอย่างรวดเร็ว
อาศัยการจินตนาการซ้ำไปซ้ำมา กายและใจของเด็กหนุ่มเริ่มเข้าสู่ภาวะสงบนิ่ง ความคิดเริ่มล่องลอยทีละนิด
เขาเริ่ม ‘เห็น’ หมอกสีเทาอ่อนรอบตัว รวมถึงสิ่งที่ยากจะอธิบายคล้ายกับไม่มีอยู่จริง ผสมผสานเข้ากับกลุ่มสีสันฉูดฉาด และเหนือท้องฟ้าสูง หรืออาจเป็นส่วนลึกสุดของห้วงนภา ปรากฏริ้วแสงสว่างสดใส
“ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ ‘นักล่า’ จะเข้าฌานสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก” โอลัวร์คอยปลอบน้องชายอยู่ข้างๆ
ลูเมี่ยนเตรียมจะรายงานกับพี่สาวว่าตนทำได้แล้ว แต่ทันใดพลันตระหนัก ว่ามีบางสิ่งกำลังจับจ้องตนจากภายในหมอกสีเทา จากตำแหน่งสูงล้ำอันไร้ขอบเขต!
มันดูคล้ายภาพลวงตา แต่กลับทำให้เด็กหนุ่มหนาวเหน็บไปทั่วร่าง ความกลัวแผ่ซ่านอย่างไร้เหตุผล จนหลุดพ้นจากภาวะเข้าฌานทันที
…………………………………………………….