ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 87 ปลดปล่อย
- Home
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 87 ปลดปล่อย
ตอนที่ 87 ปลดปล่อย
โอลัวร์ถือจานเนื้อแกะ เดินไปที่โต๊ะอาหารพลางเปิดปากพูด
“ฉันไม่แน่ใจว่าในสถานการณ์แบบนั้นสามารถ ‘สั่ง’ ได้ไหม เพราะฉันไม่ใช่นักเต้น ไม่มีความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับที่เกี่ยวข้อง แต่จะลองดูก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
“ก็จริง” ลูเมี่ยนรับไม้ต่อหน้าเตาด้วยท่าทีอารมณ์ดี พร้อมกล่าว “อย่างมากก็แค่มีแผลเพิ่ม เลือดไหลนิดหน่อย นอนหลับตื่นมาก็หายแล้ว… แล้วพี่คิดว่าคนยักษ์สามหัวบนยอดเขานั่นคือตัวอะไร? เกี่ยวข้องยังไงกับองค์ซ่อนเร้นและมลพิษในร่างกายฉัน?”
โอลัวร์วางจานลง หันกลับไปพูด
“ประเมินพี่สาวตัวเองสูงไปไหม? สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดแบบนั้น ฉันไม่เคยพบเจอหรือได้ยินมาก่อน”
ไม่รอให้ลูเมี่ยนตอบกลับ หญิงสาวกล่าวเสริมด้วยท่าทางครุ่นคิด
“แต่ในตำนานบ้านเกิดของฉัน มีอะไรที่คล้ายๆ กันอยู่เพียบเลย เช่นเทพหรือมารที่มีสามเศียรหกกร…”
เธอพูดต่อ
“อ้างอิงจากการคาดเดาของเรา ดินแดนความฝันมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับมลพิษในร่างกายนาย คนยักษ์นั่นก็อาจเป็นสิ่งที่สะท้อนจากองค์ซ่อนเร้นเช่นกัน…”
“นายเคยบอกว่า พระนามหรือคำนิยามของพระองค์ไม่เหมือนกับนิยามปกติ แต่ละท่อนจะมีสามช่วง สามรูปแบบของอำนาจและสัญลักษณ์ ก็เข้าใจได้ว่าทำไมถึงต้องมีสามเศียร… เหมือนกับสัตว์ประหลาดสามหน้าตัวนั้น ซึ่งเป็นตัวแทนสามช่วงอายุของมนุษย์…”
“ส่วนเหตุผลที่มันมีหกแขน และทำไมถึงนั่งอยู่บนยอดภูเขาสีเลือด ตอนนี้ยังมีข้อมูลไม่พอ คงยากที่จะคาดเดา”
“อา… ช่วงนี้เน้นไปที่การสำรวจ ‘กำแพงเมือง’ ดูก่อน อาจพบข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากแถวนั้นได้ไม่น้อย”
“ตกลง” ลูเมี่ยนทำตามที่พี่สาวสอน ใส่เส้นมันฝรั่งที่หั่นเตรียมไว้ลงในกระทะ แล้วทอดด้วยน้ำมัน
โอลัวร์ไม่สานต่อประเด็นเกี่ยวกับซากปรักหักพังความฝัน เพียงเปลี่ยนเรื่องพูดกับน้องชาย
“ระหว่างที่นายงีบไปช่วงบ่าย ฉันคิดอย่างจริงจังและตัดสินใจแล้วว่า… เราควรเชิญสามคนต่างถิ่นมาอยู่ด้วยกัน”
“ทำไมล่ะ?” ลูเมี่ยนถามอย่างงุนงง
โอลัวร์มองแผ่นหลังของน้องชายที่กำลังยุ่ง แล้วถอนหายใจแผ่วเบา
“ก่อนหน้านี้เราใช้ตรรกะของคนปกติในการคาดเดาท่าทีของหลวงพ่อ แต่อย่าลืมว่าฝั่งนั้นมีคนที่ได้รับ ‘พร’ ล่วงหน้ามาก่อน ซึ่งในอีกแง่หนึ่งก็คือการปนเปื้อน…”
“ตามที่มาดามลึกลับบอก ผลกระทบจาก ‘พร’ มุ่งเน้นไปที่ร่างกายและจิตใจ กล่าวคือ นอกจากพลังวิเศษที่ได้รับแล้ว บุคลิกก็อาจเปลี่ยนไปบ้าง และในกรณีที่รับมือไม่ไหว ยิ่งเป็นพรใหญ่เพียงใด การเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งชัดเจนและรุนแรง”
“ใช่” ลูเมี่ยนนึกถึงคำพูดมาดามลึกลับ
เธอบอกว่าหากร่างกายรับมือกับ ‘พร’ ไม่ไหว ผู้รับพรอาจกลายเป็นสัตว์ประหลาด หรือกลายเป็นหุ่นเชิดขององค์ซ่อนเร้น หรือเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไร้ความปรานีต่อสิ่งที่เคยหวงแหน
โอลัวร์พูดสรุป
“ดังนั้น มีความเป็นไปได้พอสมควรที่พวกคนเลี้ยงแกะปิแยร์·แบรี ซึ่งได้รับพรมาล่วงหน้า จะไม่สนใจแผนการของหลวงพ่อ และลงมือแก้แค้นอย่างบ้าคลั่ง”
“เราห้าคนอยู่ร่วมกัน ช่วยเหลือดูแลกัน โอกาสรอดชีวิตจนถึงคืนที่สิบสองก็ยิ่งเพิ่มขึ้น”
ลูเมี่ยนครุ่นคิดอยู่สักพัก ไม่นานก็คล้อยตามข้อเสนอของพี่สาว
จึงเปลี่ยนไปถามในประเด็นที่จับต้องได้มากขึ้น
“แล้วจะให้พวกเขาอยู่ที่ไหน… ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง?”
“ถ้าไม่ได้อยู่ชั้นเดียวกัน การช่วยเหลือจะขาดประสิทธิภาพ” โอลัวร์มองน้องชายเดินถือเส้นมันฝรั่งทอดเข้ามาใกล้ “นายย้ายมาอยู่ห้องฉัน ส่วนห้องนายกับห้องอ่านหนังสือก็ยกให้สามคนต่างถิ่น ให้พวกเขาไปแบ่งกันเอาเอง”
“หือ?” ลูเมี่ยนทำหน้าราวกับคาดไม่ถึง “จะให้ฉันนอนเตียงเดียวกับพี่?”
เห็นปฏิกิริยาน้องชาย โอลัวร์หัวเราะออกมา
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? ชายหญิงในวงการนักเลงน่ะ เขาไม่ถือเรื่องเล็กน้อยกันหรอกนะ!”
“หือ?” ลูเมี่ยนไม่เข้าใจคำพูดท่อนหลังของพี่สาว
โอลัวร์ยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ความหมายของฉันก็คือ ในสถานการณ์แบบนี้ อย่ามัวทำตัวหยุมหยิมจะดีกว่า”
“หรือนายอยากนอนเตียงเดียวกับไรอันและวาเลนไทน์ แล้วให้ฉันนอนกับลีอา?”
“นั่นสินะ… เรายังเชื่อใจพวกเขาไม่ได้ขนาดนั้น” ลูเมี่ยนพยักหน้ารับ
นักสืบทางการทั้งสามคน ยอมร่วมมือกับสองพี่น้องเพียงเพราะลงเรือลำเดียวกัน เดาไม่ได้เลยว่าทั้งสามจะถือโอกาสที่นอนรวมกันแอบทำอะไรลับหลังบ้าง หรือไม่ก็แอบวางกับดักไว้ล่วงหน้า เพื่อจับกุมสองพี่น้องทันทีที่วัฏจักรยุติลง
โอลัวร์พูดยิ้มๆ
“ถ้าพวกเขาไม่ไว้ใจเราและเลือกกระจุกอยู่ในห้องเดียวกัน นายจะไปใช้ห้องที่เหลือก็ได้นะ”
“นอนห้องเดียวกันดีกว่า” ลูเมี่ยนรู้สึกว่าการถูกกั้นด้วยผนัง อาจทำให้รับมือเหตุไม่คาดฝันได้ยาก
โอลัวร์ไม่พูดต่อประเด็นเดิม แต่เสริมเพิ่ม
“พรุ่งนี้เตือนให้ฉันเติมเสบียงด้วยล่ะ หลังจากเทศกาลมหาพรต คนในหมู่บ้านจะยิ่งทำตัวผิดปกติ เราอาจต้องเก็บตัวอยู่ในบ้าน หรือไม่ก็หนีไปที่ทุ่งหญ้าบนภูเขาใกล้ๆ”
ถัดมา หญิงสาวส่งภาษากายบอกให้น้องชายกินมื้อเย็น
ขณะที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้าดี ลูเมี่ยนออกจากบ้านสองชั้นครึ่งรวมใต้ดิน เตรียมไปเชิญพวกไรอันมาอาศัยอยู่ด้วยกัน
เมื่อเห็นร้านเหล้าคร่ำครึอยู่ไม่ไกล ลูเมี่ยนได้พบกับคนรู้จักกลุ่มหนึ่ง
ปงส์·เบเนต์กำลังเดินบนถนนใหญ่ของหมู่บ้าน พร้อมกับพวกนักเลงอีกสามคน
แทบจะในเวลาเดียวกัน วายร้ายเจ้าของเรือนผมสีดำ ดวงตาสีน้ำเงิน รูปร่างกำยำแข็งแรง ก็มองเห็นลูเมี่ยนเช่นกัน
ขาของมันสั่นกระตุกอย่างมิอาจหักห้าม คล้ายกับหวนนึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวในอดีต
จ้องหน้าลูเมี่ยนที่ยืนห่างกันไม่ไกล ปงส์·เบเนต์กำลังต่อสู้กับตัวเอง
มันอยากแก้แค้น แต่ไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์เดิม ไม่อยากถูกเล่นงานตอนอยู่คนเดียวอีก
ระหว่างที่ปงส์·เบเนต์ลังเล ลูเมี่ยนแสยะยิ้มยียวนกวนฝ่าเท้า
“โฮ่… นึกว่าใคร ที่แท้ก็ไอ้ลูกชายในวัยต่อต้านของฉันนี่เอง”
เด็กหนุ่มสืบเท้าอาดๆ เข้าหากลุ่มคนร้ายที่ฆ่าแรมงด์ ท่าทางประหนึ่งเตรียมจะเปิดศึก
ปงส์·เบเนต์เห็นดังนั้นก็เลิกลังเล ส่งสายตาบอกให้ลิ่วล้อทั้งสามคนลงมือ
สามนักเลงถลันเข้าหาลูเมี่ยนทันที แต่ละคนควักอาวุธจำพวกไม้สั้นกับก้านเหล็ก
ลูเมี่ยนเองก็เร่งความเร็ว
เมื่อใกล้ปะทะกับสามนักเลง เด็กหนุ่มพลันเกร็งขากระโดด พุ่งเข้าใส่หนึ่งในพวกมัน
การตัดสินใจอันเหนือคาดนี้ ทำให้การโจมตีของลิ่วล้อทั้งสามล้วนพลาดเป้า
ลูเมี่ยนถือโอกาสจับไหล่เป้าหมาย แล้วตีลังกาม้วนหน้าโดยใช้ไหล่นักเลงเป็นจุดค้ำ
ทันใดนั้น แผ่นหลังของเด็กหนุ่มพลันโค้งงอปานสปริงอ่อน ช่วยเพิ่มแรงหมุนสำหรับจับศัตรูทุ่มด้วยสองแขน โดยที่ร่างกายไม่เสียสมดุลการลงจอด
เมื่อการตีลังกาอย่างเอิกเกริกแต่คล่องแคล่วสิ้นสุดลง นักเลงรายนั้นก็ถูกทุ่มกระแทกพื้น
ด้วยเสียงดังโครม แรงกระแทกทำให้มันมองไม่เห็นไปชั่วขณะ ร่างกายร้าวระบมไปทุกส่วนจนไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ทันที
ตอนนี้ลูเมี่ยนย้ายมาอยู่ด้านหลังของลิ่วล้อทั้งสอง ห่างกับปงส์·เบเนต์เพียงเจ็ดถึงแปดก้าว
เด็กหนุ่มโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย สับเท้าวิ่งเข้าหาไอ้ชั่ว ปงส์·เบเนต์พยายามหนีอย่างปอดแหก พลางร้องแรกแหกกระเชอด้วยเสียงอันดัง
“รีบหยุดมันไว้เร็ว!”
นักเลงสองคนรีบหมุนตัวกลับมาไล่ล่าลูเมี่ยน ส่วนปงส์·เบเนต์รวบรวมสติและความกล้าหาญอย่างยากลำบาก ตัดสินใจเผชิญหน้ากับไอ้เด็กเปรตโดยตรง เพื่อล็อกตัวไว้ให้อีกสองคนรุมกระทืบ
เมื่อนักเลงทั้งสองคนใกล้จะไล่ทันลูเมี่ยน เด็กหนุ่มที่ไม่ได้วิ่งเต็มฝีเท้าแต่แรกแล้ว ชะงักขาพร้อมกับก้มตัวลงอย่างกะทันหัน
ท่ามกลางเสียงรองเท้าเสียดสีดังครืดคราด นักเลงสองคนไม่เพียงโจมตีทีเผลอจากด้านหลังไม่สำเร็จ แต่ยังเสียหลักสะดุดล้มไปชนกับปงส์·เบเนต์ เกลือกกลิ้งรวมกันเป็นกลุ่มก้อน
ลูเมี่ยนถือโอกาสกระโจนใส่อย่างดุร้ายปานพยัคฆ์ จับคอสองนักเลงยกขึ้นมาโขกกันเอง
โป๊ก!
หน้าผากของพวกมันบวมแดงพร้อมกับหมดสติในทันที
ถัดมา ลูเมี่ยนปล่อยมือทั้งสองข้าง ออกแรงที่เท้า หมุนตัวไถลไปอยู่ด้านหลังปงส์·เบเนต์ที่กำลังพยุงร่างลุกขึ้นยืน
เด็กหนุ่มจับแขนทั้งสองข้างของมันไว้ แล้วดัดไปด้านหลังอย่างรุนแรง
เมื่อเสียงกรอบแกรบดังขึ้น ปงส์·เบเนต์กรีดร้องด้วยความโหยหวน
“เป็นยังไงบ้าง… รู้สึกดีไหม?” ลูเมี่ยนยิ้มถามขณะเดินออกจากหมู่บ้าน พลางหิ้วร่างปงส์·เบเนต์ไปด้วยกัน
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงแม่น้ำ เด็กหนุ่มจับท้ายทอยปงส์·เบเนต์แล้วกดหัวของมันจุ่มน้ำ
เกิดเสียงฟองฟอดอยู่สักพัก ไม่นานลูเมี่ยนก็บรรจงยกศีรษะปงส์·เบเนต์ขึ้น หันกลับเข้าหาตัวเองและถามด้วยรอยยิ้ม
“สนุกมากไหมที่ได้รังแกคนอื่น?”
ใบหน้าของปงส์·เบเนต์เต็มไปด้วยคราบน้ำ สีหน้าท่าทางเจ็บปวดทรมาน น้ำมูกน้ำลายไหลย้อย ดูแล้วไม่น่าจะตอบคำถามใครได้
“สนุกไหม!” ลูเมี่ยนเริ่มตะคอกเสียงดัง พลางจับหัวไอ้ชาติชั่ว โขกหน้าผากใส่พื้นหินกรวดของแม่น้ำ
เลือดสีแดงสดเจิ่งนองในทันที ปงส์·เบเนต์ฝืนดิ้นรน แต่จนแล้วจนรอดก็โงหัวไม่ขึ้น
เสียงฟองปุดๆ ดังระงม จนกระทั่งเวลาผ่านไป การดิ้นรนขัดขืนก็เริ่มซาลง
ลูเมี่ยนจึงยกอีกฝ่ายขึ้นมา ยื่นมือซ้ายออกไป ออกแรงตบหน้าพร้อมแสยะยิ้ม
“ขอถามอีกครั้ง… สนุกมากไหมที่ได้รังแกคนอื่น”
แววตาของปงส์·เบเนต์ถูกครอบงำด้วยความกลัว ไม่รู้ว่าควรต้องตอบสนองอะไร
ทันใดนั้น ใครบางคนเดินมาถึงริมแม่น้ำ เป็นคนเลี้ยงแกะที่สวมเสื้อคลุมยาวแบบมีฮู้ด
ปิแยร์·แบรี
มันมองปงส์·เบเนต์ที่มีสภาพน่าสังเวช พลางกล่าวกับลูเมี่ยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คนหมู่บ้านเดียวกัน… เท่านี้ก็คงพอแล้วกระมัง”
“คิดจะเอาถึงตายเลยหรือ?”
ลูเมี่ยนปล่อยมือที่จับท้ายทอยปงส์·เบเนต์ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยิ้มให้ปิแยร์·แบรี
“เห็นแก่นาย ฉันจะปล่อยไปก็ได้….”
“อย่าลืมบอกไอ้คนเลี้ยงหมูนี่ด้วยล่ะ ว่าอย่าไปรังแกใครเขาอีก”
ไม่รอให้ปิแยร์·แบรีตอบกลับ ลูเมี่ยนเดินผ่านอีกฝ่ายไป ตรงเข้าสู่เขตหมู่บ้าน
…
บนชั้นสองของร้านเหล้าคร่ำครึ ในห้องของไรอัน
ลูเมี่ยนบอกเล่าความคิดของพี่สาวให้นักสืบทั้งสามฟัง
หลังจากสบตากับลีอาและวาเลนไทน์ ไรอันพยักหน้ารับ
“เป็นข้อเสนอที่ดีมาก ในสถานการณ์แบบนี้ การแยกกันอยู่หมายถึงการกระจายกำลัง ทำให้ง่ายต่อการถูกเก็บเรียงตัว”
“พวกเราพร้อมย้ายไปอยู่บ้านเธอทันที”
ระหว่างทางไปยังบ้านของลูเมี่ยนกับโอลัวร์ ในสภาพหอบถือสัมภาระ ลีอาถามลูเมี่ยนดังกรุ๊งกริ๊ง
“พวกเธอมีแผนจะทำอะไรกับห้องเก็บศพนั่น?”
“แผน?” ลูเมี่ยนหัวเราะในคอ “คุณคิดว่าเราทำอะไรกับมันได้หรือไง”
“ดูเหมือนจะไม่ได้ประมาทสินะ… นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากได้ยิน” ลีอาตอบพร้อมกับยิ้ม
ไรอันช่วยเสริม
“ความหมายของพวกเราก็คือ หากสิ่งที่อยู่ในห้องเก็บศพนั่นมีส่วนพัวพันกับกุญแจสำคัญของวัฏจักร ยังไงคืนที่สิบสองก็ต้องปรากฏตัวออกมาอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย เราก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตไปตรวจสอบ”
“หรือก็คือ รอคอยอย่างใจเย็นจนถึงคืนที่สิบสองสินะ” ลูเมี่ยนย้อนถามด้วยความเข้าใจ
……………………………………………………..