ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 52 ลึกเข้าไปในซากปรักหักพัง
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 52 ลึกเข้าไปในซากปรักหักพัง
ตอนที่ 52 ลึกเข้าไปในซากปรักหักพัง
“ทั้งหมดเป็นเพราะแก!”
“ทั้งหมดเป็นเพราะแก!”
“บัดซบ!”
“ไอ้ลูกโสเภณี!”
กิโยม·เบเนต์ชกอากาศไม่หยุดหย่อน ราวกับตรงหน้ามีสิ่งมีชีวิตล่องหนยืนอยู่
สีหน้าแววตาท่วมท้นไปด้วยความเกลียดชัง อารมณ์ภายในถูกปลดปล่อยอย่างไม่มีการเก็บซ่อน
โอลัวร์เปลี่ยนสีนัยน์ตาให้มืดลึกยิ่งขึ้น สั่งเจ้ากระดาษขาวมองไปยังความว่างเปล่าในจุดที่หลวงพ่อชกใส่
แต่ตรงนั้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ยากจะอธิบาย ไม่มีการดำรงอยู่อันโปร่งใสหรือมายา มีเพียงอากาศ ปราศจากอื่นใด
“คงเป็นความเกลียดชังที่สั่งสมมานานแล้ว แต่ไม่กล้าแสดงออกต่อหน้า” ลูเมี่ยนจิ๊ปากอยู่ด้านข้าง “ว่าแต่… มันกำลังโทษใครอยู่?”
โอลัวร์ส่ายหัว ตอบกลับผ่านๆ
“อาจเป็นบิชอปที่คอยกดเขาไว้ ขัดขวางไม่ให้เขาเลื่อนสมณศักดิ์จนพลาดสิทธิ์การดื่มโอสถ หรืออาจเป็นบุคคลที่ล่อลวงให้เขาเปลี่ยนศรัทธาไปยังการดำรงอยู่ซ่อนเร้น โดยหวังว่าจะได้รับพรและความแข็งแกร่ง…”
ตามความคิดของหญิงสาว หลวงพ่ออธิการโบสถ์ผู้เป็น ‘สงฆ์รองพิธีกรรม’ แห่งศาสนจักรสุริยันเจิดจรัส ผู้เป็นใหญ่ในโบสถ์ย่านชนบท ไม่มีอำนาจหรือปัญญาเพียงพอที่จะสานสัมพันธ์กับการดำรงอยู่ซ่อนเร้นด้วยตัวเอง
หากเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายที่เกี่ยวข้องกับพลังวิเศษ เขาทำได้แค่ขอความช่วยเหลือจากมุขมณฑลดาลีแอช ด้านสมบัติวิเศษกับบันทึกเวทมนตร์ต่างๆ ก็ต้องคอยส่งไปเก็บรักษาหรือปิดผนึกที่มุขมณฑล ไม่มีทางถูกเก็บไว้ที่หมู่บ้านกอร์ตู เหนือสิ่งอื่นใด อย่างเก่งกิโยม·เบเนต์ก็คงชำนาญเพียงภาษาฟุซัคโบราณ ส่วนภาษาเฮอร์มิส เอลฟ์ และภาษาอื่นๆ ที่สามารถระดมพลังเหนือธรรมชาติ มิใช่สิ่งที่สงฆ์รองพิธีกรรมจะเข้าถึงได้เลย นอกจากนั้น โอลัวร์เคยยันยืนผ่านเนตรส่องความลับแล้วว่า กิโยม·เบเนต์มิได้เกิดมาพร้อมกับพลังวิญญาณอันสูงส่ง จนบังเอิญไปดึงดูดให้สิ่งชั่วร้ายเป็นฝ่ายเข้าหา
ดังนั้น หากปราศจาก ‘คำแนะนำ’ จากใครบางคน หลวงพ่ออธิการโบสถ์จะติดต่อกับการดำรงอยู่ซ่อนเร้นด้วยช่องทางใด?
แน่นอน โอลัวร์ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ว่า กิโยม·เบเนต์อาจได้รับวัตถุพิศวงมาสักชิ้นแต่ไม่ยอมส่งให้เบื้องบน
ได้ยินคำพูดพี่สาว ลูเมี่ยนหัวเราะ
“หลวงพ่ออาจจะด่า ‘การดำรงอยู่ซ่อนเร้น’ อยู่ก็ได้…”
“กระทั่งนักบุญซิธ มันก็เคยล่วงเกินมาแล้ว ย่อมไม่แปลกถ้าจะด่าทอการดำรงอยู่ซ่อนเร้นที่ล่อลวงตน”
หลังจากเย้ยหยันกิโยม·เบเนต์ ลูเมี่ยนหันมาตั้งใจวิเคราะห์
“คำถามก็คือ ทำไมอยู่ดีๆ หลวงพ่อถึงตกหลุมพรางการล่อลวง… เท่าที่นึกออก ตอนนี้มีผู้ต้องสงสัยสองคน อา… คนแรกคือคุณนายปัวริส เห็นได้ชัดว่าเธอแข็งแกร่งมาก ทั้งเรื่องที่ลูอิส·ลุนด์คลอดลูกในปราสาท หรือเรื่องสตรีที่มีใบหน้าคล้ายเธอ รายล้อมไปด้วยฝูงวิญญาณบนทุ่งรกร้าง… ดูยังไงคุณนายปัวริสก็ไม่ธรรมดาแน่ ต้องเกี่ยวข้องกับเส้นทางพิสดารหรือการดำรงอยู่ซ่อนเร้นสักอย่าง ในฐานะคู่นอนคนหนึ่งของคุณนายปัวริส หลวงพ่อจะถูกล่อลวงก็ไม่แปลกเลย…”
“จริงสิ…”
ลูเมี่ยนตบหัวตัวเองหนึ่งฉาด
“เกิดอะไรขึ้น?” โอลัวร์เดาไม่ออกว่าน้องชายกระจ่างแจ้งในเรื่องใด
ลูเมี่ยนตอบด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“พี่คิดว่า… หลวงพ่อเคยคลอดลูกให้คุณนายปัวริสไหม?”
“…” โอลัวร์พลันเสียใจ เสียใจที่คิดว่าน้องชายค้นพบอะไรดีๆ
หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ใครบอกนายว่าลูอิส·ลุนด์คลอดลูกของคุณนายปัวริส?”
“อาจเป็นลูกของเจ้าหน้าที่ปกครองบีโอสก็ได้? อาจเป็นลูกของการดำรงอยู่ซ่อนเร้นก็ได้? ไม่สิ… ถ้าเป็นอย่างหลัง ร่างของนายต้องระเบิดกลายเป็นปีศาจไปแล้ว”
“ฉันก็แค่คิดว่า ทุกครั้งที่คุณนายปัวริสอยู่กับเจ้าหน้าที่ปกครอง เธอดูน่าเกรงขามกว่าสามีมาก” ก่อนจะเริ่มวัฏจักร ลูเมี่ยนรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ปกครองบีโอสค่อนข้างไร้พลัง สอนงานคนก็ไม่เก่ง เจียมเนื้อเจียมตัวต่อหน้าภรรยา พยายามพินอบพิเทาเอาใจทุกครั้งที่สบโอกาส
เดิมที ลูเมี่ยนเข้าใจว่าสุภาพบุรุษรายนี้รักภรรยามาก แต่ตอนนี้มีข้อสงสัยใหม่
“พี่กำลังจะบอกว่า เจ้าหน้าที่ปกครองคือเครื่องผลิตลูกของคุณนายปัวริส?”
“ก็ไม่แน่” โอลัวร์จับหน้าผาก “โลกแห่งศาสตร์เร้นลับช่วยเปิดโลกฉันมากทีเดียว หลายสิ่งที่เคยคิดว่ามีแค่ในนิยายกับจินตนาการ ต่างก็เกิดขึ้นแล้วบนโลกความจริง… ในลักษณะที่บิดเบี้ยวบัดซบ…”
ถอนหายใจเสร็จ หญิงสาวกล่าวกับตัวเอง
“ในปราสาทหลังนั้นคงไม่ได้มีเด็กเกิดมาแค่คนสองคนแน่… ที่เหลือไปไหนหมดนะ…”
ลูเมี่ยนครุ่นคิดอยู่สักพัก แต่นึกเท่าไรก็เจอแต่ทางตัน
เด็กหนุ่มไม่กล้าแนะนำให้เข้าไปสอดแนมในปราสาทเพื่อค้นหาโดยละเอียด เพราะหลังจากที่เห็นเหตุการณ์ลูอิส·ลุนด์คลอดลูก รวมถึงเหตุการณ์ในทุ่งรกร้าง จิตใต้สำนึกเริ่มสั่งให้เขาถอยห่างจากคุณนายปัวริส
โอลัวร์ก็เช่นกัน สองพี่น้องต่างหวาดกลัวคุณนายปัวริสจากก้นบึ้งหัวใจ
หลวงพ่อระบายโทสะได้สักพักก็เดินไปที่โต๊ะในห้อง รินไวน์แดงใส่แก้วนิดหน่อยแล้วกระดกดื่ม
มันหายใจออกคำใหญ่ วางแก้วไวน์ลง เดินกลับไปที่เตียง
จนกระทั่งลมหายใจของหลวงพ่อเริ่มผ่อนคลาย คล้ายกับหลับสนิท ลูเมี่ยนจึงหัวเราะแดกดัน
“หลับตั้งแต่หัวค่ำเลย?”
“นึกว่าจะออกไปหาชู้อีกสักรอบ หืม… ตอนอยู่คนเดียวก็ไม่ได้สูบบุหรี่สินะ”
นี่คือข้อสรุปหลังจากไม่พบกล่องบุหรี่หรือกล้องยาสูบในห้องนอน
“ไวน์น่ะแค่จิบๆ ก็พอแล้ว ใครๆ เขาก็ทำกัน” โอลัวร์หัวเราะ ‘ฮะฮะ’ อยู่ในคอ
หญิงสาวสั่งให้เจ้ากระดาษขาวเฝ้าต่ออีกสักพัก จนกระทั่งไม่พบความคืบหน้าจึงเรียกกลับ แล้วหันไปพูดกับลูเมี่ยน
“นายเพิ่งพูดชื่อผู้ต้องสงสัยมาคนเดียว แล้วอีกคนล่ะ?”
“นกฮูกเจ้าเล่ห์ที่เอาแต่แอบมองตัวนั้นไงล่ะ!” ลูเมี่ยนเล่าสมมติฐานของตน “อาจเป็นมันก็ได้ ที่พาหลวงพ่อไปพบกับมรดกของจอมเวทในตำนาน”
“หืม…” โอลัวร์พบว่าประเด็นนี้พอจะฟังขึ้น
ลูเมี่ยนจึงกล่าวต่อ
“ถ้านกฮูกตัวนั้นมามองฉันอีก คราวหน้าต้องจับมาสอบปากคำให้ได้”
“นกฮูกที่ไม่รู้ว่าอยู่มากี่ปี นายเอาอะไรมามั่นใจว่าจะชนะมัน?” โอลัวร์ตอบพลางหัวเราะ
“พี่ก็อยู่ด้วยนี่ไง!” ลูเมี่ยนฝากความหวังไว้กับพี่สาว
โอลัวร์ ‘หึ’ ออกมาหนึ่งคำ
“ต่อให้เราร่วมมือ โอกาสชนะก็ไม่เยอะนักหรอก”
“หืม… แต่จะลองดูก็ได้ ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยก็จะไม่พบอะไรเลย ไม่ต่างกับการผลาญเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ อา… แต่สิ่งสำคัญก็คือ ต้องไม่ให้กระทบกับการมาถึงของคืนที่สิบสอง”
ลูเมี่ยนผงกหัวหนักแน่น
เมื่อเห็นน้องชายดูอ่อนเพลีย ใบหน้าซีดเซียว โอลัวร์ยื่นมือออกไปรับเจ้ากระดาษขาวที่บินกลับ พลางแนะนำ
“วันนี้นายฝึกเปิดเนตรวิญญาณหลายรอบแล้ว ไปนอนพักผ่อนก่อนเถอะ ถนอมพลังวิญญาณเอาไว้ พรุ่งนี้ค่อยลงมือต่อ”
หญิงสาวครุ่นคิดสักพักแล้วจึงเสริม
“พรุ่งนี้ตอนเช้า ฉันจะสอนภาษาเฮอร์มิสกับนาย มันเป็นภาษาที่ค่อนข้างง่ายในบรรดาภาษาเหนือธรรมชาติ ส่วนช่วงบ่าย นายไปหาปิแยร์·แบรี หลอกล่อให้เขาเลี้ยงเหล้า ทางฉันจะแอบไปที่คอกแกะของเขา พูดคุยกับแกะสามตัว ดูว่าจะได้เรื่องได้ราวอะไรบ้าง”
เธอเชื่อว่านี่คือแนวทางการสืบสวนที่ง่ายที่สุด ณ ตอนนี้
“พี่จะอันตรายไหม…” ลูเมี่ยนถามพลางลุกขึ้นยืน
โอลัวร์ยิ้ม พร้อมกับปลอบน้องชาย
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้ไปสู้ ไม่ได้ไปฆ่าใคร และไม่คิดจะช่วยให้พวกเขากลับร่างมนุษย์ในทันทีด้วย แค่นี้คงไม่ไปกระตุ้นอะไรหรอก ฉันจะสื่อสารกับพวกเขาด้วยภาษาที่ราบสูง บางทีอาจจะได้ข้อมูลกลับมา”
ลูเมี่ยนผงกหัว
“พรุ่งนี้ตอนบ่าย ตอนที่แวะร้านเหล้าคร่ำครึ ฉันว่าจะ ‘ตีซี้’ กับพวกคนต่างถิ่นนั่น พวกเขาน่าจะเป็นผู้ช่วยที่ไว้ใจได้”
แน่นอน ข้อแม้คือการที่สองพี่น้องยังไม่ ‘ความแตก’ เรื่องที่เป็นผู้วิเศษ
“ตกลง” โอลัวร์เห็นด้วยกับแผนของน้องชาย
…
ท่ามกลางหมอกสีเทาจางๆ ลูเมี่ยนตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนในความฝัน
เด็กหนุ่มไม่แปลกใจเมื่อพบว่าเหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง รวมถึงขวาน ส้อมเหล็ก และสิ่งของอื่นๆ รอบตัวหายไปทั้งหมด
ดินแดนซากปรักหักพังในความฝันก็ถูกย้อนกลับไปใหม่เช่นกัน
ต้องไปเก็บใหม่อีก…ลูเมี่ยนรำพันขณะออกจากห้องนอน เพื่อเข้าไปในห้องอ่านหนังสือ
เด็กหนุ่มหยิบหนังสือเล็กปกฟ้าบนโต๊ะขึ้นมา พลิกหน้าผ่านๆ และพบว่ามีคำถูกตัดไปบางส่วน
“อย่างที่คิด มันคือจดหมายขอความช่วยเหลือที่เราเป็นคนส่งเอง…” ลูเมี่ยนไม่ลังเลกับเรื่องนี้อีกต่อไป
นอกจากนั้น เขายังสงสัยด้วยว่าตน ‘ส่ง’ ภายใต้คำแนะนำของโอลัวร์ หากไม่แล้ว ในวัฏจักรที่ยังโง่เขลาศาสตร์เร้นลับ เด็กหนุ่มต้องเลือกฝากคนไปส่ง หรือไม่ก็รอให้บุรุษไปรษณีย์มาถึงหมู่บ้านแน่นอน
เมื่อนึกถึงบุรุษไปรษณีย์ ลูเมี่ยนนึกขึ้นได้ว่าคนที่คอยแวะมาทุกสัปดาห์ ไม่ได้ปรากฏตัวในวัฏจักร
ไตร่ตรองอยู่สักพัก เด็กหนุ่มเริ่มเข้าใจว่านั่นมิใช่ความผิดปกติ เพราะหลังจากได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือ และยืนยันได้ว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดกับหมู่บ้านกอร์ตู ทางการต้องหา ‘ข้ออ้าง’ บางอย่างเพื่อขัดขวางมิให้คนธรรมดาเข้าสู่หมู่บ้านกอร์ตู
ลูเมี่ยนเดินค้นไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีกล่องใส่จดหมายหายไปบ้างหรือไม่ แต่ก็ลืมแล้วว่าโอลัวร์มีของแบบเดียวกันอยู่กี่ชิ้น จึงล้มเลิกความตั้งใจ
แต่ก็ไม่กระทบกับแผนเดิม ลูเมี่ยนเพิ่มเสื้อผ้าและกางเกงให้หนา พกขวานเหล็กดำเดินออกจากบ้าน เข้าสู่ทุ่งร้างที่เต็มไปด้วยรอยแตก เดินไปทางซากปรักหักพังรอบๆ ‘ภูเขา’ สีแดงเข้ม
อาศัยประสบการณ์เก่า เด็กหนุ่มเอาชนะสัตว์ประหลาดสองตัวที่คุ้นเคยได้ไม่ยากเย็น เก็บปืนล่าสัตว์ขึ้นมาสะพาย ห้อยถุงใส่ลูกตะกั่ว และยัดเหรียญเก็บเข้าช่องกระเป๋าต่างๆ
ลูเมี่ยนแอบย่องเงียบด้วยความระแวดระวัง จงใจไม่เลือกเส้นทางเก่า แต่เปลี่ยนทิศและเดินสำรวจเข้าไปให้ลึกกว่าเดิม — เขาตระหนักว่าตัวเองยังต่อกรกับสัตว์ประหลาดสามหน้าไม่ไหว
ท่ามกลางสายหมอกสีเทาอ่อน เมื่อผ่านซากอาคารหลังหนึ่ง เขาสูดลมหายใจยาวพลางรวบรวมสติ
เด็กหนุ่มได้กลิ่นเลือดจางๆ
ครุ่นคิดเพียงหนึ่งอึดใจ ลูเมี่ยนเริ่มลัดเลาะไปตามเงามืด จนมาถึงตำแหน่งที่ได้กลิ่นเลือด
ผ่านไปสักพัก เด็กหนุ่มซ่อนตัวบนมุมอับหลังคาซากบ้านที่พังไปกว่าครึ่ง มองผ่านช่องว่างกว้างๆ ระหว่างก้อนหิน ปลายสายตาคือที่ใดสักแห่งตรงหน้า
บนดินแดนร้างอันไร้วัชพืช ระหว่างทิวแถวซากอาคารที่พังเละเทะหลายหลัง ‘ก้อนเนื้อ’ กำลังคืบคลาน
ก้อนเลือดเนื้อผสมผสานกับไขมันสีเหลือง ดูคล้ายสิ่งมีชีวิตที่ถูกก้อนหินใหญ่หล่นทับจนบี้แบน
แต่มันยังมีชีวิต และกำลังคลานต้วมเตี้ยมไปยังอาคารหลังหนึ่ง
“ต้องจัดการสัตว์ประหลาดแบบนี้ยังไง… ตัดหัว? แต่มันไม่มีหัว…” ลูเมี่ยนดำดิ่งอยู่ในห้วงความคิด
ทันใดนั้น ‘เชือกเส้นหนาๆ’ สีออกเข้มและดูยืดหยุ่น ซึ่งปกคลุมไปด้วยเนื้อเยื่อ โผล่พรวดออกจากที่ใดสักแห่ง รัดพันก้อนเนื้อดังกล่าวในพริบตา
…………………………………………………….