ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 56 สัญชาตญาณ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 56 สัญชาตญาณ
ตอนที่ 56 สัญชาตญาณ
ยิ่งโอลัวร์คิดก็ยิ่งพบกับความไม่ชอบมาพากล
ต่อหน้าคนเลี้ยงแกะ ปิแยร์·แบรีผู้เก่งกาจ หลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ในปัจจุบันที่ไร้พลังวิเศษ จะใช้สิ่งใดมาทำให้อีกฝ่ายยอมจำนน?
หากหลวงพ่อคือ ‘คนโปรด’ ของการดำรงอยู่ซ่อนเร้น จนกลุ่มก๊วนนี้ยอมรับให้มันเป็นผู้นำ เช่นนั้นก็ควรได้ครอบครองพลังวิเศษนานแล้ว ไม่น่าจะติดอยู่แค่สถานะของคนธรรมดา!
หรือถ้าอีกฝ่ายให้พรแล้ว แต่หลวงพ่อประวิงเวลา ในไม่ช้าก็ต้องถูกบีบออกจากกลุ่ม
ในสถานการณ์เช่นนี้ สถานะทางสังคม อำนาจ กลยุทธ์และแผนการ ไม่อาจแทนที่ความแข็งแกร่งหรือความสนิทชิดเชื้อกับทวยเทพได้!
เนื่องจากไม่มีเวลาให้คิดเยอะ โอลัวร์กลั่นกรองออกมาได้เพียงสองเหตุผล
ข้อแรก ในกลุ่มก๊วนเล็กๆ นั่น กิโยม·เบเนต์มิใช่ผู้นำตัวจริง เพียงถูกใช้ประโยชน์จากสถานะทางสังคม เพื่อจัดการประชุมลับๆ และปกปิดความผิดปกติจากศาสนจักรสุริยันเจิดจรัสเขตดาลีแอช โดยที่ผู้นำตัวจริงคือคนอื่น!
ข้อสอง มิใช่ว่ากิโยม·เบเนต์ไม่ยอมรับพร แต่กำลังรอคอยโอกาส
โอกาสในการไขว่คว้ารับพลังที่สูงส่งยิ่งกว่าเดิม
ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด ก็ล้วนฟังดูแย่ทั้งคู่
โอลัวร์มองแกะสามตัว ไถ่ถามเพิ่มเติม
“ใครคือผู้สมรู้ร่วมคิดของปิแยร์·แบรี?”
แกะทั้งสามตัวต่างเขียนคำตอบของตัวเอง
“นียอร์·บาสต์”
“คนเลี้ยงแกะที่ชื่อนียอร์”
“นียอร์”
นียอร์·บาสต์ก็มีพลังเหมือนกันหรือ…โอลัวร์รู้จักชายคนนี้
มันก็เป็นคนเลี้ยงแกะของหมู่บ้านกอร์ตู มักเลี้ยงร่วมกับปิแยร์·แบรี แต่ไม่ได้กลับหมู่บ้านมาก่อนเหมือนอีกฝ่าย
“นียอร์อยู่ที่ไหน? ทำไมไม่เห็นในหมู่บ้าน…” โอลัวร์ถามต่อ
แกะสามตัวผละจากจุดเดิมที่เต็มไปด้วยข้อความ มองหาดินเรียบๆ เพื่อเขียนเพิ่ม
“เขาตายแล้ว”
“ถูกฉันฆ่า”
“เราฆ่าเขา แต่สุดท้ายก็ถูกจับได้”
ตายเพราะเหยื่อสู้กลับ? โอลัวร์พยักหน้าครุ่นคิด
“พวกคุณก็เป็นผู้วิเศษสินะ?”
แกะทั้งสามมิได้ใช้กีบเขียนเป็นภาษาถิ่นที่ราบสูง เพียงพยักหน้ารับ
โอลัวร์ ‘อืม’ เสียงเบา ในหัวเร่งประมวลผล
ปิแยร์·แบรีกับนียอร์·บาสต์ล่าผู้วิเศษ? เป้าหมายคืออะไรกันแน่…
แถมยังตายไปแล้วหนึ่งคน…
อาจเป็นไปได้ว่านียอร์ไม่แข็งแกร่งเท่าปิแยร์ หรือไม่ก็เป็นพลังผ่านการประทานพร ยังควบคุมไม่ชำนาญ จึงเกิดปัญหาขึ้นในศึกระหว่างผู้วิเศษ
โอลัวร์มองแกะสามตัวอีกครั้งพร้อมกับถาม
“พอจะรู้ไหมว่าปิแยร์·แบรีจับพวกคุณไปทำอะไร”
แกะทั้งสามเริ่มเขียนคำตอบของตัวเอง
“มันพูดถึงเทพและเครื่องเซ่น”
“อาจเป็นพิธีเซ่นไหว้ด้วยเลือด”
“มันคงอยากสังเวยเราให้เทพมาร”
เป็นไปได้… ผู้วิเศษจะมีพลังวิญญาณสูงกว่า แถมยังมีเอกลักษณ์บางอย่าง จึงเป็นเครื่องเซ่นที่ดีกว่าคนธรรมดาหลายเท่า เพียงพอที่จะเอาอกเอาใจเทพมาร… ปิแยร์·แบรีกับนียอร์·บาสต์ใช้การเลี้ยงแกะแบบผลัดถิ่นบังหน้า เพื่อเดินทางไปประเทศข้างเคียงและจับผู้วิเศษมาสังเวย? เป็นกลยุทธ์ที่ดีมาก ยากแก่การสะกิดต่อมของทางการท้องถิ่น… โอลัวร์พยักหน้าแผ่วเบาจนแทบมองไม่เห็น
ตามด้วยถามเสียงขรึม
“ปิแยร์เคยเอ่ยถึงพระนามของเทพบ้างไหม?”
“หรือไม่ก็ พิธีกรรมที่ทำให้พวกคุณกลายเป็นแกะ มีการสวดวิงวอนถึงใคร?”
แกะทั้งสามชะงักไปครู่หนึ่ง คล้ายกับกำลังนึกถึงเรื่องเก่า
ถัดมา พวกเขาพร้อมใจกันก้มหน้า เหยียดกีบเท้าไปทางดิน
ด้วยเหตุผลบางประการ โอลัวร์รู้สึกว่าอากาศเริ่มเย็น แสงสลัวผิดปกติ คล้ายกับดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าถูกเมฆมืดปกคลุม ผนวกกับมีลมเย็นๆ พัดมาจากภูเขา
แกะทั้งสามตัวลงมือเขียน
ทันใดนั้น สัญชาตญาณจากพลังวิญญาณของหญิงสาว พลันร้องเตือนอย่างแรงกล้า จนต้องรีบตะโกนอย่างร้อนรน
“เดี๋ยว!”
สามแกะเงยหน้าขึ้น มองมาทางหญิงสาว
รู้ตัวอีกที น้ำตาเลือดก็ไหลจากหางตาพวกเขา เส้นขนบนใบหน้าเปื้อนเปรอะจนดูน่าขนลุก
ไม่กี่อึดใจถัดมา แกะทั้งสามเริ่มเขียนต่อ
โอลัวร์รีบหันหลังกลับ วิ่งเต็มฝีเท้าไปทางขอบรั้ว
เมื่อวิ่งพ้นจากคอกแล้วหันกลับไปมอง เธอเห็นแกะทั้งสามกำลังอาบแสงแดดที่สาดลงมาจากท้องฟ้า
ถ้าไม่นับรอยเลือดที่ยังหลงเหลือบนใบหน้า ก็แทบจะไม่พบสิ่งใดผิดปกติเลย
ตึกตัก! ตึกตัก!
หัวใจโอลัวร์ยังคงเต้นระรัว
หญิงสาวหอบกระเส่าแต่โล่งใจ
“ถ้าไม่ใช่เพราะว่า… ก่อนที่จะชำนาญเทคนิคผนึกดวงตา… เราเคยเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นอยู่บ่อยๆ … จนสัญชาตญาณในแง่นี้ถูกขัดเกลา คงตอบสนองต่อเหตุการณ์เมื่อสักครู่ไม่ทันแน่…”
เธอหยิบผงสีดำเหล็กออกมา โปรยเข้าไปในคอกแกะ
ข้อความบนพื้นดินถูกลบออกทันทีด้วยมือที่มองไม่เห็น
แต่สำหรับคราบเปื้อนบนใบหน้าแกะ โอลัวร์ไม่อาจทำความสะอาดด้วยเวทมนตร์ และไม่กล้าเข้าไปใกล้เพื่อล้างด้วยน้ำเปล่า
เธอกังวลว่าแกะทั้งสามจะเปลี่ยนไปจากเดิม ซ่อนเร้นไปด้วยอันตราย
…
ในร้านเหล้าคร่ำครึ ลูเมี่ยนที่กำลังดื่มอัปแซ็งต์สีเขียวอ่อน วางศอกขวาลงบนเคาน์เตอร์บาร์ ชายตาไปรอบๆ อย่างสบายใจ
เขาไม่เห็นมาดามลึกลับ และไม่เห็นพวกไรอัน ลีอา วาเลนไทน์ สามคนต่างถิ่น
สำหรับรายแรก เด็กหนุ่มคาดเดาการปรากฏตัวของเธอไม่ได้ ทำได้เพียงพึ่งพาวาสนา ส่วนสามคนหลัง ป่านนี้คงกำลังเตร็ดเตร่ไปรอบหมู่บ้าน หาคนชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย
“อันที่จริง ฉันเคยเกือบจะแต่งงาน” ปิแยร์·แบรีที่ดื่มอัปแซ็งต์หมดไปหนึ่งแก้ว หยิบแก้วใส่ของเหลวสีเขียวอ่อนขึ้นมาใหม่ พล่ามต่อไป
“จริงดิ?” ลูเมี่ยนถากถาง “ใครจะมาตกหลุมรักคนเลี้ยงแกะ?”
ปิแยร์ถอนหายใจแล้วพูด
“ทุ่งหญ้าที่พวกเราไปผลัดถิ่น ส่วนใหญ่มีเจ้าของ ถ้าไม่ใช่เจ้าของคฤหาสน์พร้อมที่ดิน ก็ต้องเป็นที่ของคนในหมู่บ้านใกล้เคียง ถ้าอยากมีที่เลี้ยงแกะก็ต้องจ่ายภาษีหรือไม่ก็แต่งงานกับสาวชาวบ้านแถวนั้น ตั้งรกรากเป็นหลักแหล่ง”
“ฟังดูดีสำหรับคนเลี้ยงแกะ” ลูเมี่ยนยิ้ม
ปิแยร์จิบอัปแซ็งต์หนึ่งแก้ว หันมามองเขาข้างๆ
“แต่ผู้หญิงคนนั้นต้องชอบนาย และจะไม่มีการจ่ายสินสอด”
“ครั้งหนึ่ง บังเอิญว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมองว่าฉันไม่เลว ไม่รังเกียจคนเลี้ยงแกะจนๆ และยินดีที่จะแต่งงานด้วย… โง่ชะมัดเลยนะ ว่าไหม?”
“ใช่” ลูเมี่ยนพยักหน้ารับอย่าง ‘ซื่อตรง’
ปิแยร์ยกแก้วอัปแซ็งต์สีเขียวอ่อนขึ้นมามอง เงียบไปสักพักจึงพูด
“หลังจากนั้น เธอก็ตาย…”
“เธอทำงานในโรงงานนอกเมือง งานหนักเกินไปจนล้มป่วย ฉันตระเวนไปตามโบสถ์ต่างๆ เพื่อหาบาทหลวงมาช่วยสวดวิงวอน พยายามหาหมอมารักษา แต่ก็เปล่าประโยชน์…”
“หลังจากวันนั้น ฉันก็เข้าใจสัจธรรม”
“สัจธรรมอะไร?” ลูเมี่ยนจิบอัปแซ็งต์
ความโกรธปนเกลียดชัง ฉายผ่านใบหน้าปิแยร์·แบรี
“คนที่มีเนื้อหนังและขับถ่ายทางก้น ไม่มีวันช่วยพวกเราได้”
“แล้วคนที่ไม่มีเนื้อหนัง ไม่ได้ขับถ่ายทางก้น ช่วยได้?” ลูเมี่ยนถามยอกย้อน
ปิแยร์·แบรีหัวเราะเบาๆ สองครั้ง
“คนเหล่านั้นคือนักบุญและเทวทูต แต่พวกเขาจะหันมาเหลียวแลเราหรือ?”
ลูเมี่ยนจิ๊ปาก
“แล้วทำไมนายถึงยังไปสวดวิงวอนที่โบสถ์กับหลวงพ่ออยู่อีกล่ะ?”
“เขาไม่เพียงจะมีเนื้อหนัง ขับถ่ายทางก้น แต่ยังชอบนอนกับผู้หญิง”
ปิแยร์·แบรีหันศีรษะกลับมาอีกครั้ง มองตาลูเมี่ยน
“นายไม่เข้าใจหรอก เขามีปัญญามากพอที่จะช่วยเหลือวิญญาณของเรา”
“ปัญญา?” ลูเมี่ยนไม่ค่อยกระจ่างกับคำนี้นัก
ปิแยร์·แบรีจิบอัปแซ็งต์สีเขียวอ่อน ราวกับไม่ได้ยินคำถาม
ลูเมี่ยนไม่กล้าซักไซ้ จึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“มีคนบอกว่า นายแวะไปโบสถ์มาแล้วตอนบ่ายๆ … ทำไมถึงต้องไปตอนบ่ายสามกว่าๆ อีกรอบ?”
ปิแยร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ตอนบ่ายๆ จะได้คุยกับคนที่มีปัญญาคล้ายคลึงกัน”
เขาไม่ได้ปฏิเสธว่าเข้าโบสถ์ในช่วงบ่าย
ลูเมี่ยนถอนหายใจโล่งอก — อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ยังไม่มีคนอื่นที่สามารถรักษาความทรงจำและแทรกแซง ‘ประวัติศาสตร์’
ตามความเข้าใจของเขา ปิแยร์·แบรีไปโบสถ์ในช่วงบ่ายเพื่อคุยกับหลวงพ่อล่วงหน้า พอบ่ายสามกว่าๆ ก็จัดชุมนุมเล็กๆ
หลังจากทั้งสองดื่มเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยมาถึงมื้อเย็น ลูเมี่ยนกับปิแยร์·แบรีแยกย้ายกันกลับบ้าน
ขณะเดินไปตามถนนอันเงียบสงบ ปงส์·เบเนต์ น้องชายของหลวงพ่อ โผล่พรวดจากข้างถนนพร้อมกับลิ่วล้อ ขวางทางเด็กหนุ่มเอาไว้
ปงส์·เบเนต์ เจ้าของร่างกายบึกบึน ผมสีดำ นัยน์ตาสีน้ำเงิน มองหน้าลูเมี่ยนพลางยิ้มอย่างชั่วร้าย
“เล่นพิเรนทร์เก่งนักนะ ตอนบ่ายๆ น่ะ ทำเอาพวกเราเสียเวลาไปไม่น้อย”
“ถ้าไม่เพราะเห็นแก่หน้าหลวงพ่อ ฉันคงกระทืบแกคาโบสถ์ไปแล้ว!”
“ไอ้เด็กเปรต! มาลองชิมเจ้าโลกของพ่อปงส์ดูหน่อย!”
ทีแรกลูเมี่ยนตกตะลึงกับความโง่เขลาของอีกฝ่าย แต่ไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นความยินดี
การคาดคะเนของตนกับโอลัวร์นั้นถูกต้อง ในวัฏจักรแรกสุด ก่อนจะถึงพิธีศพของนาโรคา ปงส์·เบเนต์ยังไม่ได้รับพลังวิเศษที่สามารถดมกลิ่นอันตราย!
มันกล้าขวางทางผู้วิเศษ!
ลูเมี่ยนไม่ลังเล รีบหันหลังเผ่นหนี
ปงส์กับพรรคพวกไล่ตามมาติดๆ
แต่พอวิ่งออกจากถนนแคบๆ ที่ขนาบข้างด้วยบ้านคน เหยื่อของพวกมันก็หายไปแล้ว
ปงส์·เบเนต์มองไปรอบๆ พลางออกคำสั่งกับลูกน้อง
“ค้นให้ทั่ว”
มันเชื่อว่าลูเมี่ยนไม่มีทางวิ่งเร็วขนาดนั้น จะต้องซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลแน่
ลิ่วล้อแยกย้ายออกไปรื้อค้นบ้าน ค้นหาจุดซ่อนตัวใกล้ๆ เหลือเพียงปงส์·เบเนต์ยืนอยู่ตรงปากทางตามลำพัง
ลูเมี่ยนที่ปีนขึ้นไปหลบบนชั้นสองของบ้านข้างๆ เห็นดังนั้นจึง ‘หึ’ หนึ่งคำ แล้วกระโจนใส่ปงส์·เบเนต์ทันที
เปรี้ยง!
ปงส์ถูกกระแทกหนักหน่วงจนล้มลง เลือดในกายดิ้นพล่าน ความมืดมิดปกคลุมทัศนวิสัยฉับพลัน กลายเป็นง่อยไปชั่วขณะ
หากลูเมี่ยนไม่ออมแรงไว้บ้าง เกรงว่ากระดูกของมันคงหักไปหลายซี่
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ก้มตัวลง จับแขนซ้ายขวาของปงส์พลางพูดยิ้มๆ
“มาทำความสนิทสนมกันดีกว่า”
โดยไม่ปล่อยให้ปงส์ที่กำลังนอนหงายได้มีโอกาสขัดขืน เด็กหนุ่มกระชากอีกฝ่ายขึ้นมา แล้วแทงเข่าสวนกลับไป
‘ปึก!’ ลูกตาปงส์แทบถลนออกจากเบ้า ความเจ็บปวดแสนสาหัสเขียนไว้ทั่วใบหน้า
ตุบ!
ลูเมี่ยนปล่อยมือ ทิ้งให้อีกฝ่ายนอนขดเป็นกุ้งอยู่บนพื้น
ก่อนที่ลิ่วล้อจะย้อนกลับมา เด็กหนุ่มวิ่งย้อนกลับไปในซอยแคบ ไม่นานก็ลับสายตา
…
ในห้องครัวที่ถูกใช้เป็นห้องนั่งเล่นและห้องรับประทานอาหาร
ลูเมี่ยนรายงานสถานการณ์ให้พี่สาวฟัง
“ปิแยร์·แบรีย้อนกลับไปที่โบสถ์ช่วงบ่ายสามกว่าๆ…และยืนยันได้ว่า ปงส์·เบเนต์ยังไม่มีพลังวิเศษ”
โอลัวร์ผงกหัวรับแผ่วเบา เล่าถึงประสบการณ์ทางฝั่งของตน โดยเฉพาะอันตรายที่ไม่รู้จักและยากจะอธิบายในช่วงท้าย
ลูเมี่ยนใคร่ครวญอยู่สักพักแล้วจึงพูด
“มาดามลึกลับคนนั้นเคยบอกว่า…สำหรับการดำรงอยู่บางพระองค์ แค่ได้ทราบชื่อก็ทำให้ปนเปื้อนมลทินได้แล้ว”
…………………………………………………….