ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 51 ช่วงเวลา
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 51 ช่วงเวลา
ตอนที่ 51 ช่วงเวลา
สิ่งที่คลานออกจากปากของมิเชล·การีกู รองอธิการโบสถ์ มีลักษณะเล็กและยาว คลุมไปด้วยเกล็ดสีน้ำตาลอมเขียว ดูคล้ายกิ้งก่าที่โปร่งใสและพร่ามัว
เมื่อออกจากร่างของมิเชล นัยน์ตาแนวตั้งสีเขียวเข้มของมันพลันกลอกซ้ายขวา สำรวจรอบๆ ข้างอย่างระมัดระวังและตื่นตัว
ระหว่างนี้ มันยังหันไปมองนอกหน้าต่าง แต่ไม่เห็นเจ้ากระดาษขาว เพียงช่วยให้ลูเมี่ยนกับโอลัวร์สัมผัสถึงความเย็นชาและเฉยเมยในดวงตามัน
“ไอ้นี่คืออะไร…” ลูเมี่ยนถาม
โอลัวร์ส่ายหัว
“ไม่รู้เหมือนกัน คงเป็นวิญญาณพิเศษประเภทหนึ่ง”
ลูเมี่ยนสรุปในทันที
“แต่ต้องไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่!”
ถึงจะมองผ่านเจ้ากระดาษขาวและแผ่นกระจก แต่กิ้งก่าตัวนั้นกลับยังทำให้เด็กหนุ่มครั่นเนื้อครั่นตัวได้ เส้นขนลุกตั้งชันอย่างเงียบเชียบ
โอลัวร์หันมามอง พลางเอ่ยปากตักเตือน
“กิ้งก่าตัวนี้คงแฝงไว้ด้วยมลพิษทางจิต ถึงจะมองจากที่ไกลๆ ก็ยังรู้สึกครั่นคร้ามทั้งกายและใจ การมองนานๆ อาจทำให้เกิดปัญหาทางจิตได้ นายต้องระวังให้ดี ถ้าอาการแย่ลงให้รีบหลับตา ลองเข้าฌานและพักสักนิด ก่อนจะกลับไปมองอีกครั้ง”
“ตอนนี้ยังไหว” ลูเมี่ยนอืมในลำคอ แล้วจึงถาม “แล้วพี่ล่ะ ไม่อึดอัดบ้างหรือไง”
โอลัวร์ยิ้มและตอบ
“ในฐานะผู้ส่องความลับ สกปรกกว่านี้ฉันก็เคยเห็นมาแล้ว ความต้านทานสูงกว่านายมาก”
“แล้วอีกอย่าง ฉันก็บ้าเป็นพักๆ อยู่แล้ว… ถึงจะบ้าขึ้นอีกสักหน่อย หรือบ่อยขึ้นอีกสักหน่อย ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร”
“ประโยคหลังทำให้ฉันชักเริ่มไม่แน่ใจแล้ว” ลูเมี่ยนกล่าวติดตลกด้วยความเป็นห่วง
โอลัวร์ ‘ฮะฮะ’ ในคอ
“ในบางครั้ง ใช่ว่าฉันไม่อยากดูก็จะมองไม่เห็น ตาพิเศษของผู้ส่องความลับน่ะ ไม่สามารถปิดได้อย่างสมบูรณ์ ทำได้แค่บั่นทอนให้ไม่ส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันมากนัก”
ขณะสองพี่น้องพูดคุยกัน สิ่งมีชีวิตคลายกิ้งก่าพร่ามัว คลานไปตามผนังสลับกับพื้น พริบตาเดียวก็ถึงชั้นล่างของตัวบ้าน
บนชั้นหนึ่ง บนผนังฝั่งตรงข้ามกับประตู มีกะโหลกสัตว์หลายชิ้นแขวนอยู่ ไล่จากหมาป่า กวาง และหมูป่า — รองอธิการโบสถ์มิเชล·การีกูไม่ใช่ชาวกอร์ตู อันที่จริงควรจะพักอยู่ในโบสถ์ แต่ถูกกิโยม·เบเนต์บ่ายเบี่ยงหาข้ออ้างสารพัด จนต้องจำใจเช่าบ้านอยู่กับนายพรานซาบาไท
‘กิ้งก่า’ มุดเข้าไปในกะโหลกของหมาป่า แล้วคลานเข้าคลานออกจากเบ้าตา
ไม่นานมันก็ย้ายไปทำแบบเดิมกับกะโหลกหมูป่า
เมื่อออกจากกะโหลกสีเทาอมขาวของกวาง ‘กิ้งก่า’ คลานออกนอกบ้านด้วยความเร็วที่มากกว่าม้าหลายเท่า เจ้ากระดาษขาวลอยในอากาศตามไปอย่างเงียบงันท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน
กิ้งก่าคลานออกนอกหมู่บ้านจนสุดทาง ไม่นานก็ถึงลานจัตุรัส
มันอ้อมรอบโบสถ์จนถึงสุสาน แล้วมุดลงไปในหลุมศพของใครสักคน
สิบวินาทีถัดมา มันมุดออกจากหลุมศพเดิม ย้ายเข้าไปในหลุมศพใหม่ที่มีป้ายหิน
มันยังทำเช่นนี้อีกหลายครั้ง สิ่งมีชีวิตคล้ายกิ้งก่าประหลาด คลานไปมาทั่วสุสาน ลูเมี่ยนพอจะเดาได้ว่ามันมุดเข้ามุดออกเบ้าตาของกะโหลกมนุษย์ในโลงศพ
ฉากดังกล่าวทำเอาเด็กหนุ่มขนลุกขนพอง จนอดไม่ได้ที่จะถาม
“มันกำลังทำอะไร?”
ไม่เข้าใจเลยสักนิด!
โอลัวร์ส่ายหัวช้าๆ
“สิ่งนี้อยู่นอกเหนือความรู้ของฉัน”
หลังจาก ‘เดินเล่น’ ในสุสานเสร็จ สิ่งมีชีวิตโปร่งใสคล้ายกิ้งก่าย้อนกลับมาที่บ้านด้วยทางเก่า กลับเข้าห้องนอนของรองอธิการโบสถ์มิเชล·การีกู
เคลื่อนไหวเพียงสองจังหวะ มันมุดกลับเข้าไปในปากของมิเชลอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย
ราวๆ ยี่สิบถึงสามสิบวินาทีถัดมา มิเชล·การีกูเลิกเปลือกตา ลุกขึ้นนั่ง ดื่มน้ำจากแก้วบนโต๊ะข้างเตียงอย่างหิวกระหาย
หลังจากวางแก้วลงแล้วเช็ดปาก เขาทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง
โอลัวร์เอียงคอ มองไปทางลูเมี่ยนแล้วพูด
“คิดว่ายังไงบ้าง? ดูมีปัญหาอย่างที่บอกเลยใช่ไหม”
“ไม่ใช่ปัญหาธรรมดา แต่เป็นปัญหาบิ๊กเบิ้ม!” ลูเมี่ยนไม่เก็บซ่อนอารมณ์ต่อหน้าพี่สาว “ปิแยร์·แบรีเลี้ยงแกะที่เป็นมนุษย์… หลวงพ่ออธิการโบสถ์ที่เป็นกุญแจสำคัญของวัฏจักร… คุณนายปัวริสที่ทำให้ผู้ชายคลอดลูก… นาโรคาที่เดินทางไปยังโลกอีกฝั่ง… นกฮูกที่อยู่มานานแค่ไหนไม่มีใครทราบ… แล้วยังจะมีรองอธิการโบสถ์ที่คายกิ้งก่าออกจากปากอีก… หมู่บ้านกอร์ตูมียอดมนุษย์เยอะไปหน่อยไหม?”
ในวัฏจักรก่อนหน้า เด็กหนุ่มเคยบ่นเกี่ยวกับสามเจ้าหน้าที่สืบสวนอย่างไรอัน ลีอา วาเลนไทน์ ว่าไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ตอนนี้พอมาลองคิดดู มันถูกต้องแล้วหรือที่จะไปโทษพวกเขา? ผิดที่หมู่บ้านกอร์ตูพิสดารเกินไปต่างหาก!
พวกเขาอาจจะลงมือทำแล้ว แต่ผลลัพธ์คงไม่ดีนัก
โอลัวร์เหล่มองน้องชาย พูดกึ่งเตือนใจกึ่งขำขัน
“นายลืมเอ่ยถึงยอดมนุษย์อันดับหนึ่งของหมู่บ้านไปนะ”
“คนเดียวในหมู่บ้านที่สามารถรักษาความทรงจำข้ามวัฏจักร แถมยังฝันถึงซากปรักหักพังลึกลับ”
“…” ลูเมี่ยนเงียบไปชั่วขณะ ศีรษะเริ่มวิงเวียน
โอลัวร์หันหน้าเข้าหากระจกบนโต๊ะ ใคร่ครวญอยู่สักพักแล้วจึงพูด
“เรื่องแปลกๆ ของรองอธิการโบสถ์คงไม่มีอะไรต่อแล้ว… ใจจริงฉันอยากเห็นกายดาราของเขาให้ชัดๆ กว่านี้ แต่นั่นคงอันตรายน่าดู”
“ฉันน่ะไม่กลัวอะไรหรอก พอถึงวัฏจักรถัดไปก็กลับไปเป็นจอมเวทที่มีชีวิตตามเดิม แต่ตอนนี้เรายังมีข้อมูลน้อยเกินไป ควรสืบให้มากกว่านี้ก่อนค่อยลงมือสอดแนมต่อ เพื่อป้องกันมิให้วัฏจักรเริ่มใหม่ก่อนเวลาอันควร จนต้องเสียเวลาไปกับการอธิบายซ้ำซาก”
ลูเมี่ยนไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะในใจก็คิดแบบเดียวกัน
โอลัวร์จึงกล่าว
“ถัดไป ฉันจะส่งเจ้ากระดาษขาวไปสอดแนมหลวงพ่อ”
“…” ลูเมี่ยนอึ้งไปชั่วขณะ “ไหนพี่บอกว่าจะพักเรื่องสอดแนมไว้ก่อน? ไหนบอกว่าไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น?”
หลวงพ่อเป็นกุญแจสำคัญที่สุดในบรรดากุญแจ เป็นสุดยอดปริศนาในหมู่ปริศนา แล้วจะเข้าไปสอดแนมทั้งอย่างนี้?
โอลัวร์อมยิ้มขณะเหล่มองน้องชาย
“ก็เพราะมั่นใจว่าไม่มีปัญหาไง ฉันเลยกล้าทำ”
เมื่อเห็นลูเมี่ยนสับสนปนกังวล หญิงสาวลงลึกรายละเอียด
“นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือไง เมื่อวันที่ 1 เมษายนในรอบก่อนๆ นายได้ยินหลวงพ่อแอบคุยกับปงส์·เบเนต์ ตอนนั้นหลวงพ่อบอกว่าตัวเองยังเป็นแค่คนธรรมดา แต่ถ้าผู้วิเศษอย่างฉันไปหาเรื่อง เขาก็มีวิธีรับมือ”
“คำนึงจากสถานการณ์ตอนนั้น เขาไม่มีเหตุผลให้ต้องโกหกคนธรรมดาอย่างนาย ตรงกันข้าม ยิ่งพูดจะยิ่งน่าสงสัยกว่าเดิม… ฉันจึงค่อนข้างเชื่อว่าก่อนวันที่ 1 เมษายน หลวงพ่อยังเป็นแค่คนธรรมดาจริงๆ … ในเมื่อวันนี้คือ 29 มีนาคม แถมยังไม่ก้าวเข้าสู่วันใหม่ เขาจึงปลอดภัยที่จะสอดแนม”
“ก็จริงนะ…” ลูเมี่ยนรู้สึกโล่งใจ
โอลัวร์กล่าวต่อ
“วิเคราะห์จากบทสนทนาของหลวงพ่อกับปงส์·เบเนต์ ในวันที่ 1 เมษายน เขาอาจจะมีวิธีได้รับพลังวิเศษในพริบตา หากเห็นท่าไม่ดีก็พร้อมกลายเป็นผู้วิเศษได้ทุกเมื่อ แต่แน่นอน มันอาจหมายถึงลูกไม้อื่นๆ ที่เขาเชื่อว่าสามารถจัดการกับฉันได้”
“ผนวกกับพลังที่หลวงพ่อใช้ในพิธีฉลองของวันมหาพรต มันดูไม่เหมือนกับลำดับ 9 ของเส้นทางใดเลย ฉันสงสัยว่าเขาอาจเดินบนเส้นทางอื่นนอกเส้นทางหลัก เป็นหนึ่งในเส้นทางที่มาดามลึกลับคนนั้นกล่าวถึง…อาจทำได้โดยการสวดวิงวอนถึงการดำรงอยู่ซ่อนเร้นบางพระองค์ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางแข็งแกร่งขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน แถมยังไม่มีสัญญาณของภาวะคลุ้มคลั่งอีกด้วย”
ลูเมี่ยนฟังอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นก็นึกถึงบางสิ่ง
“ในเช้าวันมหาพรตของวัฏจักรเดียวกัน ฉันที่เพิ่งกลายเป็นนักล่าบังเอิญเดินสวนกับปงส์·เบเนต์บนถนน ทีแรกนึกครึ้มอยากจะสั่งสอนมันเพื่อทำความเคยชินกับพลังไปในตัว แต่พอเอาเข้าจริง ยังกับมันสัมผัสได้ว่าฉันเป็นผู้วิเศษแล้ว รีบเผ่นหางจุกก้นโดยไม่เหลียวหลัง”
“ไม่แน่ว่ามันอาจได้รับพรบางอย่าง… พรที่ช่วยให้ได้กลิ่นของอันตราย…”
ระหว่างพูด ลูเมี่ยนเพิ่มประเด็นสำคัญไปอีกเรื่อง
“ราวๆ วันที่ 3 เมษายน ระหว่างพิธีศพของนาโรคา ฉันแอบดูอยู่ไกลๆ และเห็นปงส์·เบเนต์เข้าไปในบ้านของเธอ”
“ถ้าตอนนั้นปงส์·เบเนต์ได้รับพรแล้ว ด้วยความอ่อนไหวที่แสดงให้เห็นในเช้าวันมหาพรต คงเป็นไปไม่ได้ที่หมอนั่นจะไม่สังเกตเห็นการสอดแนมจากคนธรรมดา”
โอลัวร์พยักหน้า
“หรือก็คือ หลวงพ่อกับลิ่วล้อน่าจะกลายเป็นผู้วิเศษภายในระยะเวลาสองวัน ระหว่างพิธีศพนาโรคากับวันมหาพรต”
ตั้งแต่บ่ายวันที่ 3 เมษายน ไปจนถึงเช้าวันที่ 5 เมษายน
“แน่นอน อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ที่ว่า พวกเขาอาจได้รับพรในเวลาต่างกัน” โอลัวร์เสริม
ถกเถียงกันเสร็จ เมื่อสิ่งต่างๆ เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ลูเมี่ยนตบหัวตัวเองหนึ่งฉาดพร้อมกับร้อง ‘ฮึ่ย’
“เกิดอะไรขึ้น?” โอลัวร์ถามด้วยแววตาสงสัย
ลูเมี่ยนชื่นชมพี่สาวจากก้นบึ้งความคิด
“ฉันน่าจะเล่าให้พี่ฟังตั้งนานแล้ว… พี่วิเคราะห์เก่งกว่าฉันตั้งเยอะ!”
โอลัวร์หัวเราะ
“นายเนี่ยนะ หาเรื่องมาชมฉันได้อยู่เรื่อย ที่จริงก็แค่นายยังขาดประสบการณ์ ขาดความรู้ ทำให้ยังปะติดปะต่อได้ช้า แต่ยิ่งเวลาผ่านไป นายจะยิ่งชำนาญเรื่องพวกนี้มากขึ้นเอง”
แม้จะพูดทำนองลดคุณค่าคำชมของน้องชาย แต่สีหน้าแววตาของหญิงสาวดูพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจาก ‘รับ’ ความคิดของโอลัวร์ เจ้ากระดาษขาวบินตรงไปที่บ้านตระกูลเบเนต์
ทั่วทั้งหมู่บ้านกอร์ตู นอกจากโบสถ์กับจวนเจ้าหน้าที่ปกครองที่ดัดแปลงจากปราสาทแล้ว บ้านตระกูลเบเนต์นับว่าสูงที่สุด หรูหราที่สุด
บ้านสามชั้นสีเทาอมน้ำเงิน ปล่องควันตั้งตระหง่านอยู่เหนือหลังคา
ในฐานะเจ้าบ้านเบเนต์ กิโยม·เบเนต์อาศัยอยู่ในห้องฝั่งตะวันออกของชั้นบนสุด ยามนี้ผ้าม่านสีเทาเข้มปิดสนิท คล้ายกับเจ้าของห้องหลับไปแล้ว
แต่ก็มิใช่ปัญหาสำหรับเจ้ากระดาษขาว มันสามารถทะลุกำแพง แล้วหลอมรวมเข้ากับความมืดมิดตรงมุมหนึ่ง
ภายในห้อง กิโยม·เบเนต์กลับถึงบ้านได้สักพักแล้วทันทีที่เสร็จกามกิจกับคุณนายปัวริส ตอนนี้อยู่ในชุดนอนผ้าไหมสีฟ้าอ่อน นั่งเงียบบนเก้าอี้เอนหลัง ดวงตามองผ้าม่านด้วยท่าทีเหม่อลอย
นัยน์ตาของโอลัวร์มืดลงอีกครั้ง เผยให้เห็นสภาพปัจจุบันของกิโยม·เบเนต์
ลูเมี่ยนพลันวิงเวียนศีรษะเมื่อเห็นสีแดง สีเขียว สีม่วง และสีฟ้า
นึกถึงความรู้ที่พี่สาวเคยสอน เด็กหนุ่มพยายามแยกแยะ จนพบว่าหลวงพ่อยังมีกามราคะล้นเหลือ ร่างกายค่อนไปทางแข็งแรง
“เขากำลังเหม่อคิดอะไรอยู่? พรุ่งนี้จะเล่นชู้กับเมียใครดี?” แม้หลวงพ่อจะไม่ได้ยิน ลูเมี่ยนก็อดจิกกัดไม่ได้
ทันใดนั้น กิโยม·เบเนต์ลุกขึ้นยืน ต่อยใส่อากาศตรงหน้าตัวเอง แล้วตะคอกด้วยความเดือดดาล
“ทั้งหมดเป็นความผิดของแก!”
…………………………………………………….