ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 6 ซากปรักหักพัง
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 6 ซากปรักหักพัง
ตอนที่ 6 ซากปรักหักพัง
ลูเมี่ยนกวาดสายตาไปรอบๆ ตามความเคยชิน
ในการมองเห็นมีโต๊ะ เก้าอี้ ชั้นหนังสือ ตู้เสื้อผ้า และเตียงนอนที่คุ้นตา
เป็นห้องนอนของเขาเอง เพียงแต่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทา
ฝันรู้ตัว (Lucid dream) ? เรากำลังฝันแบบรู้ตัว? รูม่านตาลูเมี่ยนกำลังเบิกกว้าง
ฝันรู้ตัวหมายถึงความฝันที่สามารถคิด ตัดสินใจ และยังหลงเหลือความทรงจำเมื่อตื่นขึ้นมา เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่หากฝึกฝนจนชำนาญก็สามารถสั่งให้เกิดขึ้นได้
ก่อนหน้านี้ โอลัวร์พยายามสร้างฝันรู้ตัวให้ลูเมี่ยนเพื่อไขปริศนาของหมอกสีเทา แต่ไม่มีครั้งใดสำเร็จ
ทว่า ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้ลูเมี่ยนมีสติภายในฝันที่เกี่ยวกับหมอก
หลังจากตกตะลึงปนสับสนอยู่สักพัก เด็กหนุ่มรวบรวมสติ ไตร่ตรองหาความเป็นไปได้
“เป็นฝีมือของไพ่ทาโรต์ ‘เจ็ดไม้’ ใบนั้น?”
“ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ไพ่จะช่วยเราไขปริศนาความฝัน…”
“การที่เรามีสติในความฝัน ก็เพื่อสำรวจดินแดนที่เต็มไปด้วยหมอกสีเทา?”
“หืม…เทียบกับความทรงจำครั้งก่อนๆ หมอกดูจางลงมาก…มากๆ…”
ท่ามกลางกลุ่มก้อนความคิดที่แล่นเข้ามา ลูเมี่ยนหมุนตัวกลับ เดินไปหาเก้าอี้เอนหลัง ใช้สองมือเท้าโต๊ะริมหน้าต่าง แล้วจึงกวาดสายตามองออกไป
ภาพที่เห็นมิใช่ภาพที่คุ้นเคย
ความฝันนี้มิได้จำลองหมู่บ้านกอร์ตูที่เขาอาศัยอยู่
ภายใต้หมอกบางๆ สีเทาอ่อน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือภูเขาสูงตระหง่าน ประกอบขึ้นจากหินสีแดงน้ำตาลและดินสีแดงน้ำตาลโดยไม่มีสิ่งอื่นเจือปน สูงจากพื้นราวยี่สิบสามสิบเมตร
รอบภูเขาคือทิวแถวอาคารบ้านเรือนที่เรียงกันเป็นวงกลม บางหลังพังถล่มไม่เหลือชิ้นดี บางหลังไหม้เกรียมจนจำเค้าเดิมไม่ได้
ในสายตาลูเมี่ยน พวกมันดูเหมือนซากปรักหักพังของสุสาน เรียงกันเป็นวงกลมแบบไม่กลมนัก
พื้นดินไม่เรียบ เต็มไปด้วยหลุมกับหินใหญ่ แต่ไม่มีวัชพืชสักกอเดียว
เหนือสิ่งอื่นใด หมอกบนท้องฟ้าทั้งหนาและขาวโพลน จนลูเมี่ยนบอกไม่ได้ว่ามีพระอาทิตย์ลอยอยู่หรือไม่ เห็นเพียงบรรยากาศที่ค่อนข้างสลัว คล้ายกับยามราตรีที่มีเพียงแสงดาว
เฝ้าสังเกตอย่างระมัดระวังสักพัก เขาพึมพำกับตัวเอง
“นี่คือทั้งหมดของความฝัน?”
นี่คือร่างจริงของฝันที่คอยหลอกหลอนตนมาหลายปี?
เหม่อมองอยู่ครู่หนึ่ง ลูเมี่ยนเริ่มขบคิดบนพื้นฐานความจริง
“ฝันนี้ซ่อนความลับไว้ที่ไหน?”
“บนยอดเขานั่น หรือในซากอาคาร?”
ลูเมี่ยนไม่รีบออกจากห้องนอนเพื่อไปสำรวจ ยังคงตั้งใจเก็บรายละเอียดของทุกสิ่งในระยะสายตา
ทันใดนั้น เขาเชื่อว่าตนเห็นเงารางๆ ภายในซากปรักหักพังรอบภูเขา
คำนึงจากความสูงที่ไม่มากนักของบ้านสองชั้น ผนวกกับหมอกที่ถึงจะบางลง แต่ก็ยังบดบังทัศนวิสัย ลูเมี่ยนไม่อาจแน่ใจได้ว่าตนเห็นจริงหรือคิดไปเอง
ผ่านไปสักพัก เด็กหนุ่มบรรจงถอนหายใจ กล่าวกับตัวเองเงียบงัน
“ไม่ต้องรีบ อดทนไว้…อดทน…”
“ความฝันนี้…ดูแล้วคงซ่อนความลับไว้มากมาย อาจไม่ใช่ของเราทั้งหมด…การบุ่มบ่ามสำรวจอาจนำพาไปสู่อันตราย…”
“อา…สิ่งแรกที่ต้องทำพรุ่งนี้ คือการตามหาผู้หญิงคนนั้น หยั่งเชิงว่าถามอะไรเพิ่มเติมได้ไหม จึงค่อยคิดก้าวถัดไป…”
ท่ามกลางวังวนความคิด ลูเมี่ยนถอนสายตากลับ เตรียมออกจากความฝันเพื่อนอนหลับอย่างสงบ
แต่ในภาวะฝันรู้ตัว เขากลับไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะ ‘ตื่น’ จริงๆ
หลังจากลองผิดลองถูกหลายหน เด็กหนุ่มตัดสินใจนอนราบไปบนเตียง พยายามคนกวนความคิดให้ยุ่งเหยิง ลอกเลียนภาวะขณะหลับที่เคยเป็นมา
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่อาจทราบได้ ลูเมี่ยนลุกนั่งบนเตียง ตาเห็นแสงอาทิตย์สีทองเล็ดลอดผ่านผืนผ้าม่านในห้องนอน
“ตื่นได้สักที…”
“อย่างที่คิด การนอนในความฝันจะนำไปสู่ภาวะยุ่งเหยิง ช่วยให้ออกมาได้…”
ลูเมี่ยนถอนหายใจโล่งอก พึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้น เสียงเคาะดังมาจากประตูห้อง
“โอลัวร์?” ลูเมี่ยนเกร็งตัวทันที กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่น่าอภิรมย์
“ฉันเอง” เสียงโอลัวร์ดังเข้ามาด้านใน
ลูเมี่ยนกลิ้งออกจากเตียง รีบเดินตัวปลิวไปที่ประตู มือเลื่อนไปคว้าที่จับแล้วดึงเข้าหาตัว
ไม่ผิดจากที่คิด ด้านนอกมีโอลัวร์ยืนอยู่ สวมชุดนอนผ้าไหมสีขาว เรือนผมสีบลอนด์ทิ้งน้ำหนักไปตามแผ่นหลัง
“เป็นยังไงบ้าง?” ราวกับหญิงสาวมั่นใจว่าลูเมี่ยนเพิ่งตื่น
ฝ่ายหลังไม่ปิดบัง เล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้โอลัวร์ฟัง
ฝั่งพี่สาวผงกหัวในท่าครุ่นคิด
“ไพ่ใบนั้นนำพาไปสู่ฝันรู้ตัวสินะ…”
หญิงสาวถาม
“คิดจะทำยังไงต่อ?”
ลูเมี่ยน ‘หืม’ ในลำคอ
“หาอะไรกินแล้วไปหาผู้หญิงคนนั้น ดูว่าจะได้ข้อมูลจากเธอเพิ่มไหม รวมถึงสืบหาเจตนาของเธอ”
“อาฮะ” โอลัวร์ไม่คัดค้าน
เพียงเสริม
“ฝันที่นายเล่ามา…ฉันจะเขียนไปถามเพื่อนๆ เพื่อค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะตัดทอนรายละเอียดบางอย่างออก ยังไม่เล่าทั้งหมดในคราวเดียว…หลักการ ‘ค่อยเป็นค่อยไป’ คือสิ่งที่ฉันสอนนายกับมือ ยังจำได้น่า”
“แล้วก็…เวลาคุยกับผู้หญิงคนนั้น อย่าทำตัวก้าวร้าวนัก เป็นมิตรให้มากที่สุด เราไม่ได้กลัวเธอ เพียงแต่การเพิ่มหนึ่งมิตรดีกว่าการเพิ่มหนึ่งศัตรู”
“ไม่มีปัญหา” ลูเมี่ยนรับปากเสียงขรึม
…
หมู่บ้านกอร์ตู ร้านเหล้าคร่ำครึ
เมื่อเข้าใกล้เคาน์เตอร์บาร์ ลูเมี่ยนถามมอริส·เบเนต์ เจ้าของร้านเหล้าผู้ควบตำแหน่งบาร์เทนเดอร์
“ห้องชั้นบนน่ะ…ผู้หญิงต่างถิ่นพักอยู่ห้องไหน”
ร้านเหล้าคร่ำครึยังทำหน้าที่เป็นโรงแรมแห่งเดียวในหมู่บ้าน บนชั้นสองมีห้องพักจำนวนหกห้อง
มอริส·เบเนต์ไม่อ้วนไม่สูง ผมสีดำ นัยน์ตาสีฟ้าเฉกเช่นชาวบ้านส่วนใหญ่ จุดเด่นคือจมูกที่แดงโร่ตลอดเวลา เป็นผลพวงจากการดื่มหนัก
เขาคือญาติห่างๆ กับหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์
“ถามทำไม?” มอริส·เบเนต์ย้อนถามด้วยความสงสัย “คิดว่าหญิงงามจากมหานคร จะชายตามองเด็กบ้านนอกอย่างแกหรือไง?”
ใบหน้าเผยความอยากรู้อยากเห็นเสียเต็มประดา คงอยากขุดคุ้ยความสัมพันธ์อันไม่ปกติระหว่างชายหญิง
“นายเองก็เป็นคนบ้านนอกไร้หัวนอนปลายเท้าเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?” ลูเมี่ยนเยาะเย้ย แล้วจึงกุเหตุผล “เมื่อคืนผู้หญิงคนนั้นทำของหาย ฉันหาเจอเมื่อเช้า ก็เลยจะเอาไปคืน”
“พูดจริง?” มอริส·เบเนต์กังขาในความน่าเชื่อถือของลูเมี่ยน
เด็กคนนี้เล่าสิบเรื่อง เป็นเท็จแปดเรื่อง
“ถ้าไม่จริงแล้วจะเป็นอะไรได้อีก? ฉันจะบากหน้าไปหาผู้หญิงที่ไม่เหลียวแลฉันทำไม” ลูเมี่ยนยอกย้อนอย่างมั่นใจ
“ก็จริง…” มอริส·เบเนต์ยอมแพ้ “เธออยู่ในห้องใกล้ลานจัตุรัส ตรงข้ามกับห้องน้ำ”
ขณะมองดูลูเมี่ยนเดินขึ้นบันได เจ้าของร้านเช็ดแก้วพลางพึมพำ
“ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้สักหน่อย…บางครั้งคนเราก็อยากลองอะไรใหม่ๆ …”
เสียงพึมพำดังจนได้ยินไปถึงหูลูเมี่ยน
…
บนชั้นสองของร้านเหล้า ลูเมี่ยนพบห้องน้ำแห่งเดียวบนทางเดินมืดสลัว พลอยสังเกตเห็นประตูไม้สีแดงฝั่งตรงข้ามที่ด้ามจับทำจากทองเหลือง
ด้ามจับมีป้ายกระดาษสีขาวแขวนไว้
เขียนเป็นภาษาอินทิสว่า
“กำลังพักผ่อน”
“ห้ามรบกวน”
ลูเมี่ยนก้มอ่านอยู่หลายวินาที ไม่รีบร้อนเคาะประตู เพียงก้าวถอยหลังมาพิงกำแพง
เขาตัดสินใจรอให้อีกฝ่ายออกมาเอง
ชีวิตที่ต้องเตร็ดเตร่เร่ร่อนในอดีตช่วยสั่งสอน ว่าเมื่อโอกาสมาถึง คนเราต้องเด็ดขาดและแน่วแน่ ต้องคว้าไว้ให้ได้โดยไม่ลังเล ห้ามคิดเยอะ ห้ามกลัวเสียหน้า ห้ามหวาดหวั่นหรือทำตัวขี้เกรงใจ ไม่อย่างนั้นโอกาสจะหลุดมือ ต้องกลับเข้าสู่วัฏจักรอันน่าเวทนาเช่นเดิม และในยามที่โอกาสยังมาไม่ถึง ความอดทน พากเพียร และยับยั้งชั่งใจ คือสิ่งจำเป็นระหว่างรอ แม้จะน่าอึดอัดอยู่บ้างก็ตาม
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ลูเมี่ยนยังคงยืนที่เดิมโดยไม่กระสับกระส่าย
หากมีใครผ่านไปผ่านมา คงเข้าใจว่าเขาเป็นรูปปั้น เพราะมือเท้าไม่ขยับเลยสักกระผีก
ในท้ายที่สุด ประตูห้องเปิดแง้มออกมา
หญิงสาวสวมกระโปรงสีเขียวอ่อนขอบขาว เรือนผมสีน้ำตาลมัดหางม้าหลวมๆ
เธอใช้นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนเหลือบมองลูเมี่ยนหนึ่งอึดใจ ก่อนจะก้มมองป้ายกระดาษที่แขวนไว้กับด้ามจับประตู แล้วจึงยิ้ม
“รอนานแค่ไหนเนี่ย?”
หญิงสาวดูจะไม่ประหลาดใจที่ลูเมี่ยนยืนรอ
เด็กหนุ่มเดินหนึ่งก้าว แล้วจึงพูด
“นั่นไม่สำคัญ”
เขาพยายามเก๊กเสียงขรึม ไม่เผยความร้อนรน
“อยากจะถามอะไรล่ะ” หญิงสาวตรงเข้าประเด็น
“คุยกันตรงนี้?” ลูเมี่ยนกวาดสายตา
หญิงสาวตอบพลางยิ้ม
“ถ้าเธอไม่ติด ฉันก็ไม่”
อันที่จริง ลูเมี่ยนสืบมาแล้วว่าไรอัน ลีอา และคนอื่นๆ ซึ่งควรจะพักอยู่ที่นี่ด้วยกัน ตอนนี้ออกไปข้างนอก
บนชั้นสองของร้านเหล้า นอกจากตนกับหญิงสาวตรงหน้าก็ไม่มีใครอยู่อีก
เด็กหนุ่มเรียบเรียงคำพูด ก่อนจะถาม
“ความลับที่ซ่อนอยู่ในฝันคืออะไร”
หญิงสาวหัวเราะร่วน
“เธอต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง ไม่ใช่มาถามฉัน”
สตรีปริศนาเสริมหลังจากเว้นวรรค
“ฉันบอกได้เพียงว่า หากเป็นในนั้น เธอสามารถเข้าถึงพลังวิเศษได้บางส่วน”
พลังวิเศษ…ลูเมี่ยนใจเต้นแรงในทีแรก ก่อนจะถามด้วยความคลางแคลง
“ได้พลังวิเศษในความฝัน…? แล้วจะมีประโยชน์อะไร…”
“ไม่ส่งผลกับความเป็นจริงสักหน่อย”
หญิงสาวยิ้ม
“ในโลกของผู้วิเศษ ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้”
“หรือว่า…มันจะส่งผล?”
พลังวิเศษที่เราดิ้นรนขวนขวาย เข้ามาหาในรูปแบบนี้สินะ…ลูเมี่ยนเงียบไป
หญิงสาวทำหน้าขรึม พลางพูดเสริมด้วยเสียงขึงขัง
“ขอเตือนเอาไว้ก่อน…ที่นั่นเต็มไปด้วยอันตราย การตายในนั้นจะเท่ากับเสียชีวิต”
หากเกิดอุบัติเหตุในความฝัน จะทำให้ตายในชีวิตจริงด้วย? ลูเมี่ยนยังไม่เข้าใจ แต่เลือกที่จะเชื่อ
ประการแรก ความฝันหมอกสีเทาที่สร้างปัญหาให้ตนมาหลายปี คือสิ่งพิเศษอย่างไม่ต้องสงสัย ประการที่สอง โอลัวร์พี่สาวของตนคอยกำชับให้รอบคอบอยู่เสมอ ต้องมองปัญหาให้น่ากลัวกว่าที่เป็น มองผลกระทบให้น่ากลัวกว่าที่คิด ห้ามประมาทหรือคิดน้อยเด็ดขาด
ผ่านไปสักพัก เขาถาม
“แล้วถ้าฉันไม่สำรวจล่ะ…มันจะเกิดอะไรขึ้น?”
“ในทางทฤษฎี มันไม่ควรจะมีผลกระทบ…ไม่มีใครบังคับเธอได้” หญิงสาวทำท่าครุ่นคิด “แต่มันอาจเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ก็ได้ หากเกิดการเปลี่ยนลง สถานการณ์มีแนวโน้มว่าจะเลวร้ายลงมากกว่าดีขึ้น”
“อัตราส่วนเท่าไร?” ลูเมี่ยนซักไซ้ “…เก้าต่อหนึ่ง?”
“ไม่ใช่…คงสัก 99.99 ต่อ 0.01” หญิงสาวเสริมด้วยใบหน้าจริงจัง “แต่นั่นเป็นแค่การประเมินของฉัน จะไม่เชื่อก็ได้นะ”
ลูเมี่ยนสองจิตสองใจทันที ความคิดมากมายหมุนวนอยู่ในหัว
“เรารู้สึกมาสักพักแล้ว…ฝันนั่นมีแต่จะยิ่งอันตรายขึ้น การเพิกเฉยคงเป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาด…”
“แต่ถ้าสำรวจแบบไม่มีความรู้ โอกาสเกิดอุบัติเหตุย่อมสูงมาก…”
“รอให้โอลัวร์รวบรวมข้อมูลจากเพื่อนเสร็จก่อน ค่อยลองสำรวจดีไหม?”
“แต่ถ้าทำแบบนั้น โอลัวร์คงไม่ยอมให้เราสำรวจความฝันเพื่อไขว่คว้าพลังวิเศษแน่…”
“แต่เราก็ขุดคุ้ยตำนานเพราะอยากได้พลังวิเศษอยู่แล้วนี่…”
“มันอันตรายเกินไป…ในกรณีเลวร้ายอาจถึงตาย…”
“หรือว่าสำรวจแค่รอบๆ ซากปรักหักพังไปก่อน? ยังไม่ต้องเสี่ยงเข้าไปลึก…ถือเป็นการรวบรวมข้อมูลไปในตัว…”
“อา…เราเล่าบทสนทนาเมื่อครู่ให้โอลัวร์ฟังได้ แต่ห้ามเอ่ยถึงโอกาสในการได้รับพลังวิเศษ…”
เมื่อได้ข้อสรุป ลูเมี่ยนมองหน้าสตรีฝั่งตรงข้าม แล้วจึงถามเสียงขรึม
“คุณเป็นใครกันแน่?”
“ทำไมถึงมอบไพ่ทาโรต์ให้ฉัน? รวมถึงโอกาสในการสำรวจความฝันด้วย…”
หญิงสาวยิ้มอ่อน
“ไว้ไขปริศนาความฝันได้เมื่อไร ฉันค่อยบอกนะ”