ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 81 กุญแจสำคัญ
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 81 กุญแจสำคัญ
ตอนที่ 81 กุญแจสำคัญ
ริมแม่น้ำเล็กๆ อันคดเคี้ยวนอกหมู่บ้านกอร์ตู ภายใต้แสงอาทิตย์สว่างสดใส
โอลัวร์ในชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงิน นั่งอยู่บนพื้น ดวงตาปิดสนิท พลางรับฟังความเห็นและการคาดคะเนของลูเมี่ยน
หญิงสาวไม่พูดไม่จาเป็นเวลานาน ราวกับกำลังครุ่นคิด
ผ่านไปเกือบหนึ่งนาที โอลัวร์เริ่มพูดอย่างรอบคอบ
“หากเกิดเหตุไม่คาดฝันระหว่างพิธีกรรมในคืนที่สิบสองจริง จนทำให้พลังที่องค์ซ่อนเร้นประทานให้พวกหลวงพ่อกระจัดกระจาย กลายเป็นวัฏจักรเวลาปกคลุมหมู่บ้านกอร์ตูกับละแวกใกล้เคียง ฉันคิดว่าทุกคนที่อยู่ในขอบเขต ณ เวลานั้น แม้กระทั่งวิญญาณ ก็คงหนีไม่พ้น”
“พี่หมายความว่ายังไง” ลูเมี่ยนที่นั่งพื้นเช่นกัน ยังไม่ค่อยเข้าใจตรรกะของพี่สาว
โอลัวร์อธิบายอย่างละเอียด
“ความหมายของฉันก็คือ สิ่งนั้นเป็นทั้งพลังและมลพิษ เมื่อกระจายออกไป ทุกคนในขอบเขตจะได้รับมลพิษกันถ้วนหน้า มีเพียงกลุ่มคนที่ได้รับสัญลักษณ์หนามดำ กับผู้ได้รับพรจากตัวตนซ่อนเร้นองค์อื่นเท่านั้น จึงจะรอดมาได้โดยแทบไม่เป็นอะไร…”
“พอลองมานึกดู ตอนนั้นก็คงเหมือนกับเขื่อนแตก สายน้ำเชี่ยวกรากถมท่วมทั้งหมู่บ้านจนมิดหลังคา… เว้นแต่จะเตรียมเรือไว้ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นก็เลี่ยงการเปียกปอนไม่ได้”
ลูเมี่ยนลองนึกภาพตาม แล้วพูดด้วยสีหน้าลังเล
“หมายความว่า ทุกคนในหมู่บ้านถูกพลังที่กระจัดกระจายปนเปื้อนเข้า จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักร?”
คำว่า ‘ส่วนหนึ่ง’ ในความหมายของเด็กหนุ่ม มิใช่การ ‘เข้าร่วม’ หรือ ‘ได้รับผลกระทบ’ จากวัฏจักร แต่คือ ‘องค์ประกอบ’ ที่ก่อกำเนิดเป็นวัฏจักรเวลาขึ้นมา
โอลัวร์ผมสีทองมัดรวบ ผงกหัวรับแผ่วเบาในสภาพหลับตา
“ฉันสงสัยว่า ไม่ใช่แค่การฆ่าหลวงพ่อที่ทำให้วัฏจักรเริ่มต้นใหม่ แต่การฆ่าชาวบ้านคนอื่นๆ ก็คงทำให้เกิดผลลัพธ์คล้ายคลึงกัน… เมื่อหนึ่งในองค์ประกอบของวัฏจักรถูกทำลาย ย่อมเป็นธรรมดาที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงตอบโต้”
“แต่พวกเราเพิ่งฆ่าหมอตำแยไปเมื่อวานตอนบ่าย…” ลูเมี่ยนชะงักไปโดยไม่พูดให้จบประโยค
หลายสิ่งหลายอย่างกำลังแวบวาบเข้ามาในหัว ผ่านไปสักพักจึงพูดด้วยท่าทีลังเล
“หรือเป็นเพราะคนในปราสาทหลังนั้น…อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของอีกหนึ่งองค์ซ่อนเร้น?”
“และยังเป็นเหตุผลที่คุณนายปัวริสกล่าวว่า เธอสามารถออกจากวัฏจักรได้ในจุดเวลาที่กำหนด?”
“เธอไม่ได้ถูกพลังดังกล่าวปนเปื้อน ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของวัฏจักร เพียงแต่เป็นผู้ได้รับผลกระทบ จึงสามารถหลุดพ้นได้ด้วยการใช้ช่องโหว่หรือโอกาสบางอย่าง?”
โอลัวร์ตอบเสียงแผ่ว
“นั่นคงเป็นเหตุผลที่คุณนายปัวริสบอกว่าช่วยพวกเราไม่ได้ พาเราออกไปไม่ได้… เพราะพวกเราถูกปนเปื้อนแล้วยังไงล่ะ กลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งของวัฏจักร”
พูดถึงตรงนี้ หญิงสาวเผยรอยยิ้มขื่นขม
“หรือบางที… พวกเราอาจจะตายกันหมดแล้ว ตอนนี้ดำรงอยู่ได้ด้วยสถานะ ‘องค์ประกอบ’ ของวัฏจักรเท่านั้น…”
“เข้าใจแล้วว่าทำไมมาดามลึกลับถึงกล่าวว่า การฝืนทำลายวัฏจักรจะทำให้ทุกคนในหมู่บ้านต้องตาย… นั่นก็เพราะพวกเราที่ประกอบกันเป็นวัฏจักร จะถูกทำลายไปพร้อมกัน”
ลูเมี่ยนจมอยู่กับความเงียบงัน ใจหนึ่งก็อยากโต้แย้งพี่สาว โดยกล่าวว่ามันคงมิได้เลวร้ายถึงเพียงนั้น แต่การอนุมานของโอลัวร์ดันสอดคล้องกับคำพูดของมาดามลึกลับพอดิบพอดี
สิ่งที่เด็กหนุ่มเคยค้างคาใจมานานก็คือ ในเมื่อมาดามคนนั้นสามารถเข้าออกวัฏจักรได้อย่างอิสระ แถมยังกล้าเอ่ยนามขององค์ซ่อนเร้น ต่อให้เธอไม่สามารถทำลายวัฏจักรโดยไม่สร้างความเดือดร้อน แต่การจะปกป้องหรือพาสักคนสองคนออกจากวัฏจักรก็ไม่น่าจะยากเย็นอะไร
ตอนนี้เขาได้ทราบคำตอบแล้ว ซึ่งมันมาพร้อมความสิ้นหวังหดหู่
ผ่านไปไม่กี่วินาที ลูเมี่ยนเริ่มคิดหาคำโต้แย้ง
“เอวา แรมงด์ และนาโรคาต่างก็ตายไปแล้ว… แต่วัฏจักรก็ไม่ได้เริ่มใหม่”
โอลัวร์ที่ยังหลับตา ลองคาดเดาด้วยรอยยิ้มซับซ้อน
“บางที พวกเขาคงตายไปก่อนวัฏจักรจะเริ่ม จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมในคืนสิบสอง”
ความหมายของหญิงสาวไม่ซับซ้อน: ในเส้นเรื่องจริงก่อนจะเริ่มวัฏจักร นาโรคาตายก่อนวันมหาพรต เอวากับแรมงด์ถูกสังเวยในพิธีฉลองของวันมหาพรต ไม่มีใครไปถึงคืนที่สิบสอง ไม่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักร
หญิงสาวหยุดพักเล็กน้อยเพื่อครุ่นคิด แล้วจึงเสริม
“การหายตัวไปของฌ็อง·โมรีก็คงเหมือนกัน… ในเส้นเรื่องหลัก เขาคงค้นพบความผิดปกติหลังจากวันมหาพรต และคงพยายามจะหนีก่อนคืนที่สิบสอง ส่งผลให้ถูกฆ่าปิดปาก… การสืบสวนของพวกเราทำให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดก่อนกำหนด…”
“เรื่องที่ฉันไม่เข้าใจคือ ศพของแรมงด์ถูกสังเวยไปแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมเขาถึงยังมีชีวิตอยู่ในวัฏจักรรอบแรก…?”
ได้ฟังคำพูดพี่สาว ลูเมี่ยนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใต้โบสถ์
‘มนุษย์ล่องหน’ ที่สวมเสื้อคลุมสีดำ ถูกประกอบจากวิญญาณของพวกแรมงด์!
เมื่อนำมาผนวกกับความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับ เด็กหนุ่มลองคาดเดา
“บางที พิธีสังเวยของพวกมัน ที่ทำหลังจากพิธีฉลองในวันมหาพรต อาจไม่ได้มุ่งเป้าไปยังองค์ซ่อนเร้น แต่เป็นแท่นบูชาใต้โบสถ์ ซึ่งนั่นคงเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมใหญ่ในคืนที่สิบสอง ส่งผลให้วิญญาณของแรมงด์ยังอยู่ใต้โบสถ์…”
“ศพของเขาไม่ได้ถูกนำไปใช้ทำอะไร แต่ในเส้นเรื่องหลักก่อนเกิดวัฏจักร ปงส์·เบเนต์กับลิ่วล้อยังออกจากหมู่บ้านกอร์ตูได้อยู่ เพื่อป้องกันมิให้ชาวบ้านปลายแม่น้ำเจอศพแรมงด์แล้วไปแจ้งกับทางการ จนกระตุ้นให้เกิดการสืบสวน หลังจากทำพิธีกรรมเสร็จ พวกมันคงตามไปเก็บศพกลับมา…”
“แต่เมื่อวัฏจักรเริ่มขึ้น พลังที่รั่วไหลออกมาคงมีขีดจำกัด จึงไม่ครอบคลุมไปถึงบริเวณที่ปงส์·เบเนต์กับลิ่วล้อไปเก็บศพกลับมา และพวกมันที่ได้รับมลพิษ ก็ไม่คิดเรื่องการออกไปนอกเขต…”
โอลัวร์ไตร่ตรองดูสักพัก แล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ในทุกๆ วันของวัฏจักร ยกเว้นนายที่มีความทรงจำ สามคนต่างถิ่น และคุณนายปัวริสกับผู้ติดตาม ก็ไม่มีชาวบ้านคนใดคิดจะออกจากหมู่บ้านกอร์ตูเลย ไม่ว่าจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หรือไปเก็บผลไม้ป่า…”
“ถ้านายไม่มาเตือน ฉันคงจะลืมแล้วเหมือนกัน”
ถึงตรงนี้ โอลัวร์เผยรอยยิ้มขื่นขมปนถากถางตัวเอง
“พวกเราได้กลายเป็นกลุ่มของสัตว์ประหลาด ที่ดำรงอยู่ในฐานะมนุษย์ได้เพราะวัฏจักร”
“ไม่จริง! ต้องมีทางรอดออกไปแน่ มาดามคนนั้นพูดไว้อย่างชัดเจน!” ลูเมี่ยนขัดคอการรำพึงรำพันของพี่สาว
โอลัวร์ถอนหายใจช้าๆ
“เฮ้อ… พี่สาวของนายขอทำตัวอ่อนแอสักสองสามนาทีก็ไม่ได้หรือไง…”
แล้วจึงกล่าวต่อ
“อ้างอิงจากแนวคิดนี้… ก็ตามนั้นแหละ มีแต่พวกเราที่ช่วยเหลือตัวเองได้ หากฝืนทำลายวัฏจักรด้วยอำนาจจากภายนอก ทุกคนในนี้ก็ต้องตาย”
ลูเมี่ยนถอนหายใจสั้นๆ
“น่าเสียดาย ตอนนี้เรายังยืนยันสมมติฐานนี้ไม่ได้ ต้องรอให้ถึงคืนที่สิบสองเท่านั้น”
“ที่จริงก็ทดลองได้อยู่หรอก แต่มันจะเสียเวลา และเหนือสิ่งอื่นใด… ฉันทำไม่ลง” โอลัวร์ตอบ
ก็จริง… ลูเมี่ยนพอจะเข้าใจความนัยและ ‘การทดลอง’ ของพี่สาว
นั่นก็คือการฆ่าชาวบ้านที่อยู่นอกกลุ่มก๊วนหลวงพ่อ เพื่อดูว่าวัฏจักรจะเริ่มต้นใหม่หรือไม่ ถ้าเริ่มใหม่ ก็ลองหาโอกาสฆ่าหนึ่งในสามคนต่างถิ่นเพื่อดูว่าวัฏจักรเริ่มต้นใหม่หรือไม่ ถ้าไม่ ก็เท่ากับว่าสมมติฐานของโอลัวร์กับลูเมี่ยนเป็นความจริง — เกือบทุกคนในหมู่บ้านกอร์ตูถูกมลพิษปนเปื้อนจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักร ส่วนคนที่เพิ่งเข้ามาทีหลัง เป็นเพียงผู้ได้รับผลกระทบจากวัฏจักรเท่านั้น ยังมีโอกาสอาศัยช่องโหว่หรืออำนาจจากภายนอกเพื่อหลบหนีออกไป
แต่การทำแบบนั้นจะทำให้ช่วงเวลาหลายวันที่พวกตนอดทนผ่านมา กลายเป็นสูญเปล่าทันที และโอลัวร์ก็ไม่ใช่ประเภทที่ฆ่าคนบริสุทธิ์ได้ลงคอ โดยเฉพาะคนที่มีความสัมพันธ์อันดีด้วย
ในทางกลับกัน ลูเมี่ยนมิได้แน่วแน่ในศีลธรรมขนาดนั้น ตามความเห็นของเขา การตายในวัฏจักรมิใช่การตายอย่างแท้จริง อย่างมากก็ทำให้เกิดปัญหาในภายหลัง แต่ก็ดีกว่าการติดอยู่ในวัฏจักรตลอดไป
แน่นอน ถ้าเขาคิดจะ ‘ทดลอง’ จริงๆ ล่ะก็ คงไม่พยายามฆ่าหรือดักซุ่มเล่นงานพวกลีอาแน่นอน แต่จะนำข้อเท็จจริงไปอธิบายอย่างเปิดอก
หากคำนึงถึงศรัทธาอันแรงกล้าของวาเลนไทน์ ลูเมี่ยนค่อนข้างมั่นใจว่าตนสามารถ ‘โน้มน้าว’ ให้อีกฝ่ายฆ่าตัวตายได้
สองพี่น้องมองหน้ากัน ต่างคนต่างเงียบอยู่นาน ไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรต่อ
ผ่านไปสักพัก ลูเมี่ยนเปลี่ยนเรื่องคุย
“การจะทำลายวัฏจักรจากภายใน แค่ยุติวัฏจักรยังไม่เพียงพอ แต่ต้องหาวิธีขจัดสิ่งปนเปื้อนออกจากร่างกายของทุกคนด้วย ไม่อย่างนั้นจะต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย…”
“อา… จากการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเรา ระหว่างพิธีกรรมในคืนสิบสองเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ทำให้ทั้งหมู่บ้านต้องตกอยู่ในวัฏจักรเวลา… และต้นตอของอุบัติเหตุนั่น คือรอยประทับขององค์ผู้ยิ่งใหญ่บนตัวนาย ซึ่งพอถูกกระตุ้น มลพิษร้ายแรงในตัวนายได้ถูกผนึกไว้ในหัวใจ…”
ขณะกล่าว โอลัวร์เพ่งจ้องน้องชายหัวจรดเท้า
ลูเมี่ยนถึงบางอ้อทันที
“พี่กำลังจะบอกว่า กุญแจสำคัญในการทำลายวัฏจักร… คือฉัน?”
โอลัวร์พยักหน้ารับ
“นายคือต้นตอของอุบัติเหตุนั่น ดังนั้นแล้ว กุญแจในการทำลายวัฏจักรก็ต้องอยู่กับนาย…”
“แน่นอนว่านี่ยังเป็นเพียงการคาดเดา บางที กุญแจสำคัญของวัฏจักรอาจเป็น ‘ภาชนะ’ สำหรับบรรจุพลังขององค์ซ่อนเร้นในพิธีกรรมคืนที่สิบสอง เช่นหลวงพ่อหรือใครสักคน…”
อยู่ดีๆ โอลัวร์ก็เงียบไป มองน้องชายสองสามวินาทีแล้วจึงพูดต่อ
“หรือว่า… สมมติฐานทั้งสองข้อคือเรื่องเดียวกัน… นายก็คือภาชนะนั่น? ไม่อย่างนั้นแล้ว การเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของเครื่องสังเวย ต่อให้มีสิ่งผิดปกติอยู่บนตัวนาย มันก็ไม่สมควรถึงกับทำให้พิธีกรรมพังพินาศ จนพลังรั่วไหลออกมาอย่างไร้การควบคุม”
เอ่อ… ยิ่งลูเมี่ยนคิด ก็ยิ่งพบว่าสมมติฐานของพี่สาวมีเหตุมีผล
เด็กหนุ่มเริ่มพึมพำกับตัวเอง
“ดังนั้น สัญลักษณ์หนามดำของฉันจึงสีเข้มกว่าของหลวงพ่อ…”
“ดังนั้น หลวงพ่อจึงคลุ้มคลั่งในตอนที่พยายามจะฆ่าฉัน จนเป็นฝ่ายถูกฉันฆ่าแทน…”
“ดังนั้น มาดามลึกลับจึงไม่เคยเฉลยว่า กุญแจสำคัญที่ใช้ยุติวัฏจักรซ่อนอยู่ที่ใด เพียงบอกให้ฉันสำรวจซากปรักหักพังในความฝันเพื่อไขปริศนา…”
โอลัวร์ที่ตั้งใจฟัง เริ่มทำหน้ามีความหวัง
“ใช่แล้ว นั่นต้องเป็นคำใบ้แน่!”
“ซากปรักหักพังความฝันอาจเกิดจากมลพิษในร่างกายนาย หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง… นายจึงสามารถใช้สัญลักษณ์สนามสีดำข่มเหงสัตว์ประหลาดทุกตัวที่พบเจอ”
“และเมื่อใดที่นายไขปริศนาในนั้นได้ ก็อาจควบคุมและเปิดใช้พลังที่ถูกผนึกได้อย่างปลอดภัย สามารถช่วยทุกคนในหมู่บ้านขจัดมลพิษ จนวัฏจักรก็จะยุติลงตามธรรมชาติ…”
“ไม่ผิดแน่… บางที เรื่องพวกนี้อาจทำได้ในเวลาที่เฉพาะเจาะจงเท่านั้น อย่างเช่นระหว่างพิธีกรรมในคืนที่สิบสอง”
ลูเมี่ยนลุกพรวดพราดทันที
“ฉันจะกลับไปสำรวจความฝันเดี๋ยวนี้แหละ!”
“ไม่ต้องรีบ” โอลัวร์ใช้สองมือพยุงตัวยืนอย่างช้าๆ “นายบาดเจ็บมาไม่ใช่หรือ ควรไปพักสักหน่อยนะ”
ลูเมี่ยนตบหน้าอกตัวเองเบาๆ
“น้ำที่คุณนายปัวริสสาดใส่ฉัน ช่วยรักษาบาดแผลทั้งหมด พร้อมกับฟื้นฟูพลังวิญญาณจนกลับมาเต็มเปี่ยมแล้ว”
“เฮ้อ… สาคูมะม่วงส้มโอ… เจ้าแม่กวนอิมประทานบุตร…” โอลัวร์พึมพำ
“หือ?” ลูเมี่ยนไม่เข้าใจเลยสักคำ พี่สาวของตนกำลังพูดภาษาแปลกประหลาด
โอลัวร์ที่ยังหลับตา กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ
“ความหมายของฉันก็คือ รีบกลับบ้านไปกินอะไรดีๆ กัน พักสักงีบแล้วค่อยสำรวจความฝัน!”
……………………………………………………..