ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 61 คำนิยาม
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 61 คำนิยาม
ตอนที่ 61 คำนิยาม
ได้ยินคำพูดของมาดามตรงหน้า ลูเมี่ยนรู้สึกเห็นด้วย
อาจต่างออกไปในกรณีของลำดับสูงๆ แต่จากประสบการณ์ที่เคย ‘ปะทะ’ กับสัตว์ประหลาด ‘ปาก’ หมุนวนก้นหอย ภัยคุกคามจากมันไม่มากเท่าสัตว์ประหลาดสะพายปืนล่าสัตว์
ส่วนหนึ่งคงเพราะเขากลายเป็นผู้วิเศษแล้ว เก่งกาจศึกระยะประชิดกว่าเดิมมาก อีกทั้งยังใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อม แต่ปัจจัยที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ พันธสัญญาที่สัตว์ประหลาดตัวนั้นถืออยู่
ขีดความสามารถในการไล่ล่าที่ค่อนข้างต่ำ ซ้ำยังขาดรูปแบบการโจมตีระยะไกล และความสามารถในการ ‘ล่องหน’ ก็มิได้ไร้เทียมทานนัก ถูกเอาชนะง่ายๆ ด้วยการใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อม และการเก็บรายละเอียดของนักล่า
เหนือสิ่งอื่นใด มันยังประสบปัญหาเดียวกับสัตว์ประหลาดทั่วไป นั่นคือการมีสติปัญญาค่อนข้างต่ำ แตกต่างจากสัตว์ประหลาดสะพายปืนล่าสัตว์ที่มีกึ๋นการต่อสู้ สัตว์ประหลาด ‘ปาก’ ถูกล่อเข้ากับดักอย่างง่ายดาย
เมื่อผนวกปัจจัยทั้งหมดเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์จึงคาดเดาได้ไม่ยาก จนถึงก่อนหน้านี้ ลูเมี่ยนไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะมีลำดับเทียบเท่า 7
ไม่แม้แต่จะนำไปเปรียบกับสัตว์ประหลาดสะพายปืนล่าสัตว์ด้วยซ้ำ เพราะมองว่าช่องว่างระหว่างพวกมันกว้างเกินไป
ฝีมือ สมอง การเตรียมตัว การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สภาพแวดล้อม… มีหลายปัจจัยที่หลอมรวมกันเป็นผลลัพธ์ของการต่อสู้… ลูเมี่ยนได้ข้อสรุปในใจ พลางถามอย่างกระตือรือร้นแต่ไม่ได้คาดหวังมากนัก
“ฉันสามารถขอพลัง ‘ผู้ถือพันธสัญญา’ โดยตรงได้เลยไหม?”
มาดามยิ้มๆ
“เป็นวิธีฆ่าตัวตายที่ดีทีเดียว”
หญิงสาวอธิบายผ่านๆ
“ทางทฤษฎีแล้วเป็นไปได้ เพราะพลังที่ถูกผนึกไว้ในตัวเธอ มีปริมาณมากกว่าลำดับที่ 7”
“แต่เธอคิดว่าร่างกายจะทนรับ ‘พร’ ระดับนั้นในคราวเดียวได้หรือ? ไม่สิ ฉันควรต้องเรียกมันว่ามลพิษ…”
“แต่แน่นอน ถ้าเธอมองว่าการกลายเป็นสัตว์ประหลาด กลายเป็นหุ่นเชิดของการดำรงอยู่นั่น หรือการกลายพันธุ์เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น คือสิ่งที่สามารถทำใจยอมรับได้ จะลองดูก็ไม่เสียหาย…”
“หึ… ไม่นานหลังจากนั้น ฉันคงได้เห็นเธอเชือดพี่สาวตัวเองเพื่อนำไปเป็นเครื่องเซ่น”
ลูเมี่ยนพลันขนลุก แผ่นหลังเย็นเยียบจากคำพูดของมาดาม จนไม่กล้าคิดเรื่องการ ‘เลื่อนลำดับข้ามขั้น’ อีกต่อไป
เด็กหนุ่มเรียบเรียงคำพูดก่อนถาม
“หรือสรุปได้ว่า… ‘พร’ ชิ้นใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันรับไหวในตอนนี้คือ ‘นักเต้น’ ?”
“ถูกต้อง นั่นคือเหตุผลที่ฉันรอให้เธอกลายเป็นผู้วิเศษก่อน เริ่มย่อยโอสถก่อน จึงค่อยเล่าให้ฟัง” มาดามกล่าว พลางจิบเครื่องดื่มสีเขียว “มีแต่ต้องรอให้พลังวิญญาณและร่างกายถูกพัฒนาไปถึงระดับหนึ่งก่อน เธอจึงจะรับมือกับมลพิษที่มาพร้อมกับพรไหว สามารถเปลี่ยนมันเป็นพลังของตัวเอง”
“รอจนกระทั่ง ‘กายวิญญาณ’ และ ‘กายปัญญา’ ของเธอพัฒนาได้ที่ และร่างกายชินกับการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่แฝงมากับพร ถึงตอนนั้นค่อยคิดเรื่องการยกระดับไปเป็น ‘ภิกษุบิณฑบาต’”
สำหรับลูเมี่ยนแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือการเรียนท่า ‘เต้นพิศวง’ เพื่อกระตุ้นสัญลักษณ์หนามที่ไม่สมบูรณ์ หากทำสำเร็จ นั่นจะช่วยเพิ่มขีดจำกัดในการสำรวจแดนซากปรักหักพังในความฝันได้มาก ดังนั้น เด็กหนุ่มตัดสินใจยังไม่ไปคิดถึง ‘ภิกษุบิณฑบาต’ หรือ ‘ผู้ถือพันธสัญญา’ เพียงพยักหน้าเบาๆ พลางด้วยท่าทีจริงจัง
“แล้วต้องขอพรยังไง?”
ลูเมี่ยนทำพิธีกรรมทวิภาคเป็นแล้ว แต่ยังไม่รู้จักพระนามของอีกฝ่าย รวมถึงขอบเขตอำนาจ หรือวัตถุดิบที่เกี่ยวข้อง
“แฮ่ม” มาดามกระแอมแห้งอย่างอดไม่ได้
จากนั้น เธอพูดเสียงขรึม
“สิ่งที่กำลังจะบอกต่อไปนี้ ออกจากปากฉัน เข้าหูเธอ ห้ามเอาไปเล่าต่อเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย”
ออกจากปากฉัน เข้าหูเธอ… ประโยคที่โอลัวร์ชอบเขียน… มาดามเคยอ่านนิยายสักเล่มของพี่หรือ? ลูเมี่ยนตอบด้วยท่าทีเคารพ
“ตกลง”
เขาคิดสักพัก แล้วจึงถาม
“…สิ่งที่ฉันกำลังจะได้ยิน มันจะไม่สร้างปัญหาให้ฉันใช่ไหม?”
มาดามจิบอัปแซ็งต์แอนีซสองสามคำ กล่าวยิ้มๆ
ลูเมี่ยนผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มมองหน้าอกซ้ายตัวเอง
มาดามจึงหัวเราะเบาๆ
“อันที่จริง เธอต้องถูกปนเปื้อนอย่างหนักไปแล้ว โชคดีที่รอยประทับของพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ถูกกระตุ้น จนพลังที่สอดคล้องกันช่วยคุ้มครองร่างเธอ ต้นตอของมลพิษจึงถูกผนึกไว้ เกิดเป็นสมดุลภายในร่างกาย”
“และในอนาคตอันใกล้ เธอจะต้องประกอบพิธีกรรม เผชิญหน้ากับพลังภายในผนึก ขอพรจากตัวตนซ่อนเร้น นั่นเท่ากับเป็นการ ‘อาสา’ รับมลพิษไว้ในระดับหนึ่ง”
“หลังจากได้ฟังเรื่องพวกนี้แล้ว ยังกังวลกับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อยู่อีกไหม?”
ทำไมยิ่งฟังยิ่งรู้สึกถึงวิกฤติ… ลูเมี่ยนชักเริ่มไม่มั่นใจ
มาดามส่ายหน้าพลางยิ้ม
“ไม่ต้องห่วง ระหว่างที่ฉันบอกคาถากับเธอ จะช่วยจัดเตรียมสภาพแวดล้อมอันลึกลับและมีความปลอดภัยสูงให้… หลังจากนั้น ถ้าพร้อมประกอบพิธีกรรมเมื่อใด เธอต้องเข้าไปในแดนซากปรักหักพังความฝัน เพราะในนั้นมีหมอกสีเทา มีการคุ้มครองจากพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ ช่วยอำพรางจากสายตาของตัวตนซ่อนเร้น”
“แล้วก็… หากยังไม่ประกอบพิธีกรรม เธอต้องแบ่งคำนิยามออกเป็นหลายๆ ส่วนแล้วค่อยท่องจำ พยายามอย่าไปนึกรวมกัน ไม่เช่นนั้น หึ…”
หญิงสาวหัวเราะในลำคอ มิได้เอ่ยถึงผลลัพธ์ แต่ลูเมี่ยนพอจะจินตนาการตามได้
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่มีคำถาม มาดามผงกศีรษะแผ่วเบา
“มาเริ่มกันเถอะ”
“ส่วนแรกคือ ‘ข้าแต่อำนาจแห่งชะตากรรมเอ๋ย…’”
“เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะมุ่งเป้าไปหาสัญลักษณ์หนามสีดำบนตัวเธอ ชื่อเต็มของตัวตนดังกล่าวมิใช่สิ่งที่เธอในตอนนี้ควรทำความเข้าใจ กระทั่งฉันเอง หากจะนึกถึงอีกฝ่าย ก็ยังต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นความลับเตรียมไว้ก่อน”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ลูเมี่ยนพบว่าแสงรอบตัวดูสลัวลงเล็กน้อย แต่ก็มิได้ชัดเจนขนาดนั้น
เพียงพริบตา มาดามทำหน้าสำรวม กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ส่วนที่สองก็คือ”
“ท่านผู้เป็นอดีต เป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต…”
“ท่านผู้เป็นเหตุ เป็นผล เป็นกระบวนการ…”
เมื่อคำพูดค่อยๆ พรั่งพรูจากปากหญิงสาว ลูเมี่ยนพบว่าศีรษะของตนเริ่มวิงเวียน รอบตัวคล้ายกับมีสายลมสีดำกำลังหมุนวน
บนโต๊ะที่วางแก้วอัปแซ็งต์แอนีซ พื้นผิวสีน้ำตาลเริ่มกระดุกกระดิกราวกับมีชีวิต
ตามมาด้วยเสียง ‘เป๊าะ’
หนอนสีดำที่ยาวราวๆ นิ้วชี้ผู้ใหญ่คลานออกจากผิวโต๊ะ กลิ่นอายชั่วร้ายแพร่กระจายเต็มพิกัด
ลูเมี่ยนยังไม่ทันเห็นชัดถนัดตา ว่าหนอนสีดำนั่นรูปลักษณ์เป็นเช่นไร แก้วที่บรรจุของเหลวสีเขียวของมาดามตรงหน้าก็ถูกกระแทกลง กดทับสิ่งมีชีวิตประหลาดนั่น เปลี่ยนมันให้กลายเป็นกล้วยทับ
มาดามหยิบผ้าเช็ดหน้าที่มีลวดลายออกมา เช็ดก้นแก้วพร้อมกับห่อซากของหนอนสีดำ
เธอจิบอัปแซ็งต์แอนีซต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พลางย้ำเตือน
“จงจำไว้ว่า ส่วนแรกและส่วนที่สองต้องท่องด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ ภาษาคนยักษ์ ภาษามังกร หรือภาษาเอลฟ์ก็ได้”
เหมือนกับที่คำว่า ‘ตัวข้า’ ในพิธีกรรมขอพรตัวเอง ไม่สามารถใช้ภาษาเฮอร์มิสได้สินะ… ลูเมี่ยนพยักหน้าเป็นนัยว่าเข้าใจ
เด็กหนุ่มมีนิสัยกล้าหาญชาญชัยมาแต่ไหนแต่ไร ทว่า การได้พบเจอเหตุการณ์พิศวงไม่หยุดหย่อนระหว่างบทสนทนา ทำให้เขาเริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง ความกลัวกัดกินจิตใจทีละเล็กละน้อย หัวใจเริ่มเต้นถี่ แต่ในทางกลับกัน มาดามลึกลับทำราวกับพวกมันเป็นเพียงสิ่งแปลกปลอมในจานอาหาร ยังคงกล่าวต่อไปอย่างมั่นคง
“ส่วนที่สาม สามารถใช้ภาษาเฮอร์มิสได้ ใจความก็คือ”
“ข้าขอวิงวอนต่อท่าน”
“ข้าขอวิงวอนพระกรุณาจากท่าน”
“ข้าขอวิงวอนพลัง ‘นักเต้น’ จากท่าน”
“จงจำเอาไว้ว่า สามประโยคนี้เป็นความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องกัน”
คำพูดเมื่อสักครู่ของมาดามมิได้ทำให้สภาพแวดล้อมแปรเปลี่ยน เหตุการณ์ผิดปกติที่สร้างความไม่สบายใจและหวาดหวั่น ค่อยๆ สงบลงตามลำดับ
ลูเมี่ยนจำจนขึ้นใจ ทำตามคำแนะนำของมาดามอย่างเคร่งครัด ด้วยการท่องจำแบบสลับลำดับ กลับหน้ากลับหลัง เพื่อเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
หญิงสาวดื่มอัปแซ็งต์แอนีซที่เหลือ ลิ้มรสอย่างพึงพอใจก่อนจะกล่าว
“ส่วนถัดไปก็เหมือนกับอาคมพิธีกรรมตามปกติ”
“วัตถุดิบในพิธีประกอบด้วยอำพันสีเทา ทิวลิป กานพลู และมัสก์ (ไขกวางชะมด) เลือกสองอย่างเพื่อทำเป็นเทียน อีกสองอย่างใช้เป็นสมุนไพร น้ำมันหอมระเหย หรือสารสกัดเกสรดอกไม้ระหว่างพิธี”
ลูเมี่ยนนึกทบทวนขั้นตอนพิธีกรรมทวิภาคที่เคยร่ำเรียน ไม่นานก็ขมวดคิ้วถาม
“วัตถุใกล้ชิดกับเทพต้องวางไว้ในตำแหน่งเทพใช่ไหม… แต่สัญลักษณ์หนามของฉันอยู่บนหน้าอก ต้องถลกหนังออกมา? แต่ทำแบบนั้นจะมีประโยชน์จริงหรือ”
นั่นเพราะพลังจากสัญลักษณ์ ถูกผนึกไว้ในหัวใจและวิญญาณของเขา
หญิงสาวผงกศีรษะรับ
“ลืมไปแล้วหรือ เมื่อครู่ฉันบอกให้ทำเทียน”
“ระหว่างทำเทียน ให้นำเลือดจากหน้าอกออกมาประมาณห้ามิลลิลิตร มากหรือน้อยกว่านั้นได้ สุดท้ายเลือดเหล่านี้จะถูกผสมเข้ากับวัตถุดิบอื่น กลายเป็นส่วนหนึ่งของเทียน”
“ระหว่างพิธี ให้วางเทียนเล่มนั้นลงบนตำแหน่ง ‘เทพ’ ใช้แค่เล่มเดียวพอ”
“เนื่องจากมีเลือดของเธอเป็นส่วนผสม เมื่อเทียนถูก ‘ปลุก’ ด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ มันจะกลายเป็นสัญลักษณ์ ที่จะชี้เข้าหาตัวเธอเอง จากนั้นก็ท่องคำนิยามตามที่สอนไป เพื่อกระตุ้นให้พลังที่ผนึกอยู่ในสัญลักษณ์ ถูกปลดปล่อยออกมาบางส่วน”
อีกแขนงหนึ่งของพิธีกรรมทวิภาคสินะ… โอลัวร์ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย คงเป็นศาสตร์ที่คนรู้น้อยมาก… ลูเมี่ยนไตร่ตรอง ผ่านไปสักพักจึงถาม
“ใช้น้ำหอมที่มีส่วนผสมของอำพันสีเทาแทนได้ไหม”
เด็กหนุ่มจำได้ว่าพี่สาวของตนมี โดยอีกฝ่ายชอบเรียกอำพันสีเทาว่า ‘ไขปลาวาฬ’
“ใช้แทนน้ำมันหอมระเหยได้” มาดามผงกหัว
จบปัญหาอำพันสีเทาแล้ว และที่บ้านก็มีกานพลู… ลูเมี่ยนเริ่มมองหาสถานที่รวบรวมทิวลิปกับมัสก์
ใคร่ครวญอยู่สักพัก เขานึกถึงสถานที่สามแห่งที่น่าจะมี
หนึ่ง ถามเอาจากพี่สาว โอลัวร์เป็น ‘จอมเวท’ อาจมีวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องเตรียมไว้บ้าง
สอง ในจวนเจ้าหน้าที่ปกครอง และสาม ในบ้านของหลวงพ่ออธิการโบสถ์
ลูเมี่ยนได้ข้อสรุปแล้วว่า ตนจะแจ้งเรื่องการทำพิธีกรรมให้พี่สาวทราบ เพราะอย่างไรเสีย เขาต้องรบกวนให้โอลัวร์ช่วยแปลคำนิยามเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณและเฮอร์มิส จึงถือโอกาสไถ่ถามไปพร้อมกัน ว่าพอจะมีวัตถุดิบอีกสองชนิดบ้างไหม
หากไม่มี ค่อยพิจารณาที่อื่น
เมื่อเห็นมาดามเตรียมจะกลับ ลูเมี่ยนรีบถามทิ้งท้าย
“สัตว์คล้าย ‘กิ้งก่า’ ที่คลานออกจากปากของรองอธิการโบสถ์คือตัวอะไร?”
หญิงสาวยิ้มๆ ขณะลุกขึ้นยืน
“ฉันอธิบายให้เธอฟังไม่ได้”
แค่พูดว่า ‘บอกไม่ได้’ ก็พอแล้วไหม… ลูเมี่ยนฝืนข่มสีหน้ามิให้แปรเปลี่ยน
หลังจากมาดามเดินออกไป เด็กหนุ่มหยิบกระดาษกับปากกาที่พกติดตัว จดบันทึกเกี่ยวกับพิธีกรรมด้วยลำดับที่ผิด แต่เขียนตัวเลขกำกับลำดับที่ถูกต้องเอาไว้
…
ออกจากร้านเหล้าคร่ำครึ ลูเมี่ยนเริ่มตามหาสามคนต่างถิ่นในหมู่บ้าน
เดินไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊ง
ลูเมี่ยนพลันยิ้มแย้ม เร่งฝีเท้าก้าวไปหาที่มาของเสียง จนกระทั่งพบกับลีอาที่ติดกระดิ่งสองใบบนหมวกคลุมหน้า อีกสองใบที่รองเท้าบูต รวมถึงไรอันที่สวมหมวกโบว์เลอร์สีเข้ม และวาเลนไทน์ที่โรยแป้งบนผม
เด็กหนุ่มเตรียมกางแขนตะโกนว่า ‘กะหล่ำปลีของฉัน คิดถึงจังเลย’ แต่ก็นึกขึ้นได้ทันว่า ในวัฏจักรนี้ยังไม่เคยพบเจอกันมาก่อน
ลูเมี่ยนรีบใช้มือขยี้ใบหน้า เปลี่ยนแววตาเป็นเคร่งขรึมจริงจัง
จากนั้น เด็กหนุ่มตรงไปทางพวกไรอัน และเมื่อกำลังจะเดินผ่าน ก็แอบพูดโดยหรี่เสียงลง
“ฉันรู้ว่าพวกคุณกำลังตามหาใคร”
ไรอัน ลีอา และวาเลนไทน์พลันชะงักฝีเท้า เหล่ชำเลืองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าประหลาดใจ
แต่ลูเมี่ยนไม่หยุดเดิน ยังคงก้าวผ่านไป เดินต่อไปเรื่อยๆ
สามคนต่างถิ่นมองหน้ากันสักพัก แล้วรีบสลัดสีหน้ามีพิรุธ แอบเดินตามเด็กหนุ่มไปโดยไม่ให้สะดุดตาคนรอบข้าง
……………………………………………………..