ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 83 เผชิญหน้ากะทันหัน
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 83 เผชิญหน้ากะทันหัน
ตอนที่ 83 เผชิญหน้ากะทันหัน
ฟู่… ลูเมี่ยนถอนหายใจ รวบรวมสติ สะพายปืนล่าสัตว์ เหน็บขวานไว้ด้านหลัง แล้วออกจากอาคารสองชั้นครึ่งร่วมใต้ดินที่อยู่ชายขอบทุ่งร้าง มุ่งหน้าไปยังซากปรักหักพังความฝัน
เดินผ่านทุ่งร้าง ลัดเลาะตามเส้นทางที่เคยสำรวจในครั้งก่อนๆ
เด็กหนุ่มเดินด้วยความระมัดระวัง ตรงผ่าเข้าไปในกลุ่มวงแหวนซากบ้าน ย่นระยะเข้าหา ‘ยอดเขา’ สีแดงเข้ม
หมอกแถวนี้หนาแน่นหนาทึบ ไม่มีวัชพืชขึ้นบนดิน โลกทั้งใบมืดมนหม่นหมอง
ผ่านไปสักพัก ลูเมี่ยนออกจากดินแดนที่คุ้นเคย ตรงเข้าสู่ส่วนลึกของซากปรักหักพัง
เขาคอยสังเกตสภาพแวดล้อมตลอดทาง แยกแยะร่องรอยต่างๆ พลางจินตนาการถึงการใช้สภาพแวดล้อมให้เกิดประโยชน์ในการต่อสู้
การเคลื่อนตัวจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า
ความระมัดระวังและความรอบคอบ คือหลักพื้นฐานของการล่าเสมอ
จนในที่สุด ลูเมี่ยนค้นพบรอยเท้าใหม่
เป็นรอยเท้าของมนุษย์ อยู่ใกล้กับริมขอบ ‘ถนน’ ถูกปกคลุมด้วยซากอาคารจนยากที่จะมองเห็น
“ชำนาญการซ่อนตัว… ลบร่องรอยได้ในระดับหนึ่ง…” ลูเมี่ยนตรวจสอบสักพัก แล้วสรุปเบื้องต้น
เด็กหนุ่มสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจคล้ายคลึงกับสัตว์ประหลาดปืนล่าสัตว์ และเชื่อมโยงไปหาเบาะแสเกี่ยวกับลำดับ 8 ของเส้นทางนักล่า
อ้างอิงจากประสบการณ์ส่วนตัว ผนวกกับข้อสันนิษฐานของโอลัวร์ ในซากปรักหักพังแห่งนี้น่าจะมีสัตว์ประหลาดอยู่สามประเภท
ประเภทแรก เป็นพวกที่ได้รับ ‘พร’ และไม่มีตะกอนพลัง อย่างเช่น ‘มนุษย์บะหมี่’ กับสัตว์ประหลาดปาก โดยพลังจะอยู่ในขอบเขตขององค์ซ่อนเร้นที่มีคำว่าชะตากรรมอยู่ในพระนามเต็ม
ประเภทที่สอง มีตะกอนพลัง และไม่มีพร อย่างเช่นสัตว์ประหลาดปืนล่าสัตว์ สามารถถูกสัญลักษณ์หนามสีดำบนหน้าอกลูเมี่ยนข่มขวัญ แสดงให้เห็นว่าอาจถูกองค์ซ่อนเร้นปนเปื้อนจนกลายเป็นสัตว์ประหลาด
ประเภทที่สาม ไม่มีทั้งพรหรือตะกอนพลัง คล้ายกับมนุษย์หรือสัตว์ทั่วไปที่ถูกปนเปื้อน อย่างเช่นสัตว์ประหลาดไร้ผิวหนังที่ลูเมี่ยนได้เจอเป็นตัวแรก
สำหรับคำถามที่ว่า มีสัตว์ประหลาดที่มีทั้งตะกอนพลังและพรพร้อมกันหรือไม่ โอลัวร์กับลูเมี่ยนเชื่อว่าคงมี แต่ก็ยังขาดหลักฐานรองรับ
ข้อมูลข้างต้นช่วยให้สรุปได้ว่า สัตว์ประหลาดที่มีจุดเด่นเหมือนกัน ‘นักล่า’ มีแนวโน้มสูงว่าจะพกพาตะกอนพลังติดตัว!
ระหว่างที่ตามรอยเท้าไป ลูเมี่ยนพบกับดักสองจุด ยิ่งช่วยสนับสนุนข้อสันนิษฐานของเขา
หากมิใช่เพราะเด็กหนุ่มรอบคอบและเป็น ‘นักล่า’ เช่นกัน เกรงว่าผู้ล่าอาจเปลี่ยนเป็นผู้ถูกล่า
ผ่านไปสักพัก ลูเมี่ยนพบว่ารอยเท้าเริ่มดูสดใหม่
สิ่งนี้บ่งบอกว่าถ้าเดินต่อไป มีโอกาสสูงทีเดียวที่จะได้พบเป้าหมาย
ลูเมี่ยนตัดสินใจไม่รีบร้อนเข้าไป ‘ทักทาย’ อีกฝ่าย เพียงอ้อมไปรอบๆ จนกระทั่งพบจุดแอบดีๆ
จากนั้นก็เริ่มเต้น
ท่ามกลางท่วงทำนองที่มองไม่เห็น เด็กหนุ่มย่ำเท้าอย่างแข็งแรงคมชัด สลับกับการหมุนตัวครึ่งวงกลมอย่างสุขุมนุ่มนวล สามารถลอกเลียนแบบการ ‘เต้นบวงสรวง’ ของมนุษย์บะหมี่
แม้จะยังไม่คล่องนัก ค่อนไปทางงุ่มง่ามด้วยซ้ำ แต่อาศัยความสามารถของนักเต้น ลูเมี่ยนเริ่มร้อนรุ่มตรงหน้าอก
หลังจากปลดกระดุมเสื้อเพื่อยืนยันว่าสัญลักษณ์หนามสีดำกลับมาปรากฏ ลูเมี่ยนปีนซากบ้านที่พังไปกึ่งหนึ่ง แล้วเข้าไปหลบในจุดซ่อนที่เล็งเตรียมไว้
เด็กหนุ่มรีบมองไปยังจุดไกลๆ และพบใครบางคนกำลังขุดกับดักอยู่
อีกฝ่ายคือ ‘คน’ ไม่ผิดแน่ เพียงแต่ดำเกรียมไปทั้งตัว บนผิวหนังยังมีเปลวไฟสีแดงลุกโชนอยู่ ดูแล้วคงไม่ดับง่ายๆ
นี่มัน… ‘นักวางเพลิง’ ไม่ใช่หรือไง… จับปลาใหญ่ได้แล้ว! ลูเมี่ยนยินดีปรีดา แต่ก็ไม่สุด
เขาดีใจที่ได้พบกับวัตถุดิบหลักของโอสถลำดับ 8 ‘นักยั่วยุ’ แต่ก็ผิดหวังที่คู่ต่อสู้แข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้มาก
‘นักวางเพลิง’ คือลำดับ 7 ของเส้นทางนักล่า จากคำบอกเล่าของโอลัวร์ มันเป็นลำดับที่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ชื่อโบราณของโอสถนี้คือ ‘จอมอาคมอัคคี’
เดิมที ลูเมี่ยนเชื่อว่าด้วย ‘สามประสาน’ ของตน ซึ่งประกอบด้วยพลัง ‘นักล่า’ ‘นักเต้น’ และสัญลักษณ์หนามดำ ขอเพียงไม่ประมาท การล่าสัตว์ประหลาด ‘นักยั่วยุ’ ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขาไม่มีความมั่นใจแบบนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าลำดับ 7 นักวางเพลิง
ตราบใดที่สัตว์ประหลาดตัวนี้เอาแต่โจมตีจากระยะไกล มันก็คงไม่มีทางอ่อนแอลงเพราะสัญลักษณ์หนามดำ!
หลังจากไตร่ตรองอยู่สักพัก ลูเมี่ยนตัดสินใจถอยก่อน
จำเป็นต้องกลับไปคิดแผนให้รอบคอบพร้อมกับวางกับดักล่วงหน้า จึงค่อยลงมือล่าสัตว์ประหลาดผู้ใช้ไฟตัวนี้
แนวคิดแรกก็คือ ย้อนกลับไปที่บ้าน แล้ว ‘ระบำอัญเชิญ’ เพื่อดึงดูดสิ่งแปลกๆ จากบริเวณใกล้เคียงเข้ามา ดูว่า ‘จิตตกค้าง’ ของสัตว์ประหลาดปากจะส่งผลกระทบรุนแรงเพียงใด
หากไม่รุนแรงมาก เขาจะยืมพลังจากอีกฝ่าย เช่นพลัง ‘ล่องหน’
สำหรับคำถามที่ว่า หลังจากถูกสิงสู่แล้วจะมีผลข้างเคียงหรือไม่ และจิตตกค้างดังกล่าวจะยินยอมออกจากร่างเองหรือไม่ ลูเมี่ยนไม่กังวลนัก
ยังไงเสีย ที่นี่ก็คือแดนซากปรักหักพังความฝัน ตราบเท่าที่ยังไม่ตาย และสามารถกลับสู่โลกความจริงไปพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทุกสิ่งก็สามารถเยียวยาให้หายขาด
เพียงลูเมี่ยนเริ่มขยับตัว สัตว์ประหลาดเปลวไฟพลันยกศีรษะ มองมาทางเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าไหม้เกรียมกับดวงตาปูดโปน
“เวรเอ๊ย!” ลูเมี่ยนอุทานในใจ และไม่มัวพิรี้พิไรไต่ลงไป เขารีบกระโดดพรวดออกจากหลังกำบัง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ลูกไฟยักษ์สีแดงพุ่งชนจุดที่เด็กหนุ่มเคยหลบซ่อน ระเบิดอิฐและหินจนกระจัดกระจายไปพร้อมกับเปลวไฟ
ด้วยความที่ลูเมี่ยนรีบร้อนกระโดดหลบ ร่างกายที่ลอยเคว้งกลางอากาศจึงแทบไม่ถูกจัดระเบียบ เมื่อตกถึงพื้นต้องรีบม้วนตัวกลิ้งเพื่อลดแรงกระแทก
หากมิใช่เพราะความยืดหยุ่นอันเหนือธรรมดาที่นักเต้นนำพามาให้ กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นคงถูกทำลายจากท่วงท่าสุดพิสดารนี้แล้ว
จนกระทั่งลูเมี่ยนยืนขึ้นอีกครั้ง สัตว์ประหลาดไฟย้ายมาอยู่บนซากอาคารหลังหนึ่ง รอบตัวมีกลุ่มอีกาสีแดงที่ควบแน่นจากไฟลอยอยู่
ได้เห็นฉากดังกล่าว เขารู้สึกเหมือนถูกกองทหารล้อมไว้ ทุกสิ่งที่มองเห็นล้วนเป็นดังปากกระบอกปืน
เด็กหนุ่มไม่มัวลังเล เลือกพุ่งชนมากกว่าวิ่งหนี ซอยเท้าปรี่ไปยังซากอาคารหลังที่สัตว์ประหลาดไฟกำลังยืนอยู่
เขาทราบดีว่าในสถานการณ์แบบนี้ หนทางเดียวที่จะพลิกจากผู้แพ้เป็นชนะ คือการพึ่งพาสัญลักษณ์หนามสีดำบนหน้าอก
และนั่นจำเป็นต้องเข้าไปใกล้ๆ!
กึกกึกกึก!
ขณะลูเมี่ยนวิ่งอย่างบ้าคลั่ง กว่าครึ่งของอีกาไฟพุ่งลงมาจากด้านบน กระแทกพื้นดินในตำแหน่งด้านหลังเด็กหนุ่ม ก่อกำเนิดคลื่นความร้อนพุ่งสูงพร้อมกับแรงระเบิดลูกโซ่
‘สายตา’ ของอีกาไฟที่เหลือเปลี่ยนทิศทางทันที ต่างติดตรึงอยู่กับเป้าหมายที่กำลังวิ่ง
ในเวลาเดียวกัน ลูเมี่ยนมาถึงชั้นล่างของซากอาคาร โดยอยู่ห่างจากสัตว์ประหลาดไฟไม่ถึงห้าเมตรหากขีดเส้นตรงวัด
เพียงพริบตาเดียว สัตว์ประหลาดเจ้าของร่างกายไหม้เกรียมและมีเปลวไฟลุกโชน พลันชะงักงันแน่นิ่ง อีกาไฟที่ลอยอยู่รอบตัวพลันมลายหาย
ได้ผล! ขณะลูเมี่ยนยินดีปรีดา สัตว์ประหลาดไฟหันหลังกลับ กระโดดลงทางอีกฝั่งของซากอาคารพร้อมกับเผ่นหนี
“เฮ้ย! อย่าหนีสิวะ!” ลูเมี่ยนร้องตะโกนตามความเคยชิน
พลางวิ่งอ้อมซากบ้านตรงหน้า ไล่ล่าสัตว์ประหลาดไฟอย่างเอาเป็นเอาตาย
หลังจากไล่ไปประมาณสองช่วงตึก อีกฝ่ายวิ่งเร็วมากจนคลาดสายตาลูเมี่ยนไป
ระหว่างนั้น ความรู้สึกร้อนรุ่มบนหน้าอกก็เลือนลับไปเช่นกัน
เด็กหนุ่มตัดสินใจหยุดพักเหนื่อย เตรียมไล่ตามรอยเท้าไป พลางหลบเลี่ยงกับดัก
ขณะกำลังยืนหายใจหอบกระเส่า สายตาของเขาที่กวาดไปรอบๆ มีอันต้องชะงักงัน
ไม่ไกลจากฝั่งด้านข้างลำตัว ร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงประตูซากอาคาร
ร่างดังกล่าวสวมชุดคลุมยาวสีดำแบบมีฮู้ด ภายนอกดูไม่ต่างจากมนุษย์ ยกเว้นเรื่องที่มีสามใบหน้าบนศีรษะ
ใบหน้าตรงกลางเป็นของชายชรา ดวงตาขุ่นมัว คิ้วบาง เต็มไปด้วยริ้วรอย
ใบหน้าฝั่งซ้ายเป็นของชายฉกรรจ์ โครงหน้าชัดลึก นัยน์ตาสีฟ้าสดใส หนวดเคราดกดำรกทึบ
ใบหน้าฝั่งขวาดูคล้ายเด็กอายุไม่ถึงห้าขวบ ผิวหนังอ่อนนุ่ม ดวงตาสีฟ้าไร้เดียงสา
สัตว์ประหลาดสามหน้า! สัตว์ประหลาดสามหน้าตัวนั้น! ลูเมี่ยนหวาดผวาจากก้นบึ้งจิตใจ
เพราะตนไล่ล่าสัตว์ประหลาดเปลวไฟนั่น จึงถลำลึกเข้ามาในซากปรักหักพัง จนได้พานพบกับสัตว์ประหลาดสามหน้าในระยะใกล้!
หลังจากกลายเป็นนักเต้นและสามารถเต้นระบำบวงสรวง เพื่อเรียกสัญลักษณ์หนามดำบนหน้าอกออกมาได้ดังใจ ลูเมี่ยนไม่เคยคิดจะนำมาทดลองกับสัตว์ประหลาดสามหน้าแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากมั่นใจว่าอีกฝ่ายคือตัวอันตรายอย่างยิ่งยวด มาดามลึกลับยังเคยบอกใบ้เป็นนัยว่าอีกฝ่ายมีฐานะสูงส่ง ต่อให้อ่อนแอลงเพราะสัญลักษณ์หนามดำ ก็ยังฆ่า ‘นักล่า’ ผู้เปราะบางได้ไม่ยากเย็น
ดังนั้น แผนของลูเมี่ยนจึงเป็นการเลี่ยงถิ่นของสัตว์ประหลาดสามหน้าไปก่อน หมั่นฝึกซ้อมกับสัตว์ประหลาดตัวอื่น เพื่อกะเกณฑ์ว่าสัญลักษณ์หนามดำที่แสดงแบบครึ่งๆ กลางๆ จะส่งอิทธิพลแบบใดบ้างกับสัตว์ประหลาดที่แตกต่างกัน จากนั้นค่อยตกผลึกไตร่ตรองว่าควรล่าสัตว์ประหลาดสามหน้าเมื่อไร หรือไม่ต้องไปยุ่งกับมันเลย
ใครจะไปคิดว่า อีกฝ่ายจะออกจาก ‘ถิ่น’ มาไกลถึงตรงนี้ จนบังเอิญเจอกับลูเมี่ยน!
เต้นระบำขอขมาได้ไหม…? ขณะลูเมี่ยนพึมพำด้วยสมองอันปั่นป่วน พลางก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ
ณ ประตูของซากบ้านหลังนั้น สัตว์ประหลาดสามหน้าที่สวมชุดคลุมยาวสีดำ ก็ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เมื่อลูเมี่ยนหันหลังกลับ
สัตว์ประหลาดสามหน้าก็หันหลังกลับ
ลูเมี่ยนเผ่นหนีอย่างบ้าคลั่ง
สัตว์ประหลาดสามหน้าก็เผ่นหนีอย่างบ้าคลั่ง
ทีแรกลูเมี่ยนคิดจะทิ้งระยะห่างเพื่อหาโอกาสเต้น แต่ผ่านไปได้เพียงสี่ซ้าห้าก้าว ก็ชะลอฝีเท้าเนื่องจากเอะใจในความผิดปกติ
เด็กหนุ่มหยุดวิ่ง หันหลังกลับไปมองคู่กรณี แล้วก็ได้เห็นสัตว์ประหลาดสามหน้ากำลังเผ่นหนี
“…” ลูเมี่ยนตกใจจนทำได้เพียงยืนอึ้ง
ผ่านไปสักพัก เขาเริ่มเข้าใจบางสิ่ง จึงยกมือขึ้นมาลูบคลำใบหน้า พลางพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา
“นี่เราน่ากลัวขนาดนั้นเลย?”
พฤติกรรมเมื่อสักครู่ของสัตว์ประหลาดสามหน้า ช่วยให้หวนนึกถึงการพบกันครั้งแรก
ณ ตอนนั้น เด็กหนุ่มที่แอบชะโงกมองสัตว์ประหลาดสามหน้า รีบร้อนซ่อนตัวด้วยท่าทีหวาดผวา พลางสวดวิงวอนถึงองค์สุริยันเจิดจรัสให้ช่วยบังตาอีกฝ่าย
โดยหลังจากนั้น สัตว์ประหลาดสามหน้าหันกลับมามองจุดที่ลูเมี่ยนซ่อนตัวอยู่ แต่กลับทำตัวเหมือนมองไม่เห็นสิ่งใด เพียงเป็นฝ่ายถอยห่างออกไปเอง
แต่ความจริงแล้ว… ตอนนั้นองค์สุริยันเจิดจรัสมิได้ปกป้องเรา หรือไม่ใช่ว่าเราโชคดี เพียงแต่สัตว์ประหลาดสามหน้าสัมผัสถึง ‘ความพิเศษ’ ในตัวเราได้ จนเกิดกลัวหัวหดไปเอง? ลูเมี่ยนพยักหน้าครุ่นคิดพลางตั้งสมมติฐาน
“ในแดนซากปรักหักพังความฝัน สัตว์ประหลาดที่มีฐานะสูงถึงระดับหนึ่ง สามารถตรวจจับความพิเศษของเราได้โดยไม่ต้องกระตุ้นสัญลักษณ์หนามดำให้อยู่ในสภาพกึ่งทำงาน?”
……………………………………………………..