ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 59 กลับมาอีกครั้ง
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 59 กลับมาอีกครั้ง
ตอนที่ 59 กลับมาอีกครั้ง
มนุษย์บะหมี่เต้นอีกครั้ง
ลูเมี่ยนสามารถยืนยันได้ว่า การเต้นสุดพิศวงนี้จะไม่ทำให้สัญลักษณ์หนามสีดำบนหน้าอกถูกกระตุ้นอย่างสมบูรณ์ หรือก็คือมีลวดลายปรากฏแต่ปราศจากเสียงพูดอันน่าพรั่นพรึง เหลือเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบา
สิ่งนี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการใช้ ‘ความพิเศษ’ ในฝัน
แต่ในขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มพบปัญหาสองข้อ:
ประการแรก ท่าเต้นของมนุษย์บะหมี่จัดอยู่ในเกณฑ์ยาก บางท่าถึงกับฝ่าฝืนโครงสร้างร่างกายมนุษย์ เกรงว่าคงมีเพียงสัตว์ประหลาดที่ยืดหยุ่นราวกับไร้กระดูกสันหลังเท่านั้นที่ทำได้ แม้ลูเมี่ยนจะเป็นผู้วิเศษเช่นกัน แถมยังเป็น ‘นักล่า’ ที่ร่างกายถูกยกระดับอย่างมาก แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจ เกรงว่าถ้าลองเต้นตามให้เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว หากไม่เส้นเอ็นขาด กล้ามเนื้อก็ต้องฉีก หรืออาจถึงขั้นกระดูกหัก
ประการที่สอง ท่าเต้นพิศวงนี้ดูเหมือนจะกระตุ้นพลังธรรมชาติรอบตัวได้จริง แถมยังมีเสน่ห์น่าหลงใหล ลูเมี่ยนที่ลองจดจำอยู่พักหนึ่ง พบว่าพลังวิญญาณของตนถูกเผาผลาญไปมาก
“ดูรอบนี้จบคงต้องกลับไปพักแล้ว” ลูเมี่ยนมองมนุษย์บะหมี่ที่เต้น ‘ระบำพิศวง’ เป็นรอบที่สาม พลางรำพันเงียบงัน
พลังวิญญาณของนักล่าช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน!
หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ เด็กหนุ่มแทบจะยืนยันได้แล้วว่า ‘สัญลักษณ์หนาม’ มีส่วนเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับแดนซากปรักหักพังในความฝัน
ไม่ว่าจะรอยประทับสีดำบนตัวหลวงพ่อ หรือสัตว์ประหลาดเต้นรำที่สามารถกระตุ้นสัญลักษณ์หนาม ถ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับตัวตนซ่อนเร้นนั่นเลยก็คงจะแปลกเกินไปสักหน่อย!
นึกถึงสัญลักษณ์ที่คล้ายคลึงกันบนหน้าอกหลวงพ่อ นึกถึงแดนซากปรักหักพังที่เริ่มต้นใหม่พร้อมกับโลกความจริง นึกถึงการติดอยู่ในวัฏจักร ลูเมี่ยนยิ่งเชื่อในสมมติฐานของโอลัวร์:
กุญแจสำคัญในการทำลายวัฏจักรอาจซ่อนอยู่ในส่วนลึกของที่นี่ แม้ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ต้องเป็นส่วนสำคัญมากแน่นอน
มาดามลึกลับคนนั้นถึงได้บอกเป็นนัยให้เราไขปริศนาแดนซากปรักหักพัง? ยิ่งลูเมี่ยนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยิ่งมีน้ำโห ยกมือซ้ายข้างที่ไม่ได้ถือขวานขึ้น ชูนิ้วกลางใส่สัญลักษณ์ลักษณ์บนหน้าอกพร้อมกับสบถ ‘ไอ้เย็*แม่!’
เขาไม่กลัวว่าพฤติกรรมนี้อาจทำให้อีกฝ่ายยิ่งขุ่นเคือง ไม่สนใจว่าตัวตนซ่อนเร้นนั่นจะมองเห็นหรือได้ยิน เพียงไม่ชอบใจที่ตนต้องตกอยู่ในวัฏจักรเวลาของอีกฝ่าย ไม่ชอบใจที่รอบตัวยิ่งทำตัวแปลกประหลาดและอันตราย เหนือสิ่งอื่นใด เขาเชื่อว่าปัญหาคงไม่แย่ลงไปกว่านี้อีกแล้ว
ชมการเต้นรอบที่สามจนจบ ลูเมี่ยนลูบหัวที่ค่อนข้างว่างเปล่า ด้วยหน้าอกร้อนผ่าวเล็กน้อย เขาจากลาซากปรักหักพังในทิศเดียวกับที่เดินมา กลับถึงบ้านที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทุ่งรกร้าง
ก่อนจะออกจากฝัน เด็กหนุ่มลองเต้นตามเท่าที่จำได้ และมันเกือบทำให้เขาเสียเอว เกือบทำลายเอ็นหัวเข่า เกือบฉีกกล้ามเนื้อน่อง
“เวรเอ๊ย คนปกติที่ไหนจะไปทำตามได้ฟะ!” ลูเมี่ยนสาปแช่ง ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง
เนื่องจากพลังวิญญาณถูกผลาญไปมาก จึงอ่อนเพลียมาก ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
…
เมื่อลูเมี่ยนลืมตาตื่น ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มสว่าง พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แต่ก็ไม่มีแสงจันทร์สีแดง
เด็กหนุ่มบรรจงพยุงตัวนั่ง การได้หลับสนิทมอบความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า พลังวิญญาณที่สูญเสียไปถูกเติมเต็มใหม่อีกครั้ง
เดินไปที่หน้าต่าง ลูเมี่ยนเปิดผ้าม่าน ปล่อยให้แสงยามเช้าจากภายนอกส่องเข้ามา
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มตกตะลึงจนตาค้าง
นกฮูกที่ตัวใหญ่กว่าพงศ์พันธุ์เดียวกันเล็กน้อยกำลังเกาะอยู่บนต้นเอล์มที่ห่างออกไปไม่ไกล ตามองมาทางเด็กหนุ่มด้วยท่าทีของผู้เหนือกว่า
ลูเมี่ยนรีบฟื้นขึ้นสติ แล้วรีบเปิดปาก
“โอลัวร์! โอลัวร์!”
เร็วเข้า ผู้ต้องสงสัยมาแล้ว!
ไล่ตามมันไป!
ได้ยินเสียงตะโกน นกฮูกพลันสยายปีก บินไปทางสุดขอบหมู่บ้าน
เพดานบินต่ำลงทุกขณะ ไม่นานก็ลับสายตาไปแถวๆ ป่าชายขอบหมู่บ้านกอร์ตู
ไม่กี่วินาทีถัดมา โอลัวร์ในชุดนอนผ้าไหมสีขาวเดินเข้ามาในห้องลูเมี่ยน
หญิงสาวถามหน้ามุ่ย
“ใช่” ลูเมี่ยนมองออกไปนอกหน้าต่าง “เจ้ากระดาษขาวตามทันไหม?”
โอลัวร์จับผมยาวสีบลอนด์ของตน แค่นเสียงด้วยความโกรธ
“ทำไมต้องโผล่มาในเวลาแบบนี้ด้วยนะ…”
“ฉันกำลังนอนหลับสบายอยู่เลย เพิ่งจะตื่นเพราะเสียงของนาย ยังไม่ทันได้ปล่อยเจ้ากระดาษขาวด้วยซ้ำ มันก็บินหนีไปแล้ว”
“ไหนพี่บอกว่านอนไม่หลับเพราะคิดมากไง?” ลูเมี่ยนตอบตามจิตใต้สำนึก
โอลัวร์เหล่มองน้องชาย
“ถ้าไม่ได้นอนให้เพียงพออย่างสม่ำเสมอ จิตใจจะขุ่นมัว นั่นคือจุดเริ่มต้นของภาวะคลุ้มคลั่ง”
“คนเราน่ะ มักจะกังวล ไม่สบายใจ และกลัวในช่วงแรก แต่เมื่อชินแล้วก็จะชาไปเอง ดังนั้นต้องหลับให้สบายเพื่อให้ร่างกายตื่นตัวและมีสติ”
“คงต้องรอครั้งหน้าสินะ…” ลูเมี่ยนรู้สึกเสียดาย
โอลัวร์ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง
“เรามาสรุปรูปแบบการปรากฏตัวของมันดีกว่า ไม่ควรรอให้กระต่ายเป็นฝ่ายวิ่งชนตอไม้ด้วยตัวเอง แล้วก็ เรายังต้องพักผ่อน มัวเฝ้าตลอดทั้งวันไม่ได้หรอกนะ”
ลูเมี่ยนนึกย้อนกลับไปในครั้งก่อนๆ
“ทุกครั้งที่มันปรากฏตัว… คือช่วงรุ่งสางถึงเช้า”
“ทำไมถึงต้องเป็นเวลานี้ล่ะ?” โอลัวร์ถามต่อ “นี่อาจเป็นแค่ผลลัพธ์ ยังไม่ใช่กฎ ลองนึกดูให้ดี ในการปรากฏตัวเพียงไม่กี่ครั้งของมัน คืนก่อนหน้านั้นนายทำอะไรลงไปบ้าง? ได้ทำเหมือนเดิมตลอดหรือไม่?”
“ฉันสำรวจแดนซากปรักหักพังในฝัน…” ลูเมี่ยนไม่ปิดบังพี่สาว เริ่มไล่เรียงเหตุการณ์ให้ฟัง “ก่อนที่มันจะปรากฏตัวครั้งแรก ฉันฆ่าสัตว์ประหลาดตัวแรกในความฝัน ก่อนการปรากฏตัวครั้งที่สอง ฉันกระตุ้นสัญลักษณ์บนหน้าอกผ่านการเข้าฌาน จนกระทั่งได้พบ ‘ความพิเศษ’ ของตัวเอง ครั้งที่สาม ฉันดื่มโอสถในความฝัน กลายเป็นนักล่าอย่างปลอดภัย ครั้งที่สี่ หรือก็คือวันนี้ ฉัน… ฉันค้นพบวิธีกระตุ้นความพิเศษในฝันได้ระดับหนึ่งโดยที่ไม่ต้องเจ็บตัวมากนัก”
“ทำยังไง?” โอลัวร์โพล่งถาม
ลูเมี่ยนจึงเล่าเรื่องมนุษย์บะหมี่กับการเต้น รวมถึงการทดลองของตัวเองอย่างละเอียด
โอลัวร์ใคร่ครวญเกี่ยวกับนกฮูกขณะฟัง รอให้น้องชายเล่าจบ หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบจึงพูด
“ดูเหมือนว่านกตัวนั้นจะมาหานายหลังจากมี ‘ความก้าวหน้า’ ในการสำรวจความฝัน…”
หืม…? ลูเมี่ยนครุ่นคิด ดวงตาเริ่มเปล่งประกาย
“จริงด้วย!”
“ครั้งแรกที่ฆ่าสัตว์ประหลาด ครั้งแรกที่กระตุ้นความพิเศษ ครั้งแรกที่ดื่มโอสถ จนก้าวเข้าสู่เส้นทางเหนือธรรมชาติ ครั้งแรกที่ค้นพบวิธีใช้ประโยชน์จากความพิเศษในฝัน…”
“ความก้าวหน้าในฝันส่งอิทธิพลบางอย่างกับโลกความจริงด้วย และนกฮูกที่สังเกตเห็นมัน แวะมาแอบดูฉัน? หึ! ฉันตามกลิ่นแกได้แล้ว”
โอลัวร์อืมออกมาหนึ่งคำ
“หลังจากนี้เราสามารถจงใจสร้างสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันได้ เพื่อหาโอกาสจับนกฮูกตัวนั้น”
“ครั้งหน้าคงเป็นตอนที่ฉันชำนาญระบำพิศวงนั่นแล้ว จนสามารถใช้ความพิเศษที่เกิดจากสัญลักษณ์บนหน้าอกได้คล่องแคล่ว” ลูเมี่ยนทำหน้าครุ่นคิด แล้วเผยรอยยิ้มชั่วร้าย “เมื่อถึงตอนนั้น ฉันจะบอกพี่ล่วงหน้าก่อนลงมือทดลองในความฝัน ให้พี่เตรียมตัวเอาไว้”
โอลัวร์ไตร่ตรองอยู่สักพัก แล้วจึงผงกหัวรับ
“หวังว่าจะได้รู้สักทีว่านกฮูกเกี่ยวข้องกับใคร และมีบทบาทใดในความผิดปกติที่เกิดกับหมู่บ้านกอร์ตู…”
ลูเมี่ยนถือโอกาสถาม
“โอลัวร์ เอ่อ พี่ พอจะรู้อะไรเกี่ยวกับการเต้นนั่นบ้างไหม?”
“ก็อย่างที่รู้ ฉันโง่ศาสตร์เร้นลับมากเลย”
โอลัวร์ลากเก้าอี้จากโต๊ะไม้ในห้อง นั่งลง ครุ่นคิดสักพักแล้วพูด
“ตำราหลายเล่มระบุไว้ว่า ในสมัยโบราณ ราวๆ ยุคที่สี่จนถึงช่วงต้นยุคที่ห้า มีการประกอบอาคมพิธีกรรมขนาดใหญ่บ่อยครั้ง…”
“ในอาคมพิธีกรรมเหล่านั้น ไม่เพียงจะมีการสังเวยครั้งใหญ่ ไม่เพียงจะมีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก แต่พวกเขายังเต้นรำพิเศษเพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ตัวตนซ่อนเร้น เพื่อแลกกับการตอบสนอง”
“อันที่จริง หากพูดกันในแง่พิธีเซ่นสังเวย หรือในแง่ของพิธีกรรม เดิมทีก็มีความเชื่ออย่างกว้างขวางว่าการเต้นรำสามารถระดมพลังธรรมชาติ สามารถสื่อสารกับทวยเทพ โดยให้ผลใกล้เคียงกับภาษาเหนือธรรมชาติ สมุนไพรวิเศษ และน้ำมันหอมระเหย”
ในโลกที่โอลัวร์กับลูเมี่ยนอาศัยอยู่ ประวัติศาสตร์ถูกแบ่งออกเป็นห้ายุคสมัย ยุคแรกคือยุคแห่งความโกลาหล ยุคที่สองคือยุคมืด ยุคที่สามคือยุคแห่งภัยพิบัติ แต่โอลัวร์เคยได้ยินเพื่อนทางจดหมายเล่าว่า อีกชื่อหนึ่งคือยุคแห่งความรุ่งโรจน์
ยุคที่สี่คือยุคแห่งทวยเทพหรือยุคสมัยแห่งเทพ ยุคที่ห้าคือปัจจุบัน มีจุดเริ่มต้นเมื่อ 1,358 ปีก่อน เรียกว่ายุคเหล็กดำ
จากบรรดาทั้งหมด ประวัติศาสตร์ของสามยุคแรกไม่อาจย้อนกลับไปตรวจสอบ เหลือเพียงตำนานและเทพนิยาย ส่วนยุคสมัยที่สี่ยังหลงเหลือร่องรอยเป็นเอกสาร ข้าวของเครื่องใช้ บันทึกย่อ ซากปรักหักพัง สุสานโบราณ และเมืองโบราณอยู่ประปราย แต่ประวัติศาสตร์คล้ายกับถูกปกคลุมด้วยสายหมอก มองเห็นเพียงเค้าโครงเลือนราง นั่นเพราะพระคัมภีร์ต่างๆ ของศาสนจักรหลักทั้งเจ็ดมีการกล่าวถึงไว้เพียงเล็กน้อย
ฟังคำอธิบายของพี่สาวจบ ลูเมี่ยนลองคาดเดา
“หรือก็คือ… มนุษย์บะหมี่เต้นเพื่อเอาอกเอาใจตัวตนซ่อนเร้นที่สอดคล้องกับสัญลักษณ์หนาม โดยหวังการตอบสนองหรือความช่วยเหลือ?”
“แต่เป็นเพราะพิธีกรรมยังขาดส่วนสำคัญ ผลลัพธ์ที่ตามมาจึงไม่ดีนัก? หรือว่าปัญหาจะอยู่ที่แดนซากปรักหักพังในความฝัน? ทำให้สัญลักษณ์บนตัวฉันสำแดงฤทธิ์เดชออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น?”
“หึหึ แบบนี้ก็เหมือนกับว่าฉันเป็นเทพเจ้าเลยน่ะสิ… เทพผู้เห็นการเต้นของมนุษย์บะหมี่จนเกิดความพึงพอใจ จึงตอบสนองด้วยการแสดงสัญลักษณ์บนหน้าอก”
แต่ในความเป็นจริง สิ่งนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของลูเมี่ยน เป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากสัญลักษณ์หนามล้วนๆ
โอลัวร์ยิ้ม
“นายเป็นเหมือนตัวแทนของสัญลักษณ์นั้นมากกว่า หรืออีกแง่หนึ่งคือเครื่องมือ”
หญิงสาวเว้นวรรค กล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ฉันสงสัยว่าระบำพิศวงนั่นถูก ‘คิดค้น’ เพื่อเอาอกเอาใจหรือสื่อสารกับตัวตนซ่อนเร้นเจ้าของสัญลักษณ์หนามโดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นสัญลักษณ์คงไม่ทำปฏิกิริยา…”
“แล้วอีกอย่าง ตามคำอธิบายของนาย คนธรรมดาไม่สามารถลอกเลียนแบบได้แน่ จะต้องเป็นผู้วิเศษที่ถูกปรับแต่งร่างกายมาแล้วเท่านั้น”
“แต่ฉันรู้จักชื่อของทุกโอสถลำดับ 9 และ 8 บนยี่สิบสองเส้นทางปกติ… ไม่มีโอสถใดเต้นแบบนั้นได้ มนุษย์บะหมี่ก็ดูไม่เหมือนกับลำดับสูง ไม่อย่างนั้นนายคงวิ่งหนีไม่พ้น”
“อาจไม่ได้อยู่บนยี่สิบสองเส้นทางหลัก แต่เป็นพรจากการดำรงอยู่ซ่อนเร้นสักพระองค์?” ลูเมี่ยนนึกถึงคำพูดของมาดามลึกลับ
โอลัวร์มองออกไปนอกหน้าต่าง เม้มปากแล้วพูด
“ฉันสงสัยว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับ ‘คนในวง’ แต่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าลำดับ 9 หรือ 8…”
“คงงั้น” อยู่ๆ ลูเมี่ยนก็แสยะยิ้ม “ฉันจะตั้งชื่อให้มันเอง… ลำดับ 9 แห่งเส้นทาง ‘คนในวง’ มนุษย์บะหมี่!”
โอลัวร์อดกลอกตามองบนไม่ได้
สองพี่น้องคุยกันต่อสักพัก แล้วลงไปกินมื้อเช้าข้างล่าง
เรียนภาษาเฮอร์มิสจนถึงสิบโมงกว่า ลูเมี่ยนหยิบอุปกรณ์สำคัญเดินออกจากบ้าน
…………………………………………………….