ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 66 เปลเด็ก
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 66 เปลเด็ก
ตอนที่ 66 เปลเด็ก
ลีอามองดูผู้ชายในรูป แล้วพูดพลางครุ่นคิด
“หลังจากได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือ เราออกเดินทางล่าช้าไปสองวันเพราะต้องรวบรวมข้อมูล…”
“ชื่อเต็มของคุณนายปัวริส คือปัวริส·เดอ·โร้คฟอร์ใช่ไหม?”
หญิงสาวเว้นวรรคสักพักแล้วจึงกล่าวต่อ
“เราลองตรวจสอบตระกูลโร้คฟอร์ในเขตดาลีแอชแล้ว แต่พบว่าไม่มีคนชื่อปัวริส”
ในอินทิส หญิงที่สมรสไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นนามสกุลสามี โดยเฉพาะหากมีคำว่า ‘เดอ’ ซึ่งหมายถึงตระกูลใหญ่ในอดีต
‘เดอ’ ในภาษาอินทิสหมายถึง ‘มาจาก’ และนามสกุลที่ต่อท้ายหมายถึงเขตศักดินาเก่า
“ไม่มี?” ลูเมี่ยนรู้สึกประหลาดใจ
เขารู้ว่าคุณนายปัวริสมีปัญหา แถมยังเป็นปัญหาใหญ่ แต่ไม่คิดว่ากระทั่งตัวตนก็อาจเป็นของปลอม!
ไรอันพยักหน้า
“ในดาลีแอช โร้คฟอร์เป็นตระกูลใหญ่ที่มีสมาชิกมากมาย บานคนเป็นถึงสภาแคว้น เราเองก็ค่อนข้างรีบและมีเวลาตรวจสอบไม่มากนัก ยืนยันได้เพียงว่าไม่มีใครชื่อปัวริส แต่มีผู้ชายชื่อ ‘พูลิต’ ซึ่งหายตัวไปนานกว่าหนึ่งปีแล้ว”
“พูลิต?” ลูเมี่ยนถามด้วยความสงสัย “เขาเป็นอะไรกับคุณนายปัวริส? หน้าตาคล้ายกันมากทีเดียว”
ไรอันส่ายหน้า
“มีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะคาดเดา…”
“สิ่งที่เราทราบก็คือ พูลิต·เดอ·โร้คฟอร์เชื่อใน ‘ลัทธิแดนดี้ (Dandy)’ ที่ได้รับความนิยมมากในกรุงทรีอาร์ เป็นต้นเหตุที่ทำให้อัตราการเกิดของลูกนอกสมรสเพิ่มขึ้นมาก… เขาถูกผู้คนชิงชังและรังเกียจ นั่นคงเป็นสาเหตุที่ต้องออกจากหรือถูกเนรเทศจากดาลีแอช”
“ลัทธิแดนดี้?” ลูเมี่ยนไม่คุ้นเคยกับคำนี้เลย
นิตยสารและหนังสือที่โอลัวร์สมัครเป็นสมาชิก ส่วนใหญ่เล่าถึงกระแสนิยมของผู้หญิง หรือไม่ก็เหตุการณ์สำคัญระดับชาติ หนึ่งในนั้นมีหนังสือศาสตร์เร้นลับปะปนอยู่เล่มสองเล่ม แทบไม่มีการเอ่ยถึงกระแสนิยมของผู้ชาย
“อธิบายง่ายๆ ก็คือ พวกหนุ่มเจ้าชู้ที่แต่งตัวล้ำยุคสุดโต่ง พูดจาไพเราะ แต่สำส่อน”
“ชาวทรีอาร์นี่เอาเรื่องเหมือนกันนะ เล่นนำการนอกใจคู่สมรสมาก่อตั้งลัทธิจนเกิดเป็นกระแส” ลูเมี่ยนจิกกัดพลางถอนหายใจ
หากพูดถึงการนอกใจคู่สมรส คงไม่มีใครเกินชาวทรีอาร์อีกแล้ว กระทั่งหลวงพ่ออธิการโบสถ์นักรักก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อยหากนำไปเทียบกับชาวทรีอาร์
…
“ในปีที่ผ่านมา มีการสร้าง ‘อาเขต (Arcade)’ หลายแห่งในกรุงทรีอาร์” ในบ้านสองชั้นครึ่งรวมใต้ดินหลังหนึ่ง โอลัวร์จิบชาดำมาร์ควิส พลางพูดคุยกับคุณนายปัวริสและพวกนาไรซาเกี่ยวกับกระแสนิยมในช่วงหลัง “อาเขตคืออะไรน่ะหรือ… มันคือการปิดซอย ด้านบนสร้างซุ้มโค้งแล้วติดกระจกใส บนพื้นทางเดินปูหินอ่อนทับ สองฝั่งเต็มไปด้วยร้านรวงหรูหราเรียงราย ระหว่างวันอาศัยแสงสว่างจากกระจกด้านบน ตอนกลางคืนเปิดตะเกียงแก๊ส ห้ามรถม้าวิ่งเข้าไป อาเขตที่โด่งดังที่สุดคืออาเขตโรงละคร…”
คุณนายปัวริสถือถ้วยเซรามิกสีขาวบรรจุชาดำ นัยน์ตาสีน้ำตาลสดใสมองโอลัวร์อย่างไม่ละสายตา คอยฟังเรื่องราวด้วยรอยยิ้ม
“น่าไปเที่ยวจัง…” นาไรซากล่าวด้วยสีหน้าประทับใจ
เรื่องเล่าดังกล่าวทำให้คนฟังรู้สึกถึงความสง่างาม ทันสมัย สะอาด และสว่างไสว
การได้ฟังกระแสนิยมล่าสุดของอินทิสจากปากโอลัวร์ เป็นเหตุผลหลักที่ทั้งสองเต็มใจมาดื่มชามื้อบ่ายตามคำเชิญ
หลังจากคุยกันสักพัก หัวข้อก็เปลี่ยนไปยังผลงานของโอลัวร์ โดยเน้นในด้านความรัก
“ความรักคือสิ่งที่ยากจะหยั่งรู้ ยากจะเข้าใจ…” คุณนายปัวริสดูจะอ่อนไหวกับเรื่องนี้
นั่นคือสาเหตุที่คุณมอบความรักให้ผู้ชายหลายๆ คนในเวลาเดียวกัน? โอลัวร์อดจิกกัดไม่ได้
คุณนายปัวริสมองดูอีกฝ่าย อมยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดพลางถอนใจ
“บางครั้งก็โกรธที่อีกฝ่ายทำผิดพลาด จนอยากจะฆ่าด้วยการส่งไปตาย แต่พอคนคนนั้นใกล้จะตายจริงๆ ก็เกิดใจอ่อนขึ้นมา สุดท้ายก็ต้องเข้าไปช่วยโดยที่ไม่เปิดเผยความจริง… บางที นี่อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่าความรักก็ได้…”
…
ในห้องนอนเจ้าบ้าน ณ จวนเจ้าหน้าที่ปกครอง
“บางที คุณนายปัวริสอาจเคยตกหลุมรักพูลิต จนเกิดเป็นความสัมพันธ์ต้องห้าม ครอบครัวจึงปฏิเสธการพูดถึงเธออีก จำใจต้องแต่งงานกับใครสักคน และใช้สายสัมพันธ์ของตระกูลเพื่อให้อีกฝ่ายได้รับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ปกครองหมู่บ้านกอร์ตู” ลูเมี่ยนตั้งสมมติฐานโดยอาศัยเส้นเรื่องจากนิยายของพี่สาว
สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่ปกครองถึงมีสถานะในบ้านต่ำต้อยกว่าภรรยา
“ก็อาจเป็นได้” ไรอันตอบสั้นๆ แล้วออกคำสั่ง “ค้นหากันต่อ แต่อย่าพยายามเปิดตู้นิรภัยหรืออะไรทำนองนั้น เพื่อไม่ให้สัญญาณเตือนดัง”
พวกลูเมี่ยนแยกย้ายกันค้นหาในห้องทันที
แม้จะอาศัยความสามารถของนักล่า เพื่อสังเกตร่องรอยละเอียดอ่อน แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย
พวกลีอาก็เช่นกัน
สุดท้ายก็ต้องย้ายไปค้นหาห้องอื่นๆ อย่างห้องหนังสือด้วยความใจเย็น
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป ทั้งสี่มารวมตัวกันที่สุดเขตทางเดิน เบื้องหน้าเป็นห้องปิดมิดชิด ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องอาบแดดที่เปิดประตูทิ้งไว้ ข้างๆ เป็นบันไดที่นำไปสู่หอคอย
หลังจากรื้อค้นห้องอาบแดดเสร็จ ไรอันหันมามองลีอา
ลีอายกมือมาจับกระดิ่งใบเล็กที่แขวนบนหมวกตาข่าย พึมพำกับตัวเองพลางเดินไปทางประตูไม้ที่ปิดสนิทฝั่งตรงข้าม
คราวนี้กระดิ่งทั้งสี่ไม่ดัง
หญิงสาวถอนหายใจด้วยสีหน้าโล่งอก จับที่จับแล้วผลักประตูไม้อย่างเบามือ
ด้านในค่อนข้างโล่ง กลางห้องมีเปลเด็ก
เปลเด็กทำจากไม้สีน้ำตาล ถูกติดตั้งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างไม้ ในเปลปูด้วยผ้าห่อตัวสีขาวที่ทำจากฝ้าย ดูสะอาดสะอ้านแต่ค่อนข้างเก่า นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไร
สมมติว่านี่คือห้องเลี้ยงเด็กที่ลูกสองคนของคุณนายปัวริสเคยใช้ แต่นอกจากเตียงนอนก็ไม่มีของเล่นอื่นใด มีเพียงข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวเปลือก ข้าวเจ้า ข้าวไรย์ และข้าวโอ๊ตกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ซึ่งดูผิดแผกแหวกแนวอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น เมล็ดข้าวเหล่านี้ยังค่อนข้างใหม่ คล้ายกับเพิ่งถูกนำเข้ามาไม่กี่วันก่อน
ร่างวาเลนไทน์เริ่มส่องแสง เขาเดินเข้าไปในห้องแล้ววนเป็นวงกลม
ไม่นานก็กลับมาที่ประตู ส่ายหัวให้กับไรอันและลีอา
“ไม่มีกลิ่นอายความชั่วร้าย”
“อาฮะ” ลีอามองไปทางลูเมี่ยน “ไปหอคอยต่อไหม?”
ลูเมี่ยนสนใจสองหอคอยบนปราสาทมานานแล้ว และไม่คิดว่าวันนี้จะมีโอกาสได้ ‘เยี่ยมชม’
หลังจากวาเลนไทน์เดินออกจากห้องเด็กแปลกประหลาด ไรอันจับที่จับและเตรียมปิดห้องให้กลับสู่สภาพเดิม
ทันใดนั้น ลูเมี่ยนมองกลับเข้าไปในห้องโดยไม่ได้ตั้งใจ
เปลเด็กที่ทำจากไม้สีน้ำตาลกำลังสั่นเบาๆ!
ทว่า หน้าต่างในห้องดังกล่าว กับหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานในห้องอาบแดดฝั่งตรงข้ามยังคงปิดสนิท และไม่มีลมพัดเข้ามาในโถงทางเดิน!
“นั่น…” รูม่านตาลูเมี่ยนพลันเบิกกว้าง
เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติของเด็กหนุ่ม ลีอาลองมองตามไป
เปลเด็กยังคงแกว่งไกวแผ่วเบา ราวกับมีทารกล่องหนไร้รูปร่างกำลังนอนอยู่บนผ้าปูสีขาว
อาศัยความเคยชิน ลีอายกมือขวาขึ้นมากดหว่างคิ้ว ราวกับต้องการบรรเทาความเมื่อยล้าของดวงตา
หญิงสาวเตรียมเปิดเนตรวิญญาณเพื่อดูว่าในเปลมีอะไร
ทันใดนั้น กระดิ่งเงินเล็กๆ สี่ใบบนหมวกคลุมหน้าและรองเท้า รัวระงมส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งอย่างเกรี้ยวกราดราวกับใกล้จะระเบิด!
ไรอันหน้าตึงทันที แล้วรีบคำรามต่ำ
“ออกจากที่นี่!”
ขณะพูด เขาวิ่งสองก้าวเข้าไปในห้องอาบแดด พลางหันสีข้างกระแทกใส่หน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน
เขาเตรียมจะเปิดทางลัดเพื่อหนีออกจากปราสาท!
โครม!
ไรอันชนเข้ากับหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน แต่กลับไม่มีเสียงกระจกแตก
ผิวหน้าของทุกคนซีดเซียวอมเขียว ชวนให้สยองพองเกล้าอย่างอธิบายไม่ได้
หลังจากถูกไรอัน ‘ชน’ เด็กๆ เริ่มอ้าปากร้อง ‘อุแว๊’
พร้อมกันกับเสียงร้อง ชั้นสามของปราสาทพลันมืดสลัว ใบหน้าโปร่งใสของเด็กเล็กทยอยปรากฏขึ้นบนผนังและกระจกบานต่างๆ
บางคนร้องไห้กระจองอแง บางคนเหล่มองลูเมี่ยน ลีอา วาเลนไทน์ และไรอันด้วยแววตาเฉยเมย
เพียงถูกจดจ้อง ลูเมี่ยนรับรู้ได้ว่าร่างกายกำลังเย็นเฉียบ ตัวสั่นอย่างไม่อาจหักห้าม หัวใจเต็มไปด้วยอารมณ์ที่เรียกว่าหวาดกลัว
วินาทีถัดมา แสงสีทองเข้มสว่างขึ้นจากตัววาเลนไทน์
แสงนี้มีลักษณะคล้ายน้ำ แผ่กระเพื่อมรอบตัวเป็นวงแหวน ปกคลุมลูเมี่ยน ลีอา และวาเลนไทน์อย่างรวดเร็ว
ตามมาด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน อาการหนาวสั่นในร่างกายลูเมี่ยนพลันมลายหาย
เด็กหนุ่มหยุดตัวสั่น หัวใจเต็มไปด้วยความอาจหาญ พลางดึงขวานเหล็กดำออกมา
ในเวลาเดียวกัน ไรอันคล้ายกับดูสูงใหญ่กะทันหัน เสื้อผ้าเริ่มตึงปริ
แสงรุ่งอรุณจางๆ แผ่ออกจากร่างกายเขา ไม่นานก็ควบแน่นกลายเป็นชุดเกราะสีเงินวาว ขณะเดียวกันก็มีดาบแสงเล่มใหญ่สว่างขึ้นจากฝ่ามือ
ไรอันยกดาบสูง ฟันใส่หน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดานตรงหน้าด้วยท่วงท่าคล้ายยักษา
ใบหน้าสีขาวอมเขียวของเด็กๆ ต่างส่งร้องระงมอย่างเป็นทุกข์ ไม่นานก็กลายเป็นควันสีเขียวอ่อนด้วยฤทธิ์ของดาบแสง
ทว่า กระจกหน้าต่างกลับยังไม่แตก แถมยังจะเพิ่มจำนวนใบหน้าโปร่งใสที่โผล่มาทรมานหูกับหัวใจของพวกลูเมี่ยนด้วยเสียงร้องแหลมลึก
“ใครบังอาจบุกรุกปราสาท?”
เสียงสูงๆ ของสตรีดังสะท้อนกังวาน
แทบจะในเวลาเดียวกัน ลูเมี่ยนเห็นร่างหนึ่งปรากฏตัวที่หน้าบันไดอีกฟากหนึ่งของโถงทางเดิน
เป็นสตรีในวัยสี่สิบ ผมและนัยน์ตาสีน้ำตาล มีริ้วรอยไม่มากนัก มิใช่ใครนอกจากคนที่เคยช่วย ‘ทำคลอด’ ให้ลูอิส·ลุนด์
ยามนี้เธออยู่ในชุดกระโปรงยาวสีเทาขาว ถือกรรไกรเล่มยักษ์ชนิดที่ตัดหัวคนขาด ประหนึ่งว่าเพิ่งกลับจากการตัดแต่งกิ่งไม้ในสวน
เธอถลึงตาจ้องพวกลูเมี่ยน พลางกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“พวกแกต้องตาย!”
…
ในบ้านสองชั้นครึ่งรวมใต้ดิน
คุณนายปัวริสพลันผงะ สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
เธอวางถ้วยชาเซรามิกสีขาวในมือลงทันที ยิ้มแล้วพูดกับโอลัวร์
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ … ฉันนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องด่วนที่บ้าน คงต้องรีบกลับแล้ว”
“คะ?” โอลัวร์ดูตกใจ
ปัวริสยืนขึ้นพร้อมกับทำหน้าเสียดาย
“เดิมที ฉันวางแผนจะอยู่กับเธอต่อหลังจากชามื้อบ่าย คุยเกี่ยวกับผลงานของเธอ และความรักอันสดใสงดงามในนั้น”
“ยินดีค่ะ” โอลัวร์รีบตอบกลับ
“แต่คงไม่ได้แล้วล่ะ” คุณนายปัวริสส่ายหน้า “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับลูกๆ ของฉัน”
……………………………………………………..